มหานครขอนแก่น : แผนพิชิตเลือกตั้ง
หากได้ดูนโยบายของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ จะมีโครงการขนาดใหญ่ คือ การสร้างเมืองใหม่ที่อ่าวไทยของพรรคสีแดง และ ที่ระยองของพรรคสีฟ้า แล้ว คงต้องถามกลับไปว่า สิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไรเล่ากับประชาชนส่วนใหญ่ของไทย ซึ่งอยู่ในภาคเหนือและอีสาน เราลองพิจารณาพัฒนาจากหัวเมืองใหญ่ และต่อยอดจากแผนเดิมๆ ออกไปจะเป็นประโยชน์กว่าหรือไม่
1. สร้าง "ขอนแก่น" เป็นศูนย์การคมนาคมทางบกและอากาศ รวมไปถึงการค้า การลงทุน และ การท่องเที่ยวภูมิภาค เป็นเมืองหลวงอินโดจีน
โดยสร้างรถไฟความเร็วสูงจาก ย่างกุ้ง (พม่า) ไป ดานัง (เวียดนาม) ระยะทางราว 1200 กม. เงินลงทุนราว 3.6 แสนล้าน ตัดกับเส้นทางสายอีสานตามแผนประเทศจีนที่ จ.ขอนแก่นพอดี โดยไทยอาจร่วมลงทุนลงครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็น่าจะเป็นประเทศจีน พม่า ลาว เวียดนาม โดยอาจใช้การร่วมทุนกับเอกชนในลักษณะ PPP ด้วยก็ได้ และ หากมีการใช้หนี้สินต่อทุนราว 2 เท่า โครงการนี้รัฐบาลไทยก็อาจใช้ส่วนทุนเพียง 3 หมื่นล้าน น้อยกว่าการสร้างรถไฟฟ้าในกทม.1 สายเสียอีก และหากกระจายงบประมาณเป็น 3 ปีก็ใช้เงินเพียงปีละ 1 หมื่นล้านเท่านั้นเอง ด้วยการลงทุนน้อยแต่สร้างผลตอบแทนมหาศาลคิดต่อหัวน่าจะมากกว่าระดับ 1 แสนบาทขึ้นไป คนในมหานครขอนแก่นก็จะ สามารถไปได้ทั้ง จีน เวียดนาม พม่า ลาว และ กทม.ได้สบายๆ อย่างรวดเร็วและไม่แพง เพิ่มกิจกรรมการค้า การลงทุน การจ้างงานมหาศาล ขณะที่เวียดนามยังไม่ตัดสินใจที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูง คนจีนและเวียดนาม ก็อาจจะพึ่งเส้นทาง คุนหมิง-ขอนแก่น-ดานัง ไปพลางๆ ก่อน
สิ่งที่ควรมีใน "มหานครขอนแก่น" ก็คือ การรวมจังหวัดรอบข้างอีก 9 จังหวัดเป็น มหานคร มีประชากรสูงกว่า 10 ล้านคน มีการสร้างสนามบินนานาชาติ เพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยว และ ธุรกิจของคนจากเอเชียตะวันออก จะประหยัดระยะทางมาประเทศไทยที่กทม.ถึง 800 กม.(ไป-กลับ) คิดเป็นเงินราว 2 พันบาท และ เวลาไปอีก 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ ควรสร้าง "หมู่บ้านนานาชาติ" เพื่อรองรับคนเกษียณอายุจากนานาประเทศ เพราะ เขตแดนบริเวณนี้มีภัยธรรมชาติน้อยมากๆ โดย ภูเขาไฟระเบิด สีนามิ ไม่มีโอกาสเกิดเลย ส่วน แผ่นดินไหว และ พายุไต้ฝุ่น ก็นับได้ว่ามีโอกาสน้อยมากๆ ค่าครองชีพอยู่ในระดับต่ำกว่า มหานครนิวยอร์ก หรือ โตเกียว ราว 5 เท่าตัว หากเราเสริมการคมนาคม การสื่อสาร (Wimax ฟรีทั่วเมือง) การแพทย์ (รพ.เอกชนชั้นนำ) โรงเรียน (รร.นานาชาติ และ ม.