วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เรียนรู้ตัวทวีติดลบ สยบวิกฤติการคลัง

ณ เวลานี้ ประเทศพัฒนาจำนวนมาก ทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น และ อังกฤษ ต่างก็ประสบปัญหากับ "วิกฤติการคลัง" จนจำเป็นต้องรัดเข็มขัด แม้จะยังเกิด "วิกฤติการว่างงาน" อยู่ก็ตาม ขณะที่ประเทศยูโรโซนนั้น ยังมี "วิกฤติเงินยูโร" ที่ทับซ้อนเข้ามาอีกด้วย เพราะ การผูกค่าเงินไว้กับประเทศถึง 17 ประเทศ โดยความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจแตกต่างกันอย่างมาก ได้ส่อเค้าลางแห่งปัญหามากมาย

ค่าตัวทวี (multiplier) ในทางการคลัง หมายถึง อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของ GDP หากมีการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น 1 หน่วย โดยที่ค่านี้อาจผันแปรไปตามแนวคิดของเศรษฐศาสตร์แต่ละสำนัก

1. สำนักเคนส์ โดยเจ้าสำนัก คือ "จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์" : ศรัทธาในนโยบายการคลัง เชื่อว่าการใช้จ่ายภาครัฐ (G) จะเหนี่ยวนำให้เกิดการใช้จ่าย (C) และ ลงทุนของภาคเอกชน (I) เพิ่มขึ้น ส่งให้ค่าตัวทวีมีค่าที่สูงกว่า 1

2. สำนักการเงินนิยม (monetarism) โดยเจ้าสำนัก "มิลตัน ฟรีดแมน" : ไม่เชื่อในประสิทธิภาพของนโยบายการคลัง โดยเชื่อว่า การใช้จ่ายภาครัฐ (G) แม้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แต่จะไปแย่งการเงินจากภาคเอกชนทำให้การใช้จ่าย และ ลงทุนของเอกชน (C และ I) ลดลง ในลักษณะของ crowding out effect จึงส่งผลให้ค่าตัวทวีนั้นเข้าใกล้ "ศูนย์"

เจ้าสำนักทั้ง 2 อาจกล่าวได้ว่าเป็น นักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมกระแสหลักชื่อดังที่สุดในรอบศตวรรษ โดยเป็นผู้วางกรอบนโยบายการคลัง และ การเงิน ตามลำดับและใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ดีทั้ง 2 สุดยอดแนวคิดก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศพัฒนาแล้วได้ ณ ปัจจุบัน (วิกฤติการว่างงาน ซ้อน วิกฤติการคลัง)

3. สำนักเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) ซึ่งพึ่งตั้งขึ้นใหม่สดๆ ร้อนๆ เลย มองในอีกแง่มุมหนึ่ง โดยเชื่อว่า ค่าตัวทวีอาจถึงขั้น "ติดลบ" ได้เลย ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตรงข้ามกับเคนส์โดยสิ้นเชิง เพราะสภาพการณ์ของเศรษฐกิจได้แตกต่างจากในอดีตอย่างมาก โดยอาจแบ่งเป็น 2 ประเด็นดังนี้

1.เคนส์เชื่อว่า นโยบายการคลัง คือ การย้ายเงินจาก "คนรวยมาสู่คนจน" โดยผ่าน "พันธบัตรรัฐบาล" เป็นตัวกลาง ทำให้เศรษฐกิจหมุนรอบได้สูงขึ้น แต่ความจริงแล้ว Taiji-Econ. เชื่อว่าในปัจจุบันเงินกลับทิศโดยย้ายจาก "คนจนมาสู่คนรวย" โดยระดมเงินจากกองทุนประกันสังคมซึ่งผู้ประกันตนส่วนใหญ่ยากจน ระดมเงินจาก กบข.ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการออมของข้าราชการรายได้น้อย ไปลงทุนพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจราว 70-80% เพื่อนำเงินนั้นไปสร้างความมั่งคั่งให้กับ นายทุนบริษัทรับเหมาก่อสร้าง นักการเมืองและข้าราชการขึ้โกง (คอรัปชั่น) ดังนั้น การหมุนรอบของเงินจึงลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าตัวทวีจากผลของนโยบายการคลังถึงขึ้น "ติดลบ"

