ลองคิดใหม่ กับ นโยบาย "เพื่อไทย"
นโยบายของพรรคเพื่อไทยซึ่งกำลังจะเป็นแกนนำรัฐบาลในไม่ช้านี้ มีประเด็นที่สำคัญซึ่งอาจก่อปัญหาให้กับเศรษฐกิจของประเทศไทยได้เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ดี หากลองคิดใหม่อีกรอบโดยเปลี่ยนวิธีการบ้าง ก็อาจดำเนินนโยบายที่สัญญากับประชาชนไว้ได้ โดยเป็นการ "ผ่าทางตัน" ที่สวยงาม
1. ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ยากเย็นอย่างยิ่ง เพราะ บางจังหวัดนั้นมีค่าแรงขั้นต่ำเพียง 160 บาทเท่านั้นเอง การยกระดับสูงขึ้นถึงเกือบเท่าตัว อาจทำให้ SME บางแห่งไม่สามารถรับภาระนี้ไว้ได้ แม้ พรรคเพื่อไทย จะเสนอให้ลดภาษีนิติบุคคลลงเหลือ 23% เพื่อแบ่งเบาภาระของภาคเอกชนก็ตาม คนทีรับประโยชน์กลับกลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ เช่น ปตท. เครือซีพี เครือซีเมนต์ไทย ธนาคารขนาดใหญ่ บริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ ซึ่งบริษัทเหล่านี้มีแรงงานขั้นต่ำอยู่น้อยมากๆ ขณะที่ SME ซึ่งมีการจ้างงานสูงอาจได้รับผลกระทบจนต้องปลดคนงาน หรือ ถึงขั้นปิดกิจการก็เป็นได้ ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาการว่างงานสูงตามมาได้
ทางออกสำหรับเรื่องนี้ก็อาจเป็น "เบี้ยกรรมกร" โดยจ่ายให้กับแรงงานที่มีรายได้ต่ำกว่า 7.5 พันบาทต่อเดือน (ทำงาน 25 วัน) อุดหนุนให้ไม่เกินหัวละ 1 พันบาทต่อเดือน อาจต้องจ่ายราว 5 ล้านคน งบประมาณราวๆ 6 หมื่นล้านบาท
เป็นเรื่องบังเอิญที่หลังจากผมคิดวิธีนี้แล้ว ไปค้นดูกลับพบว่าแนวคิดนี้ไปตรงกันกับของ "มิลตัน ฟรีดแมน" เจ้าสำนักการเงินนิยม (Monetarism) ซึ่งเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังในรอบศตวรรษ เคียงคู่กับ จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ได้แนะนำว่ารัฐบาลควรใช้วิธี "ภาษีติดลบ" หรือ การให้เงินอุดหนุนกับแรงงานรายได้ต่ำ แทนที่จะจ่ายเงินสวัสดิการการว่างงาน จะทำให้กลไกตลาดทำงานได้มีประสิทธิภาพสูงกว่า ดังนั้น หากมีนักวิชาการวิจารณ์ในเรื่องนี้ รัฐบาลก็อาจโต้กลับไปได้ว่า "นี่เป็นแนวคิดของนักเศรษฐศาสตร์ระดับปรมาจารย์เชียวนะ"
เมื่อจ่ายเงินอุดหนุนไปแล้ว ก็หวังว่าค่าตัวทวี (multiplier) ของ เคนส์ จะทำงานอย่างดี หากได้ตัวทวีที่ 6 เท่า รัฐบาลจะเก็บภาษีได้ 17% (ตามค่าเฉลี่ยปัจจุบัน) ของ GDP ที่เพิ่มขึ้นมา ก็จะทำให้ผลลัพธ์สุดท้าย คือ รัฐบาลเก็บภาษีเพิ่มได้เท่ากับ เงินอุดหนุนที่จ่ายไป จึงไม่ได้ขาดดุลการคลังเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด
เมื่อทำเช่นนี้แล้ว ข้อดีก็คือ ภาคเอกชนไม่ได้มีภาระต้นทุนเพิ่ม ความสามารถในการแข่งขันยังคงเดิม จึงไม่จำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้า นอกจากนี้ ยังสนับสนุนแรงงานไทยให้ได้ประโยชน์มากกว่า แรงงานต่างด้าวอีกด้วย จากเงิน 1 พันบาทที่อุดหนุนไป