เอกชน) โรงแรม 5 ดาว และ ห้างค้าปลีกที่ทันสมัยเข้าไปก็เชื่อได้ว่าจะสร้างการเติบโตสูงให้ภาคอีสานซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ยากจนมี GDP ต่อหัวต่ำกว่า กทม.ถึง 7.2 เท่า (ตัวเลขปี 2552) นี่เป็นการยกระดับภาคอีสานจาก ภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นคลื่นลูกที่ 1 ตามแนวคิด "อีสานเขียว" สู่ ภาคอุตสาหกรรม บริการ และ ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นคลื่นลูกที่ 2-3-4 อย่างรวดเร็วเป็นแนวคิด "อีสานเจิดจรัส"
2. นอกจากนี้เรายังได้ของแถมคือ "พิษณุโลก" ซึ่งจะกลายเป็น "สี่แยกอินโดจีน" อีกด้วย โดยเมืองนี้จะตัดกับเส้นทางสายเหนือตามแผนเดิม พิษณุโลก จะกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ทางบก ทั้งระบบถนน และ ระบบราง สามารถเชื่อมต่อแนวเหนือใต้ (เชียงใหม่-กทม.) และ แนวตะวันออก-ตก (ดานัง-ย่างกุ้ง) ได้อย่างเหมาะสมทางภูมิศาสตร์
สโลแกนเรื่องนี้คือ "เหนือกลางเบ่งบาน อีสานเจิดจรัส" จะเปลี่ยนแนวคิดจาก "อีสานเขียว" ซึ่งเน้นหนักเกษตรกรรม สู่ "อีสานเจิดจรัส" ประเทศไทยแทนที่จะโตเดี่ยว ด้วยเมือง กทม.เพียงจังหวัดเดียว จะเป็นประเทศที่โตคู่ โดยมี "มหานครขอนแก่น" มาเป็นตัวช่วย เหมือนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นมี โตเกียว-โอซาก้า เกาหลีใต้มี โซล-ปูซาน เวียดนามมี ฮานอย-โฮจิมินห์ ไต้หวันมี ไทเป-เกาสง และ จีนมี ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้-กวางเจา เป็นต้น
ในเรื่องนี้อาจเป็น "คำตอบ" ให้กับโจทย์ปัญหาของประเทศไทยได้ในเกือบทุกด้าน
- ปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้จะส่งเสริมการค้า การลงทุนอย่างมากมายกว่า ล้านล้านบาท ผลประโยชน์ต่อหัวสูงระดับหลักแสน
- ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัจจุบันอีสานมี GDP ต่อหัวต่ำกว่า กทม.ราว 7.2 เท่า นโยบายนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยตรง เพราะ ส่งเสริมการลงทุน และ จ้างงานมากมาย
- ปัญหาความแออัดในเมืองกรุง การจราจรที่ติดขัด ปัญหาสลัม ปัญหาอาชกรรม ใน กทม. ก็จะเบาบางลง ต่อไปลูกหลานคนอีสานก็คงไปทำงานใน "มหานครขอนแก่น" แทนที่จะแออัดกันแต่เพียงใน กทม. ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาอาจเป็นถึงระดับเจ้าของกิจการ หรือ ผู้จัดการ โดยใช้แรงงานจากอินโดจีน อย่าง ลาว พม่า และเวียดนาม มาช่วยกันทำงาน
- ปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์ เรื่องนี้จะช่วยลดต้นทุนลงได้มาก ระบบรางจะช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างตรงประเด็น อาจมีส่วนช่วยให้ราคาสินค้าลดลงได้
- ปัญหาโลกร้อน การลดระยะการเดินทางของประชาชนจากเอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) อีก 800 กิโลเมตรเพื่อมาไทย จะทำให้ประหยัดน้ำมันไปได้ถึง 2 พันบาท ประหยัดเวลาไป 1 ชั่วโมง
