วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

จาก "ประชานิยม" สู่ "ประชาชมชอบ"

หลังจากได้มีการวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ได้ทำไปนั้นเรียกว่า "รัฐสวัสดิการ" หรือว่า "ประชานิยม" กันแน่ อันที่จริงแล้วก็เชื่อว่ามีน้อยคนนักที่จะแยก 2 เรื่องนี้ออกจากกันได้อย่างชัดเจน เพราะ ทั้ง 2 ชื่อนี้ก็ล้วนแล้วแต่ใช้เงินงบประมาณ เพื่อสร้างความพอใจแก่ประชาชนกลุ่มใหญ่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก แต่หากจะหาประเด็นเพื่อแยก 2 เรื่องนี้ออกจากกันก็อาจเป็นแหล่งที่มาของเงินงบประมาณเพื่อนำมาใช้ทำสวัสดิการให้ประชาชน หากเป็น "เงินกู้"ก็เข้าข่าย "ประชานิยม" แต่หากเป็น "ภาษีที่เก็บเพิ่ม" ก็เข้าข่าย "รัฐสวัสดิการ"

สำหรับรัฐบาลชุดนี้ได้เดินหน้าอย่างกล้าหาญในการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และ บุหรี่ เพิ่ม แม้จะมีเสียงบ่นจากทั่วทุกสารทิศ อย่างไรก็ดีเงินก้อนนี้ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับนโยบายสวัสดิการประชาชนที่ใช้จ่ายถึงกว่า 3 แสนล้านบาท ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่รัฐบาลทำไปแล้วจนถึงปัจจุบันก็คือ "รัฐสวัสดิการ..แบบยังไม่ถึงครึ่งทาง" เพราะเมื่อจะเดินหน้าเก็บ VAT เพิ่มเพื่อให้ใกล้เคียงกับระดับสากล และสร้างฐานรายได้เพื่อทำรัฐสวัสดิการอย่างเต็มรูปแบบ ก็ปรากฏว่า รัฐบาลไม่กล้าทำเพราะเป็นห่วงคะแนนเสียงทางการเมืองที่อาจจะตกต่ำลง

มันจะดีกว่าไหม หากมีนโยบายซึ่งไม่ต้องเงินงบประมาณเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ยังคงสร้างความพอใจกับประชาชนกลุ่มใหญ่ได้อยู่ เมื่อไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเพิ่ม ก็ไม่ต้อง "กู้เงิน" และ ไม่ต้อง "เก็บภาษีเพิ่ม" ซึ่ง 2 เรื่องนี้เป็นภาระต่อประชานในอนาคต และ ภาระต่อประชาชนในปัจจุบันตามลำดับ นโยบายแบบนี้เองที่ผมตั้งชื่อให้ว่า "นโยบายประชาชมชอบ"

คงไม่ต้องลงไปในรายละเอียดอีกแล้วสำหรับ "เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก" (Taiji-Econ.) ซึ่งเป็นแนวคิดของการยืมพลัง โดยเฉพาะกองทุนบำนาญ มาเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลในการสร้างความพอใจต่อประชาชน เป็นการยืมพลังแห่ง stock มาช่วย flow (GDP) ยืมพลังแห่งเจ้าหนี้ (กองทุนบำนาญ) มาช่วยลูกหนี้ (รัฐบาล)

ที่จริงแล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ และ รัฐบาลทักษิณ ก็ได้เคยทำ "นโยบายประชาชมชอบ" มาแล้วด้วยเช่นกัน เช่น "กองทุนหมู่บ้าน" เป็นการยืมพลังจากแบงก์รัฐ (ออมสิน) จึงไม่ต้องมีการใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่น้อย และ ในรัฐบาลชุดนี้ก็มี "แก้หนี้นอกระบบ" ก็เป็นหลักการคล้ายกันด้วยการยืมพลังจากแบงก์รัฐอีกเช่นกัน เงินงบประมาณไม่ต้องใช้เลยหากไม่เกิดปัญหาหนี้เสียขึ้น จนรัฐบาลต้องไปเพิ่มทุนให้แก่แบงก์รัฐเหล่านั้น แต่ที่ผ่านๆ มารัฐบาลยังคงวนๆ อยู่กับการ "ยืมพลังแบงก์รัฐ" จนนโยบายแบบนี้ถูกเรียกว่าเป็น "นโยบายกึ่งการคลัง" แต่โดยความเป็นจริงแล้วหากจัดระบบอย่างดี ปัญหาหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำเสียแล้ว ผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐแทบไม่มีเลยก็ว่าได้