2. ปริญญาตรี 1.5 หมื่น : ก็ทำด้วยหลักการคล้ายกัน คือ อุดหนุน "เบี้ยบัณฑิต" จ่ายให้ไม่เกิน 2 พันบาทต่อหัว อาจจ่ายราว 1 ล้านคน และใช้งบประมาณราว 2.4 หมื่นล้าน ด้วยการจ่ายเงินอุดหนุน 2 ข้อนี้ จะช่วยเพิ่มคะแนนนิยมของรัฐบาลต่อคนราว 6 ล้านคนอย่างเร็ว
3. จำนำข้าวเปลือก 1.5 หมื่นต่อตัน : ถูกโจมตีว่าอาจต้องใช้เงินภาครัฐถึง 4.5 แสนล้านบาท และ อาจขาดทุนได้นับแสนล้าน
ทางแก้ไขก็อาจเป็น แนวคิดของสำนักเศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก (Taiji-Econ.) ก็คือ "ยืมพลัง" และ "ในนิ่งมีเคลื่อน ในเคลื่อนมีนิ่ง" ดังนั้น รัฐบาลควรยืมแรงจากกองทุนบำนาญ 3 ล้านล้านบาท (กบข. สปส. สำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต) โดยกำหนดให้ต้องลงทุนในกองทุนรวมสินค้าเกษตรไทย หรือ สัญญาซื้อล่วงหน้าในตลาด AFET ไม่ต่ำกว่า 5% ของเงินกองทุน ก็จะทำให้เงินถึง 1.5 แสนล้านบาท มาช่วยรัฐบาลซื้อข้าวเก็บเข้าสต๊อก โดยรัฐบาลไม่ต้องใช้เงินเลย หากราคายังสูงไม่พอ ก็อาจปรับขึ้นเป็น 7.5% และ 10% ของเงินกองทุนบำนาญได้ตามลำดับ
"ในเคลื่อนมีนิ่ง" คือ เปลี่ยนข้าวจาก "สินค้า" (flow)เพื่อการบริโภค ให้เป็น "สินทรัพย์" (stock) เพื่อการลงทุน ด้วยเงินตรงนี้ก็อาจซื้อข้าวเป็นสต๊อกถาวรได้ถึง 5 ล้านตัน (แต่หมุนเวียนเพื่อไม่ให้เสื่อมคุณภาพ) และ "ในนิ่งมีเคลื่อน" เมื่อเก็บสต๊อกจำนวนมาก (stock) ราคาข้าวก็จะสูง ทำให้ชาวนามีรายได้ (flow) สูงขึ้นมาก รัฐบาลจึงไม่ต้องใช้เงินเลย เพียงแค่ยืมพลังเท่านั้น
นี่จึงเป็นสถานการณ์แบบ win-win-win โดยรัฐบาลไม่เสียเงินเลยแม้แต่น้อย กองทุนบำนาญได้ลงทุนในข้าว เพื่อสร้างความมั่นคงด้านอาหารแก่ผู้เกษียณ และ ชาวนาได้มีรายได้สูงขึ้น
อยากฝากเรื่องนี้ให้รัฐบาลชุดใหม่ได้พิจารณาดูด้วย เพราะ หากดำเนินนโยบายทั้ง 3 เรื่องนี้โดยไม่คิดให้รอบคอบ อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยได้อย่างมาก แต่หากดำเนินการด้วยวิธีการข้างบน ก็น่าจะได้คะแนนนิยมเพิ่มขึ้น โดยใช้เงินภาครัฐน้อยลงก็เป็นได้
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-econ.) คือ แนวคิดที่ใช้กฎ 3 ข้อของไท้เก๊กมาช่วย ด้วยการ "รักษาสมดุล" "ยืมพลังสะท้อนพลัง" และ "ในนิ่งมีเคลื่อน ในเคลื่อนมีนิ่ง" ซึ่งจะช่วยปรับปรุงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันที่้บกพร่องให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเมือง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การเมือง แสดงบทความทั้งหมด
วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
มหานครขอนแก่น : แผนพิชิตเลือกตั้ง
มหานครขอนแก่น : แผนพิชิตเลือกตั้ง
