เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการไม่ถูกรางวัลเลขท้าย 3 ตัวอะไรทั้งสิ้น แต่เกี่ยวข้องกับกฎเกณฑ์ตัวเลข 3 จำนวนซึ่งมีผลต่อวิกฤติในยูโรโซน ซึ่งได้เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้งจากการเข้าเก็บภาษีเงินฝาก ในประเทศไซปรัส ซึ่งผมก็ได้คิดมาก่อนแล้วว่า "ไซปรัส" อาจจะเป็นประเทศเล็กแต่ก่อปัญหาใหญ่ก็ได้ ตามที่ได้เขียนในบทความ "CYPRUS รหัสลับวิกฤติโลก"
แต่บทความนี้มีเขียนเพื่อหาทางออกในการแก้ไขปัญหาให้กับ "ยูโรโซน" ด้วยวิธีการง่ายๆ เพียงแค่เปลี่ยนแปลงตัวเลขที่ล้าสมัยเท่านั้น วิธีง่ายๆ นี้ยังอาจรักษา "ระบบยูโร" ปัจจุบันเอาไว้ด้วยก็เป็นได้ มาดูในรายละเอียดกันครับ
ตัวเลขที่ 1 : กฎเกณฑ์ให้ขาดุลการคลังไม่เกินกว่า 3% GDP จะเห็นว่า หากเปลี่ยนตัวเลขจาก 3% เป็น 5% ก็จะเปิดช่องให้ดำเนินนโยบายการคลังได้ดีขึ้น ไม่ต้องรัดเข็มขัดการคลังไปกว่านี้ สำหรับประเทศใหญ่อย่าง ฝรั่งเศส และ อิตาลี วิธีนี้ก็จะช่วยให้เศรษฐกิจในภูมิภาคกลับมาเติบโตได้ดีขึ้น ในปัจจุบันไม่เพียงแต่มีน้อยประเทศในยูโรโซนเท่านั้นที่ทำได้ขาดดุลการคลังไม่เกิน 3% GDP ประเทศใหญ่ๆ อย่าง อเมริกา อังกฤษ และ ญี่ปุ่น นั้นขาดดุลระดับ 8% GDP กันเลยทีเดียว
หากประเทศพัฒนาแล้วทั้ง 3 นั้น ต้องลดการขาดดุลการคลังตามกฎเกณฑ์ของยูโรโซนที่ล้าสมัยถูกสร้างมาเมื่อ 13 ปีก่อนหน้านี้ คือรัดเข็มขัดการคลังให้เหลือขาดดุลไม่เกิน 3% GDP ก็เป็นไปได้ว่า ประเทศเหล่านั้นก็คงมีสภาพเศรษฐกิจถึงขั้นถดถอยเช่นเดียวกับประเทศส่วนใหญ่ในยูโรโซนเช่นกัน
ตัวเลขที่ 2 : กฎเกณฑ์ที่ให้หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP ไม่เกิน 60% จะเห็นว่าแทบไม่มีประเทศใดในยูโรโซนสามารถจะกดตัวเลขนี้ให้ต่ำกว่า 60% ได้เลย ยกเว้นเฉพาะ ฟินแลนด์เท่านั้น ประเทศใหญ่ในยูโรโซน 4 อันดับแรก (เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี และ สเปน) ก็ล้วนมีค่านี้เกินเกณฑ์ทั้งสิ้น ดังนั้น หากผ่อนปรนจาก 60% เป็น 100% GDP ก็น่าจะช่วยทำให้ เยอรมนี ไม่ต้องรัดเข็มการคลัง เมื่อมีการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มก็จะช่วยให้เศรษฐกิจของยูโรโซนดีขึ้นด้วย เร่งนำเข้าสินค้าจากยูโรโซน เร่งท่องเที่ยวในยูโรโซน หากทำให้การได้ดุลบัญชีเดินสะพัดระดับ 5-6% GDP ของเยอรมนีลดลงสักครึ่งก็จะเป็นเม็ดเงินมหาศาล ผลดีนั้นก็สะท้อนกลับให้ดุลบัญชีเดินสะพัดที่ขาดดุลของประเทศอ่อนแออื่นๆ ในยูโรโซนปรับตัวสู่สมดุลได้ดีขึ้นพร้อมกับ เศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วย