2.เคนส์เชื่อว่า การใช้จ่ายภาครัฐในอดีต คือ "เปลี่ยนนิ่งเป็นเคลื่อน" โดยเปลี่ยนเงินที่หยุดนิ่งในระบบแบงก์ (stock) ให้เป็นพันธบัตรัฐบาลและการใช้จ่ายภาครัฐ (flow) จึงส่งผลต่อเนื่องกระตุ้นอุปสงค์ในภาคเอกชนด้วย แต่ความจริงในปัจจุบัน Taiji-Econ. เชื่อว่ามีหลายโครงการภาครัฐคือ "เปลี่ยนเคลื่อนเป็นนิ่ง" โดยภาครัฐได้ทุ่มเงินจำนวนมาก (flow) เข้าไปเป็น กองทุนบำนาญ (stock) เช่น การสมทบเงินเข้า กบข. ประกันสังคมนอกระบบ (ประชาวิวัฒน์) และ กอช.(ในอนาคต) รวมไปถึง การลดหย่อนภาษีวงเงินสูงมากกับกองทุนบำนาญ (RMF,LTF,ประกันชีวิต) เช่นนี้เอง การที่รัฐบาลใช้เงินภาครัฐ (G) ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแม้แต่น้อย ยังจะดูดเงินภาคเอกชนมาจมอยู่กับกองทุนต่างๆด้วย ทำให้ C และ I ลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้น ผลกระทบรวมทั้งหมดจึงได้ค่าตัวทวี "ติดลบ"

ความรู้เรื่องค่าทวี "ติดลบ" จะช่วยวิกฤติการคลังของประเทศพัฒนาแล้วได้อย่างไร ?? ก็ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ก็คือ ในเมื่อค่าตัวทวี "ติดลบ" หากทำ 2 เรื่องนี้ ก็จะรัดเข็มขัดการคลัง โดยเศรษฐกิจดีขึ้นได้ด้วย

1. ดูแลเรื่องคอรัปชั่นอย่างดี รวมทั้งการยึดทรัพย์นักการเมืองและข้าราชการขี้โกงด้วย สำหรับวิธีแบบไทยๆ ผมขอเสนอให้ ท่านนายกฯ คนใหม่ พาคณะรัฐมนตรี รวมไปถึง ข้าราชการระดับบิ๊กๆ ทั้ง ทหาร และ พลเรือน ไปสาบานที่วัดพระแก้วว่าจะไม่โกงกินเงินแผ่นดิน มิเช่นนั้น "ขอให้ถูกยึดทรัพย์ ติดคุกหัวโต" ใครไม่กล้าไปสาบาน ก็ขอให้คัดชื่อออกจากลิสต์รัฐมนตรีได้เลย เพราะ ส่อเค้าจะโกงตั้งแต่ต้น ด้วยวิธีแบบไทยๆ เช่นนี้ก็น่าจะลดการโกงกินลงไปได้ครึ่งหนึ่ง สำหรับการยึดทรัพย์นั้น ควรมีการให้รางวัล "คนแฉ" ด้วยการแบ่งส่วนแบ่งสัก 25% ของทรัพย์ที่ยึดได้ และ ลดโทษการยึดทรัพย์ของ "คนแฉ" เหลือแค่กึ่งหนึ่ง ประเทศชาติจะรับทรัพย์มากมายโดยไม่ต้องขึ้นภาษีเลย เป็นการ"รัดเข็มขัดการคลัง"อย่างเฉลียวฉลาด