หากได้ดูนโยบายของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ จะมีโครงการขนาดใหญ่ คือ การสร้างเมืองใหม่ที่อ่าวไทยของพรรคสีแดง และ ที่ระยองของพรรคสีฟ้า แล้ว คงต้องถามกลับไปว่า สิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไรเล่ากับประชาชนส่วนใหญ่ของไทย ซึ่งอยู่ในภาคเหนือและอีสาน เราลองพิจารณาพัฒนาจากหัวเมืองใหญ่ และต่อยอดจากแผนเดิมๆ ออกไปจะเป็นประโยชน์กว่าหรือไม่
1. สร้าง "ขอนแก่น" เป็นศูนย์การคมนาคมทางบกและอากาศ รวมไปถึงการค้า การลงทุน และ การท่องเที่ยวภูมิภาค เป็นเมืองหลวงอินโดจีน
โดยสร้างรถไฟความเร็วสูงจาก ย่างกุ้ง (พม่า) ไป ดานัง (เวียดนาม) ระยะทางราว 1200 กม. เงินลงทุนราว 3.6 แสนล้าน ตัดกับเส้นทางสายอีสานตามแผนประเทศจีนที่ จ.ขอนแก่นพอดี โดยไทยอาจร่วมลงทุนลงครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็น่าจะเป็นประเทศจีน พม่า ลาว เวียดนาม โดยอาจใช้การร่วมทุนกับเอกชนในลักษณะ PPP ด้วยก็ได้ และ หากมีการใช้หนี้สินต่อทุนราว 2 เท่า โครงการนี้รัฐบาลไทยก็อาจใช้ส่วนทุนเพียง 3 หมื่นล้าน น้อยกว่าการสร้างรถไฟฟ้าในกทม.1 สายเสียอีก และหากกระจายงบประมาณเป็น 3 ปีก็ใช้เงินเพียงปีละ 1 หมื่นล้านเท่านั้นเอง ด้วยการลงทุนน้อยแต่สร้างผลตอบแทนมหาศาลคิดต่อหัวน่าจะมากกว่าระดับ 1 แสนบาทขึ้นไป คนในมหานครขอนแก่นก็จะ สามารถไปได้ทั้ง จีน เวียดนาม พม่า ลาว และ กทม.ได้สบายๆ อย่างรวดเร็วและไม่แพง เพิ่มกิจกรรมการค้า การลงทุน การจ้างงานมหาศาล ขณะที่เวียดนามยังไม่ตัดสินใจที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูง คนจีนและเวียดนาม ก็อาจจะพึ่งเส้นทาง คุนหมิง-ขอนแก่น-ดานัง ไปพลางๆ ก่อน
สิ่งที่ควรมีใน "มหานครขอนแก่น" ก็คือ การรวมจังหวัดรอบข้างอีก 9 จังหวัดเป็น มหานคร มีประชากรสูงกว่า 10 ล้านคน มีการสร้างสนามบินนานาชาติ เพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยว และ ธุรกิจของคนจากเอเชียตะวันออก จะประหยัดระยะทางมาประเทศไทยที่กทม.ถึง 800 กม.(ไป-กลับ) คิดเป็นเงินราว 2 พันบาท และ เวลาไปอีก 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ ควรสร้าง "หมู่บ้านนานาชาติ" เพื่อรองรับคนเกษียณอายุจากนานาประเทศ เพราะ เขตแดนบริเวณนี้มีภัยธรรมชาติน้อยมากๆ โดย ภูเขาไฟระเบิด สีนามิ ไม่มีโอกาสเกิดเลย ส่วน แผ่นดินไหว และ พายุไต้ฝุ่น ก็นับได้ว่ามีโอกาสน้อยมากๆ ค่าครองชีพอยู่ในระดับต่ำกว่า มหานครนิวยอร์ก หรือ โตเกียว ราว 5 เท่าตัว หากเราเสริมการคมนาคม การสื่อสาร (Wimax ฟรีทั่วเมือง) การแพทย์ (รพ.เอกชนชั้นนำ) โรงเรียน (รร.นานาชาติ และ ม.เอกชน) โรงแรม 5 ดาว และ ห้างค้าปลีกที่ทันสมัยเข้าไปก็เชื่อได้ว่าจะสร้างการเติบโตสูงให้ภาคอีสานซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ยากจนมี GDP ต่อหัวต่ำกว่า กทม.ถึง 7.2 เท่า (ตัวเลขปี 2552) นี่เป็นการยกระดับภาคอีสานจาก ภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นคลื่นลูกที่ 1 ตามแนวคิด "อีสานเขียว" สู่ ภาคอุตสาหกรรม บริการ และ ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นคลื่นลูกที่ 2-3-4 อย่างรวดเร็วเป็นแนวคิด "อีสานเจิดจรัส"
