วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2557

ฟองสบู่ซ่อนอยู่ที่ไหน ??

บทความนี้จะกล่าวถึง "ฟองสบู่" ตลาดหุ้นที่ถูกซ่อนอยู่  โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังไม่ได้ให้ความสนใจนัก  แต่อาจก่อปัญหายิ่งใหญ่ให้กับโลกในอนาคตอันใกล้ได้

ตลาดหุันอเมริกา S&P500  แม้จะดูไม่แพงนัก P/E 17 เท่า  แต่ว่า ดัชนีหุ้นเล็กอย่าง Russell2000 ซึ่งประกอบไปด้วยหุ้นเล็ก 2 พันตัว แต่มีขนาดของมูลค่าตลาดเพียง 12% ของ S&P500 นั้น มี P/E สูงถึง 50 เท่า  ตลาดหุ้นอเมริกาได้มองโลกในแง่ดีปั่นหุ้นเล็กๆ ขึ้นมาถึง 3 เท่าตัวจากระดับต่ำสุดในวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์   ขณะที่กำไรวิ่งตามไม่ทัน ค่า P/E ปัจจุบันนั้นจึงสูงมาก  เป็นฟองสบู่พร้อมแตก ราคาหุ้นพร้อมจะลงได้ครึ่งหนึ่ง

ในทวีปอเมริกาอย่าง สหรัฐฯ และ แคนาดา  นั้น P/E อยู่ระหว่าง 17-19 เท่าตัว  อย่างไรก็ดีมีฟองสบู่ซ่อนอยู่เหมือนกัน   โดยในตลาดหุ้นอเมริกาใต้นั้น  ตลาดหุ้นบราซิล  แม้จะมีค่า P/E 18 เท่าระดับเดียวกัน  แต่ความแตกต่างอยู่ตรงนี้   ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี (หรือดอกเบี้ยระยะยาว) ของบราซิลยืนที่ 13% หมายถึง การคาดหวังผลตอบแทนในตลาดหุ้นจะตกราว 16% ต่อปี (รวมค่า premium อีก 3%)  ค่า P/E ที่เหมาะสมของตลาดหุ้นนั้นควรอยู่ราว 7 เท่าตัวเอง  แค่ดัชนี IBovespa  นั้นมีกลับค่านี้สูงถึง 18 เท่าตัว  ราคาหุ้นพร้อมดิ่งลงได้อีกมาก    เหตุการณ์เช่นนี้ก็เช่นเดียวกับตลาดหุ้นโคลัมเบีย เช่นเดียวกัน

แล้วแวะมาดูที่ตลาดหุ้นยุโรปกันบ้าง  แม้ตลาดขนาดใหญ่ 3 แห่ง คือ ตลาดหุ้นเยอรมัน  อังกฤษ และ ฝรั่งเศส  จะอยู่ที่ราว 17-18 เท่า  ไม่นับว่าแพงนักเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ย  แต่ตลาดหุ้นในกลุ่ม PIIGS หลายตลาดนั้นแพงมากๆ  เช่น ตลาดหุ้นอิตาลี  โปรตุเกส  นั้นผลกำไรทั้งตลาดอยู่ระดับติดลบ คือ ไม่มี P/E  นอกจากนี้  ตลาดหุ้นไอร์แลนด์นั้น P/E สูงถึง 61 เท่าตัว  เป็นฟองสบู่พร้อมแตก 

นอกจากนี้ในทวีปแอฟริกา  อย่างแอฟริกาใต้ ซึ่งมี bond yield 10 ปีที่ 8.4% อาจหมายถึง ผลตอบแทนคาดหวังจากตลาดหุ้นราว 11.4%  ค่า P/E ที่เหมาะสมควรจะอยู่ราว 9 เท่าตัว  อย่างไรก็ดี ค่า P/E ปัจจุบันยืนสูงถึง 18 เท่าตัวสำหรับ ดัชนี TOP40  ของแอฟริกาใต้  ตลาดหุ้นพร้อมตกลงได้อย่างแรง

สำหรับทวีปเอเชียดูบ้าง  แม้จะตลาดขนาดใหญ่อย่าง ญี่ปุ่น จีน และ ฮ่องกง จะดูเหมือนไม่แพงนัก อยู่ระดับปกติ  แต่ตลาดหุ้นอย่างอินโดนีเซีย มีค่า P/E ถึง 22 เท่า  ทั้งที่ bond yield 10 ปีที่ 8%  P/E ที่เหมาะสมควรอยู่ราว 9 เท่าตัว เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอินเดียวซึ่งมี P/E 17เท่า  ก็ไม่แตกต่างกันนัก  ดังนั้นตลาดหุ้นอย่างอินเดีย  อินโดนีเซีย  ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยสูงมากนั้น  ราคาหุ้นพร้อมจะตกลงได้อย่างแรงเช่นกัน 