2. รัดเข็มขัดการคลังในโครงการประเภทเงินจม หรือพวกโครงการ "เปลี่ยนเคลื่อนเป็นนิ่ง" จะกลับส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม (GDP สูงขึ้น) นอกจากนี้ การให้ผู้ประกันตนยืมเงินออมบำนาญตนเองได้ โดยรัฐบาลเก็บค่าค้ำประกันสินเชื่อ ก็เป็นแนวคิด "ยืมพลัง" และ "เปลี่ยนนิ่งเป็นเคลื่อน" ซึ่งทำให้ "รัดเข็มขัดการคลังโดยที่เศรษฐกิจดีขึ้นได้"

หากผู้นำของประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายโดยเฉพาะประเทศแถวยุโรปได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ อาจจะตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก วันรุ่งขึ้นอาจรีบประกาศออกสื่อทั่วประเทศว่า "เราได้เรียนรู้ทฤษฎีใหม่ที่จะรัดเข็มขัดการคลัง โดยเศรษฐกิจไม่แย่ลงแต่กลับดีขึ้น ดังนั้น จึงไม่ต้องปลดคนงานออกแต่กลับมีการจ้างงานเพิ่ม ขอให้พี่น้องประชาชนหยุดการประท้วงได้แล้ว ทางออกอยู่ตรงนี้เอง" บางทีแนวคิดนี้อาจเป็นแสงสว่างเล็กๆ ปลายอุโมงค์วิกฤติการคลังก็เป็นได้ สำหรับประเทศไทยของเรา หากรัฐบาล "นารีขี่ม้าหมุน" ยังคงสนุกสนานเพลิดเพลินกับ นโยบายขายฝันในสวนสนุก แบบ "ประชานิยมสุดขั้ว" อีกไม่นาน "วิกฤติการคลัง" ก็อาจมาเยือนเร็วกว่าที่คิด ดังนั้น ศึกษาแนวคิดเหล่านี้ไว้ก่อนก็น่าจะไม่เสียหลายแต่อย่างใดครับ

วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วิกฤติรอบ 2 แผนสำรองต้องมี

วิกฤติรอบ 2 แผนสำรองต้องมี

จากบทความ "5 กับดักเศรษฐกิจ พิษร้ายแรง" ซึ่งได้เขียนมาตั้งแต่เดือน กันยายน 2553 ผมได้คิดว่า โอกาสเกิดวิกฤติรอบ 2 มีราว 80% แต่ ณ ตอนนี้ หลังจากที่ S&P ได้ลดอันดับเครดิตของอเมริกา และ เกิดปัญหาหนี้ของยุโรปที่ลามไป สเปนและอิตาลี ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหว ความเสี่ยงตรงนี้ได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 99% แล้ว

ทำไมต้องมีแผนสำรอง เหตุผลก็เพราะว่า แผนหลักซึ่งคือ นโยบายการเงิน และ การคลังนั้นได้ใช้อย่างเต็มที่แล้ว แต่เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มแย่ลง และ ดูเหมือนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้อีกครั้ง แม้ประธานาธิบดีอเมริกา และ ประธานเฟด จะพยายามพูดปลอบใจตนเองและประชาชนว่า “คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวชั่วคราว และ ไม่กังวลกับภาวะถดถอย” เมื่อเดือนก่อนก็ตาม แต่สภาพของดัชนีตลาดหุ้นได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างรุนแรงแล้ว

ประเทศพัฒนาแล้วมีความอ่อนแรงมากในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ บางส่วนได้เข้าสู่ภาวะถดถอยรอบ 2 ไปแล้วด้วยซ้ำ เช่น PIIGS ในเขตยูโรโซน และ ญี่ปุ่น เป็นต้น เรามาลองดูกันว่า แผนหลักที่ได้เดินหน้ามา 2-3 ปีนี้มีปัญหาอะไรซ่อนอยู่บ้าง