2. นอกจากนี้เรายังได้ของแถมคือ "พิษณุโลก" ซึ่งจะกลายเป็น "สี่แยกอินโดจีน" อีกด้วย โดยเมืองนี้จะตัดกับเส้นทางสายเหนือตามแผนเดิม พิษณุโลก จะกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ทางบก ทั้งระบบถนน และ ระบบราง สามารถเชื่อมต่อแนวเหนือใต้ (เชียงใหม่-กทม.) และ แนวตะวันออก-ตก (ดานัง-ย่างกุ้ง) ได้อย่างเหมาะสมทางภูมิศาสตร์
สโลแกนเรื่องนี้คือ "เหนือกลางเบ่งบาน อีสานเจิดจรัส" จะเปลี่ยนแนวคิดจาก "อีสานเขียว" ซึ่งเน้นหนักเกษตรกรรม สู่ "อีสานเจิดจรัส" ประเทศไทยแทนที่จะโตเดี่ยว ด้วยเมือง กทม.เพียงจังหวัดเดียว จะเป็นประเทศที่โตคู่ โดยมี "มหานครขอนแก่น" มาเป็นตัวช่วย เหมือนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นมี โตเกียว-โอซาก้า เกาหลีใต้มี โซล-ปูซาน เวียดนามมี ฮานอย-โฮจิมินห์ ไต้หวันมี ไทเป-เกาสง และ จีนมี ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้-กวางเจา เป็นต้น
ในเรื่องนี้อาจเป็น "คำตอบ" ให้กับโจทย์ปัญหาของประเทศไทยได้ในเกือบทุกด้าน
- ปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้จะส่งเสริมการค้า การลงทุนอย่างมากมายกว่า ล้านล้านบาท ผลประโยชน์ต่อหัวสูงระดับหลักแสน
- ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัจจุบันอีสานมี GDP ต่อหัวต่ำกว่า กทม.ราว 7.2 เท่า นโยบายนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยตรง เพราะ ส่งเสริมการลงทุน และ จ้างงานมากมาย
- ปัญหาความแออัดในเมืองกรุง การจราจรที่ติดขัด ปัญหาสลัม ปัญหาอาชกรรม ใน กทม. ก็จะเบาบางลง ต่อไปลูกหลานคนอีสานก็คงไปทำงานใน "มหานครขอนแก่น" แทนที่จะแออัดกันแต่เพียงใน กทม. ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาอาจเป็นถึงระดับเจ้าของกิจการ หรือ ผู้จัดการ โดยใช้แรงงานจากอินโดจีน อย่าง ลาว พม่า และเวียดนาม มาช่วยกันทำงาน
- ปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์ เรื่องนี้จะช่วยลดต้นทุนลงได้มาก ระบบรางจะช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างตรงประเด็น อาจมีส่วนช่วยให้ราคาสินค้าลดลงได้
- ปัญหาโลกร้อน การลดระยะการเดินทางของประชาชนจากเอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) อีก 800 กิโลเมตรเพื่อมาไทย จะทำให้ประหยัดน้ำมันไปได้ถึง 2 พันบาท ประหยัดเวลาไป 1 ชั่วโมง
- ปัญหาการเมืองในประเทศ นี่คือการสร้างความปรองดองในชาติที่ตรงประเด็นที่สุด ลดเหลื่อมล้ำ ได้ทำงานใกล้บ้านเกิด ผู้คนมีกินมีใช้