ส่วน "นโยบายลดสมทบ"ของกองทุนประกันสังคม ถือเป็นก้าวที่สำคัญที่รัฐบาลเริ่มใช้ "การยืมพลังจากกองทุนบำนาญ" ที่ให้ผู้ประกันตนลดภาระในการสมทบเงินเข้ากองทุนจาก 5% เหลือ 3% ทำให้เหลือเงินติดกระเป๋ามากขึ้น กินอยู่สบายขึ้น ซึ่งก็ได้ทำมาครึ่งปีในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ผ่านมา วิธีนี้รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลย แต่สามารถช่วยให้ผู้ประกันตนซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มใหญ่พอใจมากขึ้นได้

ผมได้เขียนเรื่อง "ปฏิรูปเศรษฐกิจไทยสไตล์ 999" และ "รัดเข็มขัดการคลังอย่างไร ให้เศรษฐกิจดีขึ้น" ไว้แล้วด้วย หากรัฐบาลทำตามนั้น ก็จะช่วยให้ผู้ประกันตน และข้าราชการรายได้น้อย เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ และ พื้นที่เช่าได้ในต้นทุนที่ต่ำลงมาก รัฐบาลไม่ต้องเสียเงินเลย แถมยังได้เงินค่าธรรมเนียมสินเชื่อและค่าเช่าพื้นที่ว่างในสถานที่ราชการอีกด้วย นอกจากนี้ การลดวงเงินหักลดหย่อนภาษีสำหรับ RMF,LTF ยังจะทำให้รัฐบาลได้เงินเพิ่มอีก 1 หมื่นล้าน การลดเงินสมทบเข้า กบข.ก็จะช่วยให้ข้าราชการรายได้น้อยมีเงินหมุนเวียนได้มากขึ้น การขยายอายุการสงเคราะห์บุตรในระบบประกันสังคม แม้แต่การแก้ไขปัญหาราคาไข่แพง หรือการพยายามลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแบงก์ ขอให้ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณแล้วช่วยประชาชนส่วนใหญ่ได้...ทำเถอะครับ

ยังมีเรื่องราวต่างๆ อีกมากที่รัฐบาลสามารถจะทำได้ โดยไม่ต้อง "กู้เงิน" เพื่อเพิ่มหนี้สาธารณะซึ่งจะเป็นภาระต่อคนรุ่นลูกหลานในอนาคต ไม่ต้อง "เพิ่มภาษี" อันอาจเป็นภาระต่อซึ่งอาจเป็นภาระต่อประชาชนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน แถมไม่ต้องกังวลการ "รับเงินใต๊โต๊ะ" อีกด้วยเพราะ ไม่มีส่วนต้องใช้เงินงบประมาณเลย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 3 ตัว นโยบายการยืมพลังที่จะช่วยให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพึงพอใจได้โดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยนั้น ซึ่งก็คือ "นโยบายประชาชมชอบ" นั่นเอง

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดูให้ดีๆ : ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ดูให้ดีๆ : ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

เรื่องของ พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้สร้างความหวังกับประชาชนชาวไทยที่จะได้มีกฎหมายที่ลดควาเหลื่อมล้ำลง โดยคนที่มีที่ดินจำนวนมากนั้นกระจุกตัวอยู่กับคนรวยไม่มากนัก ขณะที่ประชาชนกว่า 90% มีที่ดินน้อยกว่า 1 ไร่

มีคนอีกกลุ่มที่จะกังวลว่า พรบ.นี้ผ่านสภาได้หรือไม่ ในเมื่อนักการเมืองจำนวนมากล้วนแต่ถือครองที่ดินกันมหาศาล ซึ่งการเก็บภาษีทีดินรกร้างอาจสร้างภาระกับพวกเขาได้มาก ใครละครับที่ยินดีจะหยิบดาบมาเชือดคอตนเอง ??

แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น สิ่งที่ผมกังวลกลับไม่ใช่เรื่องพวกนี้ ยังมีปัญหาที่ตามมาอีกไม่น้อย ที่พวกเราควรใส่ใจกับ พรบ.ที่ดูเหมือนจะดีมาก ฉบับนี้

1.เปิดช่องให้ทุจริต : เจ้าที่ดินสามารถฮั้วกับข้าราชการกรมที่ดินที่ทำการตรวจสอบได้ ที่ดินผืนใหญ่เป็น 100 ไร่ อาจทำการเกษตรแค่มุมเดียว แล้วสรุปไปเลยว่าที่ดินแปลงนั้นทำเพื่อการเกษตร โดยอาจจ่ายใต้โต๊ะเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภาษีที่ต้องจ่ายจริง