นโยบายการเงิน : FED ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฉียดศูนย์ และใช้ QE พิมพ์แบงก์เพิ่มเพื่อซื้อพันธบัตร ด้วยการหวังให้สภาพคล่องไปช่วยพยุงราคาสินทรัพย์หลักคือ อสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นต้นตอแห่งปัญหา แต่ปรากฏว่าเงินนั้นกลับไหลเข้าไปเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แทน ซึ่งส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อทางอ้อมอีกต่างหาก ขณะที่ตลาดบ้านยังคงไม่ดี บ้านยังคงถูกยึด และ ราคาตกต่ำต่อไป นอกจากนี้ การคาดหวังว่าสภาพคล่องนี้จะช่วยให้เกิดการบริโภค การลงทุน เพื่อช่วยเหลือต่อการจ้างงาน เงินส่วนเกินนั้นกลับไปจมอยู่กับระบบธนาคาร นี่คือ “กับดักสภาพคล่อง” นั่นเอง

วิธีปลดล็อก : เคนส์แนะนำให้ใช้ "ทฤษฎีเคนส์" หรือ นโยบายการคลังแบบขาดดุล อย่างไรก็ดี ปัจจุบันพบว่าทิศทางได้ตรงข้ามกับแนวคิดของเคนส์ถึง 3 เรื่อง

1. เคนส์เชื่อว่าเงินจะไหลจาก "คนรวยสู่คนจน" ผ่านพันธบัตรรัฐบาล โดยคนรวยซื้อพันธบัตร และ รัฐบาลนำเงินไปช่วยคนจน สร้างงานและอุดหนุนความเป็นอยู่ แต่ปัจจุบันเงินกลับไปจาก "คนจนสู่คนรวย" โดยผู้มีรายได้น้อย (คนจน)ในระบบประกันสังคม และ กบข. จ่ายเงินสมทบทุกเดือน เป็นเงินบำนาญ ซึ่งกองทุนเหล่านี้นำเงินราว 70-80% ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ โดยเงินจะไปสู่คนรวย พวกนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น รวมถึง ข้าราชการขี้ฉ้อที่มุ่งคอรัปชั่น รวมไปถึง นายทุนรับเหมาก่อสร้างต่างๆ อีกด้วย

2. เคนส์เชื่อว่าเงินจะเปลี่ยนจาก "นิ่งไปสู่เคลื่อน" คือ เงินไหลจากการนอนนิ่งในระบบธนาคารไปสู่การใช้จ่ายภาครัฐ ทำให้เกิดการหมุเวียนและเพิ่มการจ้างงาน แต่ในปัจจุบัน การใช้จ่ายภาครัฐจำนวนมากเป็นการเปลี่ยนจาก "เคลื่อนไปสู่นิ่ง" เงินจะไปกองจมกับกองทุนบำนาญ ผ่านการให้ลดหย่อนภาษีวงเงินสูง และ เงินสมทบร่วมเข้า กบข.และ กอช.(ในอนาคต)

3. เคนส์ใช้แนวคิดผลักภาระไปให้ "คนกลุ่มใหญ่" ซึ่งเป็นคนทำงานในรุ่นต่อไป หรือเด็กและเยาวชนนั่นเอง ขณะที่โครงสร้างประชากรได้เปลี่ยนจาก "พีระมิด" เป็น "โอ่ง" คนรุ่นถัดไปกลายเป็น "คนกลุ่มเล็ก" ของสังคม ญี่ปุ่นมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงทุกปี ทฤษฎีเคนส์จึงใช้ไม่ได้ผลกับโครงสร้างประชากรปัจจุบันของประเทศพัฒนาแล้ว