- ปัญหาการเมืองต่างประเทศ เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และ ไทยแสดงความเป็นผู้นำอินโดจีนอีกครั้ง ทางภูมิศาสตร์และวิสัยทัศน์ สโลแกนคือ "เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามท่องเที่ยว"
สำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงนี้...หากพรรคสีฟ้านำนโยบายนี้ไปประกาศใช้ ก็อาจได้เสียงคนเหนือ-กลาง-อีสานเพิ่มอีกราว 10% จากพรรคสีแดงนั่นก็เพียงพอที่จะชนะการเลือกตั้งแล้ว ขณะเดียวกันหากพรรคสีแดง นำไปประกาศใช้บ้างละ ก็จะครองเสียงภาคเหนือ-อีสานแบบเบ็ดเสร็จ ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งไม่ยากเย็นแต่อย่างใด ดังนั้น นโยบายนี้อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อโฉมหน้าการเมือง และ เศรษฐกิจประเทศไทยในอนาคตก็เป็นได้ เพราะเกี่ยวข้องกับเสียงของประชาชนถึงกว่า 25 ล้านเสียง
แถมให้อีกเรื่องเพื่อให้ชนะกันขาดๆ ไปเลย จะได้ไม่มีปัญหาหลังการเลือกตั้ง คือ บัตรบำนาญ999 (Pension Card999) คือ ให้คนทำงานในระบบสามารถยืมเงินออมบำนาญตนเองได้ เป็นการยืมเงินตนเอง โดยไม่สนเครดิตบูโร กู้ได้ไม่เกิน 90% ของเงินออม ดอกเบี้ย 9% ต่อปี ผ่อนขั้นต่ำ 0.9% ต่อเดือน โดยสามารถกำหนดอัตราการจ่ายขั้นต่ำได้ ตรวจสอบวงเงินกู้ตนเองได้ แบงก์รัฐที่ปล่อยกู้คิดดอกเบี้ยแค่ 6% อีก 3% แบ่งระหว่าง สำนักงานประกันสังคม หรือกบข. กับ รัฐบาล วิธีนี้รัฐบาลก็จะมีรายได้เพิ่ม ประชาชนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ช่วยประชาชนได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน โดยแนวคิดนี้จะมีขนาดใหญ่กว่านโยบายรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตของรัฐบาลตอนนี้ถึง 50 เท่าตัว
หากมองในแง่การ "ยืมพลัง" นี่คือ การ "ยืมพลัง" พลวัตรของประเทศเพื่อบ้าน ทั้งจีน เวียดนาม ลาว พม่า เพื่อมาเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย โดยอาศัยตัวเชื่อมคือ รถไฟความเร็วสูง "ยืมพลัง" ความมั่งคั่งของเอเชียตะวันออก ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน โดยใช้สนามบินนานาชาติที่ขอนแก่นเป็นตัวเชื่อม "ยืมพลัง" คนเกษียณอายุจากทั่วโลก โดยใช้หมู่บ้านนานาชาติ เป็นตัวเชื่อม และ สุดท้าย นี่คือ การที่ผมหวัง "ยืมพลัง" การต่อสู้หาเสียงเลือกตั้งอย่างดุเดือดของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ เพื่อนำเอา "คำตอบ"ที่สวยหรูนี้ ไปตอบโจทย์ประเทศไทย
หากได้ดูนโยบายของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ จะมีโครงการขนาดใหญ่ คือ การสร้างเมืองใหม่ที่อ่าวไทยของพรรคสีแดง และ ที่ระยองของพรรคสีฟ้า แล้ว คงต้องถามกลับไปว่า สิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไรเล่ากับประชาชนส่วนใหญ่ของไทย ซึ่งอยู่ในภาคเหนือและอีสาน เราลองพิจารณาพัฒนาจากหัวเมืองใหญ่ และต่อยอดจากแผนเดิมๆ ออกไปจะเป็นประโยชน์กว่าหรือไม่