และสุดท้ายสำหรับประเทศไทยเอง  แม้ SET index จะไม่แพงมากนัก  ระดับ P/E 15 เท่าซึ่งดูเหมาะสม  แต่สำหรับ ดัชนีตลาด MAI กลับสูงถึง 38 เท่าตัว  ซึ่งอันตรายมากๆ ราคาหุ้นเกินพื้นฐาน  เป็นฟองสบู่พร้อมแตก

สรุปก็คือ มีฟองสบู่ตลาดหุ้นที่ซ่อนอยู่เกือบทุกจุดในโลก   โดยเฉพาะในตลาดหุ้นขนาดเล็ก  ปัญหาก็คือ นักวิเคราะห์ไม่ได้ใส่ใจในประเด็นเหล่านี้นัก  หากฟองสบู่เหล่านี้แตกตัวลงพร้อมๆ กัน  นั่นอาจสิ่งที่พึงจะระวังให้ดี เพราะ อาจส่อปัญหาใหญ่ต่อเศรษฐกิจโลกได้นะครับ  

ข้อมูล : Bloomberg




วันอังคารที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2557

เหนือ จีน ยูเครนกับตุรกี ยังมีประเทศไทย

ขณะที่จีนมีปัญหาการเมืองในการต่อสู้กับลัทธิก่อการร้าย  ที่ก่อเหตุแทงคนจำนวนมากเสียชีวิตราว 34 คนที่สถานีคุนหมิง โดยกลุ่มอุยกูร์แบ่งแยกดินแดนมณฑลซินเจียง

ยูเครนก็มีปัญหาการเมืองที่คล้ายกับไทย คือ ประชาชนแบ่งแยกเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายสนับสนุนยุโรป และ อเมริกา  ส่วนอีกฝ่ายสนับสนุนรัสเซีย   เรื่องราวเริ่มหนักหนาจนถึงขั้นรัสเซีย ส่งทหารเข้าไปยึดพื้นที่คาบสมุทรไครเมีย  และอาจมีการลงประชามติ เพื่อขอแบ่งแยกดินแดนนั้นจากยูเครนกลับไปสู่รัสเซีย

ส่วนในตุรกีนั้นก็มีปัญหาคอร์รัปชั่น ที่เกี่ยวข้องกับลูกๆ ของรัฐมนตรีหลายคน และมีคลิปเสียงที่ดูเหมือนเป็นปัญหาที่ว่า นายกฯ เออร์โดกัน ได้คุยกับ ลูกชายให้ซ่อนเงินจำนวนมากไว้  ซึ่งนี่เป็นปัญหาคอร์รัปชั่นนั่นเอง

แต่ละประเทศมี 1 ปัญหา แต่ประเทศไทยมีถึง 3 เด้ง คือ รวม 3 ปัญหานี้ไว้ด้วยกันทั้งหมด  คือ มีทั้งปัญหาคอร์รัปชั่น  ปัญหาก่อการร้าย รวมไปถึง ปัญหาการแตกแยกประชาชนเป็น 2 ฝ่าย จนถึงขั้นข่าวลือแบ่งแยกดินแดน  แล้วอย่างนี้จะเหนือกว่า 3 ประเทศข้างต้นได้อย่างไร ??   มี 2 ประเด็นหลักอยู่ตรงนี้ครับ

1. เศรษฐกิจไทยไม่ได้มีสัญญาณเตือนภัยทางเศรษฐกิจ

ขณะที่ประเทศจีนนั้น มีการผิดนัดชำระหนี้ครั้งแรกของบริษัทในตลาดฯ  ชื่อ Chaori Solar ซึ่งเป็นบริษัทผลิตแผงพลังแสงอาทิตย์  และ ยังอาจมีอีกหลายบริษัทที่ขาดทุน และ หนี้สินต่อทุนสูง เช่น Tianwei Baobian Electric และ Sinovel Wind  ซึ่งล้วนเป็นบริษัทที่ทำด้านพลังงานทดแทน ทั้งลมและแสงอาทิตย์  ซึงน่าจะมีอนาคตดี  แต่กลับมีกำลังผลิตส่วนเกินมาก และ หนี้สินสูง  นี่อาจนับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของ "วิกฤติหมูหัน"  โดยจีนมี "ธนาคารเงา" หรือ shadow-banking ที่เป็นบริษัททรัสต์ และ ผลิตภัณฑ์กองทุนบริหารความมั่งคั่ง รวมกันสูงถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์  ซึ่งอาจเป็นปัญหาหนี้เสียในอนาคตอันใกล้ได้   โดยปัญหาเกิดจากการลงทุนที่มากเกินไป (overinvestment) ฟองสบู่อาจแตกก็เป็นได้  โดยดัชนีหุ้น CSI300 ในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นนั้นได้ลงไปแตะจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี   และ ตัวเลขเศรษฐกิจมหภาคล่าสุดก็ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจีนชะลอตัวลงเร็วมาก

ขณะที่ประเทศยูเครน มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP ย่ำแย่อย่างหนักต่อเนื่อง  เมื่อบวก 3 ปีของค่านี้เข้าด้วยกันแล้วได้สัญญาณเตือนภัย Ruang Alarm ที่ -20.0  ซึ่งอยู่ในระดับเสี่ยงต่อวิกฤติเศรษฐกิจสูงมาก   ประเทศตุรกี ก็เช่นเดียวกัน  เศรษฐกิจมีการเติบโตดี แต่ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง โดยเฉพาะการนำเข้าพลังงาน  มีค่า Ruang Alarm ที่ -23.8  ก็มีความเสี่ยงระดับสูงมากเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า "เมฆดำ" เค้าลางแห่งวิกฤติเศรษฐกิจได้ปกคลุม 2 ประเทศที่อยู่รอบ "ทะเลดำ" เรียบร้อยแล้ว โดยเชื้อโรคก็เริ่มกระทบไปรอบๆ  ด้านเหนือทะเลดำ คือ "ยูเครน"  ด้านใต้ คือ "ตุรกี" และ ด้านตะวันออกคือ "รัสเซีย"  ที่ค่าเงินและดัชนีหุ้นดิ่งลงอย่างหนัก  เชื่่อได้ว่าปัญหาจะปะทุ "ฟองสบู่แตก"  เป็นวิกฤติที่หลีกเลี่ยงได้ยาก  นับเป็นปัญหาของการลงทุนมากเกินกว่าการออม  ใช้ค่าเงินที่แข็งค่าเกินไป  แข่งขันไม่ได้  ทำให้ต้องพึ่งพาเงินทุนต่างชาติ   โดยเฉพาะทั้ง 2 ประเทศก็มีปัญหาทางการเมืองเป็นปัจจัยคอยซ้ำเติมด้วย   ปัญหาเงินทุนไหลออกน่าจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับ 2 ประเทศนี้  จนอาจเกิดเป็นวิกฤติที่ชื่อว่า "วิกฤติไก่งวง"  (Turkey Crisis)

ขณะที่ประเทศไทยนั้น  สัญญาณ Ruang Alarm อยู่ในระดับปลอดภัยมากๆ  นี่จึงนับได้ว่าเหนือชั้นกว่า

2. ประเทศไทยได้เตรียมทางออกไว้แล้ว

ขณะที่ 3 ประเทศนั้นยังแทบหาทางแก้ไขปัญหาทั้งการเมือง และ เศรษฐกิจไม่เจอเลย  แต่สำหรับประเทศไทยนั้นมีทางออกเตรียมพร้อมไว้แล้ว  จึงนับได้ว่าเหนือชั้นกว่า

- โดยทางออกของปัญหาการเมืองก็คือ "ประชาธิปไตยไท้เก๊ก" และ "รหัสปลดล็อก กปปส." ซึ่งจะเป็นทางออกแบบเสื้อขาว  โดยอำนาจอธิปไตยจะอยู่ในมือของประชาชนอย่างแท้จริง  ใช้การยืมพลังจาก "ประชามติ"  เพื่อโค่นทั้งระบอบทักษิณ และ ระบอบสุเทพ  โดยยังคงรักษากฎกิตกา  เป็นประชาธิปไตย  ได้ปฏฺิรูประเทศ และ นำสันติภาพมาสู่ชาติบ้านเมืองได้

- ส่วนหนทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจซึ่งอาจถูกรุมเร้าทั้งจากการเมืองในประเทศ  วิกฤติเศรษฐกิจ
โลกทั้งวิกฤติหมูหัน และ วิกฤติไก่งวง  ซึ่งน่าจะกดดันเศรษฐกิจให้เติบโตต่ำมากๆ ไม่เกิน 2%  ดังนั้นหนทางที่เหมาะสม ก็คือ "การคลังไท้เก๊ก" และ "ยุทธศาสตร์888"   ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยเติบโตได้ถึง 8% ในช่วงครึ่งปีหลังได้  โดยการยืมพลังจากกองทุนบำนาญ  ขณะที่หนี้ภาครัฐไม่เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อยนิดนะครับ




วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

ประชาธิปไตยไท้เก๊ก

"ประชาธิปไตยไท้เก๊ก"คืออะไร??  เรื่องนี้สรุปสั้นๆ ได้ว่า คือ ประชาธิปไตยแบบที่ ยืมพลัง "ประชามติ"  เพื่อให้อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือประชาชนที่แท้จริง  ไม่ใช่ อยู่ในมือของ นายทุนพรรค หรือ อำมาตย์ หรือว่า ผบ.เหล่าทัพ  ตามระบอบทักษิณ  ระบอบสุเทพ หรือ ระบอบรัฐประหาร

ขณะที่คนเสื้อแดง พยายามสู้เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งแบบเดิมๆ  ได้ สส.หน้าเดิมๆ เป็นไปตาม "ระบอบ ทักษิณ" ที่นายทุนพรรคสามารถสั่งการได้   ขณะที่คนเสื้อเหลือง พยายามโค่นระบอบทักษิณ และใช้ "ระบอบสุเทพ" ที่สภาประชาชนถูกคัดเลือกมาจาก คุณสุเทพและพวก

แนวทางทั้ง 2 นี้ล้วนไม่ใช่คำตอบของชาติ  เพราะว่า จากแบบสำรวจพบว่า คนเสื้อแดงในประเทศมีราว 20% คนเสื้อเหลือง 20% ขณะที่คนอีก 60% ที่เหลือนั้นเป็นคนเสื้อขาว  ดังนั้น การพยายามต่อสู้เพื่อให้ระบอบทักษิณชนะ หรือ ระบอบสุเทพชนะ ก็จะได้รับการสนับสนุนเพียงแค่ 20%  แต่ได้รับการต่อต้านถึง 80%  หรือเป็นอัตราส่วนสนับสนุน : ต่อต้านที่ 2:8  ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติและไม่ใช่คำตอบของชาติ  แต่ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือ ทางออกแบบเสื้อเขียวหรือ "ระบอบรัฐประหาร" นี่ยิ่งแล้วใหญ่  คนสนับสนุนน่าจะไม่ถึง 10% ของประชากรด้วยซ้ำ

คำตอบสุดท้าย ซึ่งผมฝันว่าวิญญาณของ อจ.ปรีดี พนมยงค์ ได้ปรบมือชื่นชมยินดีกับแนวคิดนี้เป็นอย่างมากที่ได้สานต่อเจตนารมย์ของท่านในการทำให้ประชาธิปไตยของไทยนั้นกลายเป็น ประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียที   หลังจากล้มลุกคลุกคลานมานานถึง 82 ปี   สลับเปลี่ยนมือของอำนาจไปเรื่อยระหว่าง  อำมาตย์ ทหาร และ นายทุนพรรค  ผมคาดหวังว่าแนวคิดนี้จะได้รับการสนับสนุน : ต่อต้านราว 8:2  โดยคนเสื้อขาว+เหลืองอ่อน และ แดงอ่อน  น่าจะสนับสนุนแนวคิดนี้   ซึ่งน่าจะเป็น "ทางออกแบบเสื้อขาว" และเป็นคำตอบสุดท้ายให้กับประเทศชาติได้

แนวคิดนี้ยังคงอิงตามกรอบรัฐธรรมนูญเดิม แต่เพิ่มไปอีก 3 เรื่อง คือ 1.สส.ใหม่จะต้องทำสัตยาบันว่าจะโหวตตามผลประชามติเท่านั้้น ไม่ใช่ตามใจนายทุนพรรค   2.จะมีการทำประชามติทุกๆ 6 เดือนเป็นประจำในเรื่องสำคัญๆ  3. หากมีเรื่องเร่งด่วนและสำคัญมากๆ สามารถจัดทำประชามติได้เลยเร็วที่สุด ดังนั้นหากเป็นเรื่่องไม่สำคัญ สส.ดำเนินการไปได้เลย  นี่จึงเป็นการผสมระหว่าง ประชาธิปไตยทางตรง และ ทางอ้อม เข้าด้วยกัน  เมื่อ สส.ถูกลดบทบาทอำนาจลง  กปปส.ควรเปิดทางให้เลือกตั้งได้ราบรื่นเปิดสภาฯ และจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว

สิ่งนี้จะดีกว่า "ระบอบทักษิณ" เดิมอย่างไรบ้าง  ลองมาดูกัน 3 เรื่อง

1. พรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง : ระบอบทักษิณ จะเห็นว่า สส.ฝ่ายรัฐบาลยกมือกันเต็มสภา  ทั้งๆที่หากใช้ระบอบไท้เก๊ก แล้วด้วยผลประชามติที่ราว 90% ของคนไทยไม่เห็นด้วย  เรื่องแบบนี้ไม่มีทางผ่านสภาผู้แทนฯ มาได้เลย

2. การไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี : ระบอบทักษิณ จะให้การไว้วางใจรัฐมนตรีทุกคนที่ดูเหมือนว่าแม้จะโกงก็ตาม เพราะ จำนวนมือของ สส.ฝ่ายรัฐบาลที่มากกว่านั่นเอง   แต่หากใช้ ระบอบไท้เก๊ก  ด้วยการยืมพลังประชามติ  รัฐมนตรีเหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะกระเด็นไปจากเก้าอี้ได้ง่ายๆ

3. นโยบายเสียหายอย่างจำนำข้าว :  ระบอบทักษิณ ยังยื้อนโยบายที่ขาดทุนไปถึง 4 แสนล้านบาทมาได้ยาวนานถึง 4 ฤดูกาลผลิต  หากเป็นระบอบไท้เก๊ก  ด้วยประชามติที่ประชาชนราาว 80% คัดค้านเสียแล้ว  ก็คงขัดขวางนโยบายแบบนี้ได้ตั้งแต่ฤดูแรกแล้ว  เสียหายเพียง 1 แสนล้านบาท  ประหยัดงบความเสียหายจากการทุจริตไปได้ถึง 3 แสนล้านบาท

จาก 3 เรื่องข้างต้น  คงจะเห็นแล้วว่า "ระบอบไท้เก๊ก" นั้นดีกว่า "ระบอบทักษิณ" อย่างไร  นี่เป็นการลดบทบาทอำนาจของ สส.ลงนั่นเอง (เสื้อเหลืองมีเฮ)  ขณะที่ก็น่าจะลดบทบาทและอำนาจขององค์กรอิสระลงด้วย (เสื้อแดงมีเฮ)  ดังนั้น เป็นไปได้ว่าจะได้รับการสนับสนุนทั้งจากคนเสื้อขาว  เสื้อเหลืองอ่อน และ แดงอ่อน อย่างท่วมท้นถึง 80% ของประชากรกันเลยทีเดียว  และ ส่วนการปฏฺิรูปใดๆ ก็ให้ผ่านเสียง "ประชามติ" แล้วโหวตกันในสภาฯ ตามผลลัพธ์นั้นๆ  เรื่องก็จะเดินไปเร็วมาก

ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ท้า กำนันสุเทพ ให้ลองมาทำ "ประชามติ" กันดูไหมว่า คนไทยจะเอา สภาฯ ผู้แทนตามระบอบทักษิณ หรือว่า สภาประชาชนตามระบอบสุเทพ  กันแน่  กำนันสุเทพผู้กล้าหาญกลับไม่กล้าพอที่จะรับคำท้านี้  แต่ผมขอท้ากลับไปทั้ง 2 ฝ่ายเลยว่า เพิ่มตัวเลือก สภาไท้เก๊ก ตามระบอบไท้เก๊ก เข้าไปด้วยได้หรือไม่??  จัดทำไปพร้อมๆ กับ การเลือกตั้ง สว.ทั่วประเทศได้เลย  งบฯที่ใช้คงเพิ่มน้อยมาก ผมเชื่อว่าระบอบใหม่หรือ "ประชาธิปไตยไท้เก๊ก" นี้จะชนะด้วยผล "ประชามติ" แน่และ การชนะนี้จะหมายถึงเป็นการชนะของประเทศไทยในการหาทางออกแบบสันติวิธีไปด้วย

สุดท้ายหากเรื่องนี้สามารถพัฒนาต่อยอดจนเป็นทางออกการเมืองของไทยได้แล้ว  คงต้องยกเครดิตความดีงามนี้ให้แก่ ท่านจางซานฟง  ปรมาจารย์มวยไท้เก๊ก  มหาบุรุษผู้ค้นพบว่า ทางออกไม่ได้มีแค่ 2 ทางแบบ "นิ่งคือนิ่ง" และ "เคลื่อนคือเคลื่อน" เท่านั้น  แต่ยังมี "เคลื่อนคือนิ่ง" และ "นิ่งคือเคลื่อน" อีกด้วยรวมเป็น 4 ทางด้วยกัน  และ "ประชาธิปไตยไท้เก๊ก" ก็คือ การประยุกต์มาจากแนวทางนี้นั่นเอง