นโยบายการคลัง : อเมริกาได้เดินหน้า ขาดดุลงบประมาณอย่างหนักต่อเนื่องถึง 3 ปีในระดับ 10% GDP จนหนี้สินวิ่งสู่ระดับเกือบแตะ 100% GDP และ ประเทศในยูโรโซนก็เช่นกันหลายประเทศเกิน 100% ไปแล้วด้วย แต่เศรษฐกิจก็ยังคงอ่อนแอ การบริโภคภาคเอกชนไม่ฟื้นตัว และ การว่างงงานเริ่มเพิ่มสูงขึ้น เศรษฐกิจติดภาวะ “กับดักเคนส์” ซึ่งเป็นสภาพที่เพิ่มหนี้ภาครัฐจำนวนมาก ขณะที่ไม่สามารถผลักดัน GDP ให้เติบโตได้มากพอ ทำให้สัดส่วน หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP วิ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว

ทั้ง 2 แผนหลักได้เดินหน้ามาถึงขีดจำกัด ทั้งอเมริกา ยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น อาจจำเป็นต้อง “รัดเข็มขัดการคลัง” เพราะหนี้สินภาครัฐสูงมากๆ ธนาคารกลางก็เริ่มหยุดมาตรการ QE และอาจต้องดึงสภาพคล่องออกบางส่วน เพราะ หนี้สินต่อทุน ของ FED สูงถึงระดับ 50 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่เสี่ยงสูงมาก สรุปก็คือ แม้จะใช้พลังลมปราณอย่างเต็มที่ตาม 2 แผนหลัก ก็ไม่สามารถเอาชนะ “วิกฤติเศรษฐกิจ” ได้ แต่ร่างกายอาจถูกธาตุไฟเข้าแทรก ลมปราณอาจแตกซ่าน ทั้งรัฐบาล และ ธนาคารกลาง อาจจำเป็นต้องลดการใช้พลังตามแผนหลักลงมา เพราะเสี่ยงต่อภาวะล้มละลาย แต่ก็ยังคงกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย และถามกันอยู่ว่า “พวกคุณมีแผนสำรองกันบ้างไหม” แต่ก็แทบไม่ได้รับคำตอบดีๆ

นับว่าเป็นโชคดีของโลกที่ได้การคิดค้นทฤษฎีใหม่คือ “เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก” (Taiji-Econ.) ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดที่ใช้เคล็ดวิชาของมวยไท้เก๊กมาช่วยเหลือ คือ 1.ยืมพลังสะท้อนพลัง และ 2.ในนิ่งมีเคลื่อน-ในเคลื่อนมีนิ่ง อันจะทำให้รัฐบาลสามารถจะ “รัดเข็มขัดการคลัง โดยที่เศรษฐกิจดีขึ้น” ด้วยการยืมพลัง “กองทุนบำนาญ” เปลี่ยนสภาพเงินกองทุนที่ “นิ่ง” ให้เป็น “เคลื่อน” สู่การบริโภคจับจ่ายใช้สอยได้ เมื่อเปลี่ยน “นิ่งเป็นเคลื่อน” ก็จะส่งผลทางบวกในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องเสียเงินงบประมาณแม้แต่น้อยแถมยังได้เงินเพิ่มด้วย

ประเทศพัฒนาแล้วมีจำเป็นทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งที่จะต้องหาแผนสำรอง เพราะ รัฐบาลและธนาคารกลาง ล้วนอยู่ในภาวะที่เสี่ยงสูงขึ้นมากจนเข้าใกล้ภาวะล้มละลายเต็มที หากท่านผู้นำของประเทศเหล่านั้นได้อ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะตื่นเต้นดีใจมากก็เป็นได้ เพราะ หาแผนสำรองนี้มานานแล้ว สำหรับประเทศไทยแล้ว รัฐบาลและธปท. ถือได้ว่ายังมีกำลังอย่างเพียงพอในการบริหารจัดการตามแผนหลักด้วยนโยบายการเงินและการคลัง อย่างไรก็ดี จะหวังการฟื้นตัวอย่างเร็วด้วยการพึ่งพิงการส่งออกคงจะยากเสียแล้วในครั้งนี้ การศึกษาแผนสำรองนี้ไว้ก่อนน่าจะส่งผลดีในแง่ที่รัฐบาลสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้โดยไม่เป็นภาระหนี้การคลังเพิ่ม