1. สร้าง "ขอนแก่น" เป็นศูนย์การคมนาคมทางบกและอากาศ รวมไปถึงการค้า การลงทุน และ การท่องเที่ยวภูมิภาค เป็นเมืองหลวงอินโดจีน
โดยสร้างรถไฟความเร็วสูงจาก ย่างกุ้ง (พม่า) ไป ดานัง (เวียดนาม) ระยะทางราว 1200 กม. เงินลงทุนราว 3.6 แสนล้าน ตัดกับเส้นทางสายอีสานตามแผนประเทศจีนที่ จ.ขอนแก่นพอดี โดยไทยอาจร่วมลงทุนลงครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็น่าจะเป็นประเทศจีน พม่า ลาว เวียดนาม โดยอาจใช้การร่วมทุนกับเอกชนในลักษณะ PPP ด้วยก็ได้ และ หากมีการใช้หนี้สินต่อทุนราว 2 เท่า โครงการนี้รัฐบาลไทยก็อาจใช้ส่วนทุนเพียง 3 หมื่นล้าน น้อยกว่าการสร้างรถไฟฟ้าในกทม.1 สายเสียอีก และหากกระจายงบประมาณเป็น 3 ปีก็ใช้เงินเพียงปีละ 1 หมื่นล้านเท่านั้นเอง ด้วยการลงทุนน้อยแต่สร้างผลตอบแทนมหาศาลคิดต่อหัวน่าจะมากกว่าระดับ 1 แสนบาทขึ้นไป คนในมหานครขอนแก่นก็จะ สามารถไปได้ทั้ง จีน เวียดนาม พม่า ลาว และ กทม.ได้สบายๆ อย่างรวดเร็วและไม่แพง เพิ่มกิจกรรมการค้า การลงทุน การจ้างงานมหาศาล ขณะที่เวียดนามยังไม่ตัดสินใจที่จะสร้างรถไฟความเร็วสูง คนจีนและเวียดนาม ก็อาจจะพึ่งเส้นทาง คุนหมิง-ขอนแก่น-ดานัง ไปพลางๆ ก่อน
สิ่งที่ควรมีใน "มหานครขอนแก่น" ก็คือ การรวมจังหวัดรอบข้างอีก 9 จังหวัดเป็น มหานคร มีประชากรสูงกว่า 10 ล้านคน มีการสร้างสนามบินนานาชาติ เพื่อรองรับการเดินทางท่องเที่ยว และ ธุรกิจของคนจากเอเชียตะวันออก จะประหยัดระยะทางมาประเทศไทยที่กทม.ถึง 800 กม.(ไป-กลับ) คิดเป็นเงินราว 2 พันบาท และ เวลาไปอีก 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ ควรสร้าง "หมู่บ้านนานาชาติ" เพื่อรองรับคนเกษียณอายุจากนานาประเทศ เพราะ เขตแดนบริเวณนี้มีภัยธรรมชาติน้อยมากๆ โดย ภูเขาไฟระเบิด สีนามิ ไม่มีโอกาสเกิดเลย ส่วน แผ่นดินไหว และ พายุไต้ฝุ่น ก็นับได้ว่ามีโอกาสน้อยมากๆ ค่าครองชีพอยู่ในระดับต่ำกว่า มหานครนิวยอร์ก หรือ โตเกียว ราว 5 เท่าตัว หากเราเสริมการคมนาคม การสื่อสาร (Wimax ฟรีทั่วเมือง) การแพทย์ (รพ.เอกชนชั้นนำ) โรงเรียน (รร.นานาชาติ และ ม.เอกชน) โรงแรม 5 ดาว และ ห้างค้าปลีกที่ทันสมัยเข้าไปก็เชื่อได้ว่าจะสร้างการเติบโตสูงให้ภาคอีสานซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ยากจนมี GDP ต่อหัวต่ำกว่า กทม.ถึง 7.2 เท่า (ตัวเลขปี 2552) นี่เป็นการยกระดับภาคอีสานจาก ภาคเกษตรกรรม ซึ่งเป็นคลื่นลูกที่ 1 ตามแนวคิด "อีสานเขียว" สู่ ภาคอุตสาหกรรม บริการ และ ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นคลื่นลูกที่ 2-3-4 อย่างรวดเร็วเป็นแนวคิด "อีสานเจิดจรัส"
