เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า กรอบวิชาเศรษฐศาสตร์ในปัจจุบันไม่สามารถอธิบายและแก้ไขปัญหาของวิกฤติเศรษฐกิจได้ดีนัก ผมพบว่าประเด็นปัญหาไม่เพียงแต่เนื้อหาที่ไม่ครอบคลุมเท่านัน แต่ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ทำการเรียนการสอนในปัจจุบันนั้น "ผิดพลาด" อีกด้วย
ทฤษฎีการคลัง : หากทุ่มเงินงบประมาณเข้าไปแล้วจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น โดยสำนักเคนส์บอกว่าจะดีขึ้นมากกว่าเงินที่ใส่เข้าไป หรือค่าตัวทวีมากกว่า 1 ขณะที่สำนักนีโอคลาสิก บอกว่าจะดีขึ้นเพียงเล็กน้อย โดยค่าตัวทวีอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 ในทางตรงกันข้ามหากรัดเข็มขัดการคลังก็จะทำให้เศรษฐกิจแย่ลง
อย่างไรก็ดี สำนักไท้เก๊ก พบว่า ทฤษฎีนี้ไม่จริง.... มีบางกรณีที่รัฐบาลสามารถรัดเข็มขัดการคลังแล้วทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ และในทางตรงกันข้าม ทุ่มเงินงบประมาณลงไปแต่กลับทำให้เศรษฐกิจแย่ลงได้เช่นกัน โดยค่าตัวทวีของโครงการประเภทนี้ "ติดลบ" โดยเฉพาะ การที่ทำธุรกรรมที่รัฐบาลเกี่ยวข้องกับ "กองทุนบำนาญ"
เช่น หากรัฐบาลเก็บภาษีดอกเบี้ยของ "สินเชื่อไท้เก๊ก" ที่ยอมให้ผู้ประกันตน สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ สมาชิกกบข. สามารถยืมเงินออมตนเองมาหมุนก่อนได้ ก็จะเป็น "การรัดเข็มขัดการคลัง" ขณะที่เศรษฐกิจดีขึ้นได้
ในทางตรงกันข้าม หากรัฐสนับสนุนให้ส่วนหักลดหย่อนภาษีจำนวนมากแก่ LTF, RMF หมายถึง สนับสนุนให้เกิดการออมมากขึ้น แม้จะดีในระยะยาวแต่ระยะสั้นจะทำให้เงินหมุนเวียนเพื่อบริโภคลดลง ในกรณีนี้ รัฐเก็บภาษีได้ลดลง แทนที่จะทำให้เศรษฐกิจจะดีขึ้นตามทฤษฎี กลับมีผลในทางตรงกันข้ามทำให้เศรษฐกิจกลับแย่ลงต่างหาก
สรุปตรงนี้ก็คือ ทฤษฎีการคลังที่เขียนไว้ในตำรานั้น "ผิดพลาด" ควรจะต้องมีการแก้ไขโดยด่วน และ แนวคิดใหม่นี้อาจช่วยให้ประเทศต่างๆ รวมถึงประเทศไทย สามารถเลือกเดินเส้นทางแบบ "รัดเข็มขัดการคลัง" ไปพร้อมๆ กับทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้
ทฤษฎีการเงิน : MV = PQ โดยหากมีการเพิ่มปริมาณเงิน (M) โดยมีสมมติฐานว่าการหมุนของเงิน (V) ค่าทรงตัว ดังนั้น การเพิ่ม M จึงมีแนวโน้มทำให้ GDP (Q) และ อัตราเงินเฟ้อ (P) เพิ่มขึ้น
สำนักไท้เก๊กบอกเลยว่า ทฤษฎีการเงินนี้ผิดพลาด ตรงที่การกำหนดสมมติฐาน V คงที่นั้นไม่ถูกต้อง ไม่สามารถทำได้ เพราะ การเพิ่ม M นั้น จะทำให้ V ลดลงโดยอัตโนมัติต่างหาก ขณะที่ PQ จะค่อนข้างทรงตัว การลดอัตราดอกเบี้ย และ การเพิ่มปริมาณเงิน (M) จะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น (Q เพิ่ม) ดังนั้น จะเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อ (P) มีแนวโน้มลดลงต่างหาก