- ปัญหาการเมืองในประเทศ นี่คือการสร้างความปรองดองในชาติที่ตรงประเด็นที่สุด ลดเหลื่อมล้ำ ได้ทำงานใกล้บ้านเกิด ผู้คนมีกินมีใช้
- ปัญหาการเมืองต่างประเทศ เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และ ไทยแสดงความเป็นผู้นำอินโดจีนอีกครั้ง ทางภูมิศาสตร์และวิสัยทัศน์ สโลแกนคือ "เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามท่องเที่ยว"
สำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงนี้...หากพรรคสีฟ้านำนโยบายนี้ไปประกาศใช้ ก็อาจได้เสียงคนเหนือ-กลาง-อีสานเพิ่มอีกราว 10% จากพรรคสีแดงนั่นก็เพียงพอที่จะชนะการเลือกตั้งแล้ว ขณะเดียวกันหากพรรคสีแดง นำไปประกาศใช้บ้างละ ก็จะครองเสียงภาคเหนือ-อีสานแบบเบ็ดเสร็จ ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งไม่ยากเย็นแต่อย่างใด ดังนั้น นโยบายนี้อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อโฉมหน้าการเมือง และ เศรษฐกิจประเทศไทยในอนาคตก็เป็นได้ เพราะเกี่ยวข้องกับเสียงของประชาชนถึงกว่า 25 ล้านเสียง
แถมให้อีกเรื่องเพื่อให้ชนะกันขาดๆ ไปเลย จะได้ไม่มีปัญหาหลังการเลือกตั้ง คือ บัตรบำนาญ999 (Pension Card999) คือ ให้คนทำงานในระบบสามารถยืมเงินออมบำนาญตนเองได้ เป็นการยืมเงินตนเอง โดยไม่สนเครดิตบูโร กู้ได้ไม่เกิน 90% ของเงินออม ดอกเบี้ย 9% ต่อปี ผ่อนขั้นต่ำ 0.9% ต่อเดือน โดยสามารถกำหนดอัตราการจ่ายขั้นต่ำได้ ตรวจสอบวงเงินกู้ตนเองได้ แบงก์รัฐที่ปล่อยกู้คิดดอกเบี้ยแค่ 6% อีก 3% แบ่งระหว่าง สำนักงานประกันสังคม หรือกบข. กับ รัฐบาล วิธีนี้รัฐบาลก็จะมีรายได้เพิ่ม ประชาชนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ช่วยประชาชนได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน โดยแนวคิดนี้จะมีขนาดใหญ่กว่านโยบายรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตของรัฐบาลตอนนี้ถึง 50 เท่าตัว
หากมองในแง่การ "ยืมพลัง" นี่คือ การ "ยืมพลัง" พลวัตรของประเทศเพื่อบ้าน ทั้งจีน เวียดนาม ลาว พม่า เพื่อมาเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย โดยอาศัยตัวเชื่อมคือ รถไฟความเร็วสูง "ยืมพลัง" ความมั่งคั่งของเอเชียตะวันออก ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน โดยใช้สนามบินนานาชาติที่ขอนแก่นเป็นตัวเชื่อม "ยืมพลัง" คนเกษียณอายุจากทั่วโลก โดยใช้หมู่บ้านนานาชาติ เป็นตัวเชื่อม และ สุดท้าย นี่คือ การที่ผมหวัง "ยืมพลัง" การต่อสู้หาเสียงเลือกตั้งอย่างดุเดือดของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ เพื่อนำเอา "คำตอบ"ที่สวยหรูนี้ ไปตอบโจทย์ประเทศไทย