ความจริงแล้ว ปัญหาของยูโรโซน ไม่ได้เกิดจากการขาดดุลการคลัง และ หนี้สินภาครัฐ โดยสังเกตได้จากประเทศสเปน ซึ่งรักษาวินัยการคลัง (ขาดดุลไม่เกิน 3% GDP) มาเป็นอย่างดีถึง 8 ปีติดต่อกันหลังเข้าระบบยูโร และ ก่อนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในปี 2008 ขณะที่ เยอรมนี ฝรั่งเศส และ อิตาลีนั้นกลับรักษากฎนั้นไว้ไม่ได้ และ สเปนก็ยังรักษาระดับหนี้ภาครัฐ ต่อ GDP ได้ต่ำมากเพียง 36% ในปี 2007 อย่างไรก็ดี เนื่องจากการผูกค่าเงินไว้กับ "ยูโร" ซึ่งแข็งค่าเกินไป จึงทำให้สเปนขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนักต่อเนื่องหลายปี โดยหนักสุดคือปี 2007 ที่สูงถึง 10% GDP และ ต้องติดหนี้สินต่างประเทศของภาคเอกชนในระดับสูง มีฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ทั้งหุ้นและอสังหาริมทรัพย์อยู่มาก ปัญหาจึงคล้ายกับ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ของไทย เมื่อฟองสบู่แตกลง พร้อมๆ กับความจำเป็นต้องรัดเข็มขัดการคลัง สเปนจึงมีเศรษฐกิจที่ย่ำแย่มาก อัตราการว่างงานสูงระดับ 26% เป็นรองเพียงกรีซ เท่านั้นเอง
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ปัญหาที่แท้จริงนั้น คือ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และ การติดหนี้สินต่างประเทศ ของประเทศอ่อนแอ (PIIGS) ต่างหาก ถ้า เยอรมนี เดินหน้าในการเร่งเศรษฐกิจ รัฐบาลเร่งขาดดุลการคลัง ก็จะส่งผลให้การได้ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง ขณะที่ประเทศคู่ค้าอื่นๆ ในยูโรโซน ปรับสมดุลบัญชีเดินสะพัดได้ดีขึ้นด้วย การพึ่งพิงหนี้สินต่างประเทศก็จะชะลอตัวลง ทำให้ยูโรโซนมีสมดุลดีขึ้น
ตัวเลขที่ 3 : IMF จะส่งเงินช่วยเหลือเมื่อเห็นความยั่งยืนทางการคลังในระยะยาวเท่านั้น ซึ่งดูเหมือนว่าการกำหนดตัวเลข หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP ไม่เกิน 120% เป็นกรณีของกรีซ เมื่อใช้ตัวเลข 120% เป็นเกณฑ์ กรณีการส่งเงินช่วยเหลือ "ไซปรัส" ซึ่งขอเงินช่วยเหลือมาเกือบ 100% GDP รวมกับของเดิม 70% GDP จึงไม่สามารถส่งเงินช่วยเหลือเป็นหนี้ภาครัฐทั้งหมดได้ เพราะตัวเลขจะกระโดดไปสูงมาก ซึ่งหมายถึงความไม่ยั่งยืนในระยะยาว ไซปรัสจึงต้องหาเงินบางส่วนด้วยการเก็บภาษีจากผู้ฝากเงินในธนาคาร ส่งผลให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในระบบธนาคาร การ "ช่วยเหลือ" ของทรอยก้าจึงดูเหมือนการ "ช่วยซ้ำ" ความอ่อนแอของแบงก์ในไซปรัสเสียมากกว่า หาก IMF และ EU ผ่อนปรนเกณฑ์จาก 120% เป็น 200% GDP แทนความยั่งยืนระยะยาว ก็เป็นเรื่องที่ดีกว่าในการช่วยเหลือแบงก์ และ รัฐบาลของประเทศที่อ่อนแอได้ดียิ่งขึ้น
หากท่านผู้นำในยูโรโซนได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ อาจจะตื่นเต้นดีใจมาก เพราะ นึกไม่ถึงว่าแค่การเปลี่ยนแปลงตัวเลข 2-3 ตัว ก็จะช่วยให้แก้ไขวิกฤติในยูโรโซนได้เชียวหรือ ?? บางทีด้วยวิธีการง่าย ๆก็อาจแก้ไขปัญหายากๆ ไปได้นะครับ