การกำหนดนโยบายการเงินแบบ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ ... จึงเป็นการทำตามทฤษฎีการเงินเดิม แต่นั่นคือความผิดพลาด ผมรอเวลา 3 เดือนเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีใหม่ โดยตุรกีได้ขึ้นอัตราดอกเบี้ย Repo จาก 4.5% เป็น 10% ปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งนับว่าเป็นการขึ้นอย่างมากและน่าจะมีผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยได้ชัดเจน ปรากฏว่า อัตราเงินเฟ้อของเดือน ม.ค.ถึง เม.ย. ปี 2557 คือ 7.75%, 7.89%, 8.39% และ 9.38% ตามลำดับ นั่นแสดงว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยแทนที่จะสกัดเงินเฟ้อ กลับทำให้อัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นต่างหาก และหมายถึงว่า ทฤษฎีการเงินเดิมนั้น "ผิดพลาด" ขณะที่ ทฤษฎีการเงินไท้เก๊กน่าจะถูกต้อง โดยกรณีของ อินเดีย บราซิล ทีขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ก็มีอัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นเช่นกัน
2 เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมาก อาจนับได้ว่าสำคัญที่สุดนับตั้งแต่ ปรมาจารย์เคนส์ ได้สร้างทฤษฎีการคลัง และ เศรษฐศาสตร์มหภาคขึ้นเมื่อ 84 ปีก่อนเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ในชั้นมัธยม และ ปริญญาตรีที่มีการเรียนการสอนเศรษฐศาสตร์ที่ผิดๆ เท่านั้น ผู้กำหนดนโยบายของหลายประเทศก็ล้วนเรียนมาจากตำราที่ผิดๆ ด้วยเช่นกัน และมีแนวโน้มจะดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบผิดๆ นำพาประเทศไปในทิศทางที่ผิดๆ ในที่สุด
ดังนั้น ผมจึงขอเรียกร้องให้หยุดการเรียนการสอนเศรษฐศาสตร์แบบเดิมๆ ไว้ก่อนเลย หากมหาวิทยาลัยใดสนใจที่จะนำ "สำนักไท้เก๊ก" เข้าไปอยู่ในเขตรั้วมหาวิทยาลัย เพื่อทำการเผยแพร่ความรู้ใหม่นี้ให้แก่นักศึกษา รวมถึง ทำการผลิตตำรา Macro Econ. ไปทั่วโลก เพื่อเปลี่ยนโลกของเศรษฐศาสตร์เสียใหม่ ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้องยิ่งขึ้น โดยผลประโยชน์ก็จะตกอยู่กับนักศึกษา มหาวิทยาลัย และ ประเทศไทยเรื่องนี้จึงเป็นการทำเพื่อชาติและเพื่อโลก ผมยินดีร่วมมือเต็มที่นะครับ
ปล.สำหรับทางออกปลดล็อกการเมืองไทยนั้น .... ผมขอเสนอว่าควรนำแนวคิดแบบ "ไท้เก๊ก" มาประยุกต์ใช้ คือ รวม 2 เรื่องซึ่งไม่น่าเกิดขึ้นพร้อมกันให้มันเกิดขึ้นได้ เช่น มีปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง แต่ยังมีคงมีเลือกตั้งเดือน ก.ค. , ได้โค่นระบอบทักษิณ แต่ยังคงมีสภาฯ ผู้แทนราษฎร พรรค ปชป.ลงสู้ศึกเลือกตั้ง แต่ยังมีลุ้นได้จัดตั้งรัฐบาล เป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ทำได้ ตามบทความ "ปลดล็อก กปปส." "ปฏิรูปก่อนเลือกตั้งถ้ามุ่งมั่นก็ยังทัน" และ "แต้มต่อที่อยากขอพรรคเพื่อไทย" เป็นต้น