2.ราคาที่ดินเกษตรอาจตกหนัก : อย่างไรก็ดี คาดว่ามีเจ้าที่ดินจำนวนมาก ซึ่งอาจรวมท่าน รมว.คลังที่พูดออกสื่อทีวีด้วยว่า ท่านตั้งใจจะเปลี่ยนสภาพที่ดินไปทำเกษตรเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษี ที่ดินเหล่านั้นอาจถูกปล่อยเช่าออกมาในราคาที่ต่ำมากๆ เพื่อทำการเกษตร ซึ่งหากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง ย่อมส่งผลกระทบไปต่อมูลค่าราคาที่ดินเพื่อการเกษตรอย่างหนัก เพราะ ค่าเช่า คือ ผลตอบแทนส่วนทุนของ "ที่ดิน"นั่นเอง และอย่างที่พวกเราก็รู้ๆ กันดีว่า "ที่ดิน" นั้นเป็นสินทรัพย์สำคัญของเกษตรกรรายย่อย 10-20 ไร่นั้นก็มีค่ายิ่งนัก ขณะที่เศรษฐีนั้นมีสินทรัพย์นอกจากที่ดินแล้ว สินทรัพย์ทางการเงินอีกมากมาย

3.แย่งชิงปัจจัยการผลิต : ลองนึกภาพว่าหากมีที่ดินทำกินเพื่อการเกษตรมากขึ้นอีก 50% จะต้องมีการแย่งชิงทรัพยากรน้ำ ปุ๋ย รวมไปถึงแรงงานเพื่อช่วยเก็บเกี่ยวกันขนาดไหน โดยเฉพาะ "น้ำ" ซึ่งขาดแคลนอย่างมากอยู่แล้ว หลายๆ เรื่องอาจทำให้ต้องเป็นต้นทุนเพิ่มอีกไม่น้อยเลย

4.ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ : แต่หากมองโลกในแง่ดีว่ายังมีน้ำที่เพียงพอแล้วก็ตาม การมีที่นาเพิ่มขึ้นผลผลิตอาจได้เพิ่ม 50% ข้าวจากที่เคยได้ 30 ล้านตันก็เพิ่มเป็น 45 ล้านตัน เมื่ออุปทานเพิ่มขณะที่อุปสงค์ค่อนข้างทรงตัว นั่นหมายถึง ราคาข้าวที่ตกต่ำนั่นเอง และ หากรัฐบาลยังเดินหน้าประกันรายได้ให้เกษตรการต่อไปก็หมายถึง การต้องจ่ายเงินชดเชยรายได้ส่วนนี้ถึงปีละไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้การชดเชยรายได้หลายส่วนจะจ่ายให้กับเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ผู้เช่า..ทำให้เงินตกไปสู่มือของนายทุนเจ้าที่ดิน แทนที่จะเป็นเกษตรกรผู้เช่า

5.ค่าเช่าพื้นที่และตึกอาจแพงขึ้น : สำหรับภาษีสิ่งปลูกสร้างนั้นอาจหลบเลี่ยงได้ยากขึ้น เมื่อเทียบกับภาษีโรงเรือนในปัจจุบัน ทำให้เจ้าของตึกอาจผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้มาตกที่ผู้เช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SME ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร

สรุปก็คือ จากทั้ง 5 ข้อนี้จะเห็นว่า นายทุนเจ้าที่ดินยังคงสามารถหาวิธีหลบเลี่ยงไม่ต้องจ่ายภาษีได้อยู่ดี ทั้งแบบถูกต้องและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เพียงเท่านั้น ยังอาจส่งผลให้ "น้ำ" ไม่เพียงพอ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำได้ รวมไปถึง คนจนและคนชั้นกลางในเมืองจำนวนมาก อาจต้องเสียค่าเช่าห้อง และ พื้นที่เช่าค้าขายที่แพงขึ้นอีกด้วย และ สุดท้ายก็คือ ทำให้สินทรัพย์ของเกษตรกรรายย่อยซึ่งมีที่ดินไม่มากนัก ต้องเสื่อมค่าด้อยค่าลงไปหรืออีกนัยก็คือ พวกเขาจนลงนั่นเอง

อย่าว่าแต่ 1 ไร่เลย ผมมีที่ดินไม่ถึง 50 ตรว.ด้วยซ้ำ ดังนั้นบทความนี้จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนนายทุนแต่อย่างใด ประเด็นอยู่ที่ว่า พวกเราได้มอง "พรบ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" นี้อย่างรอบด้านแล้วหรือไม่

ยกตัวอย่างกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทิ้งผลงานโบว์ดำเอาไว้ก็คือ "BIBF" ซึ่งมีเจตนาดีในการให้บริษัทเอกชนของไทยเข้าถึงแหล่งทุนจากต่างประเทศในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่ในที่สุดแล้วกลับส่งผลเสียหายอย่างหนักที่ทำให้บริษัทต่างๆ กู้หนี้ยืมสินจนเกินตัว ทั้งเพื่อการลงทุนและเก็งกำไร จนในที่สุดเชื่อมโยงไปสู่ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ในที่สุด

พรบ.นี้อาจเป็นนโยบายดาบ 2 คมคล้ายๆ กับ BIBF ก็เป็นไปได้ครับ