2. นอกจากนี้เรายังได้ของแถมคือ "พิษณุโลก" ซึ่งจะกลายเป็น "สี่แยกอินโดจีน" อีกด้วย โดยเมืองนี้จะตัดกับเส้นทางสายเหนือตามแผนเดิม พิษณุโลก จะกลายเป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ทางบก ทั้งระบบถนน และ ระบบราง สามารถเชื่อมต่อแนวเหนือใต้ (เชียงใหม่-กทม.) และ แนวตะวันออก-ตก (ดานัง-ย่างกุ้ง) ได้อย่างเหมาะสมทางภูมิศาสตร์
สโลแกนเรื่องนี้คือ "เหนือกลางเบ่งบาน อีสานเจิดจรัส" จะเปลี่ยนแนวคิดจาก "อีสานเขียว" ซึ่งเน้นหนักเกษตรกรรม สู่ "อีสานเจิดจรัส" ประเทศไทยแทนที่จะโตเดี่ยว ด้วยเมือง กทม.เพียงจังหวัดเดียว จะเป็นประเทศที่โตคู่ โดยมี "มหานครขอนแก่น" มาเป็นตัวช่วย เหมือนประเทศอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นมี โตเกียว-โอซาก้า เกาหลีใต้มี โซล-ปูซาน เวียดนามมี ฮานอย-โฮจิมินห์ ไต้หวันมี ไทเป-เกาสง และ จีนมี ปักกิ่ง-เซี่ยงไฮ้-กวางเจา เป็นต้น
ในเรื่องนี้อาจเป็น "คำตอบ" ให้กับโจทย์ปัญหาของประเทศไทยได้ในเกือบทุกด้าน
- ปัญหาการเติบโตทางเศรษฐกิจ เรื่องนี้จะส่งเสริมการค้า การลงทุนอย่างมากมายกว่า ล้านล้านบาท ผลประโยชน์ต่อหัวสูงระดับหลักแสน
- ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัจจุบันอีสานมี GDP ต่อหัวต่ำกว่า กทม.ราว 7.2 เท่า นโยบายนี้จะช่วยแก้ไขปัญหาเรื่องนี้โดยตรง เพราะ ส่งเสริมการลงทุน และ จ้างงานมากมาย
- ปัญหาความแออัดในเมืองกรุง การจราจรที่ติดขัด ปัญหาสลัม ปัญหาอาชกรรม ใน กทม. ก็จะเบาบางลง ต่อไปลูกหลานคนอีสานก็คงไปทำงานใน "มหานครขอนแก่น" แทนที่จะแออัดกันแต่เพียงใน กทม. ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขาอาจเป็นถึงระดับเจ้าของกิจการ หรือ ผู้จัดการ โดยใช้แรงงานจากอินโดจีน อย่าง ลาว พม่า และเวียดนาม มาช่วยกันทำงาน
- ปัญหาต้นทุนโลจิสติกส์ เรื่องนี้จะช่วยลดต้นทุนลงได้มาก ระบบรางจะช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างตรงประเด็น อาจมีส่วนช่วยให้ราคาสินค้าลดลงได้
- ปัญหาโลกร้อน การลดระยะการเดินทางของประชาชนจากเอเชียตะวันออก (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น) อีก 800 กิโลเมตรเพื่อมาไทย จะทำให้ประหยัดน้ำมันไปได้ถึง 2 พันบาท ประหยัดเวลาไป 1 ชั่วโมง
- ปัญหาการเมืองในประเทศ นี่คือการสร้างความปรองดองในชาติที่ตรงประเด็นที่สุด ลดเหลื่อมล้ำ ได้ทำงานใกล้บ้านเกิด ผู้คนมีกินมีใช้
- ปัญหาการเมืองต่างประเทศ เป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับประเทศเพื่อนบ้าน และ ไทยแสดงความเป็นผู้นำอินโดจีนอีกครั้ง ทางภูมิศาสตร์และวิสัยทัศน์ สโลแกนคือ "เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามท่องเที่ยว"
สำหรับการเลือกตั้งที่จะถึงนี้...หากพรรคสีฟ้านำนโยบายนี้ไปประกาศใช้ ก็อาจได้เสียงคนเหนือ-กลาง-อีสานเพิ่มอีกราว 10% จากพรรคสีแดงนั่นก็เพียงพอที่จะชนะการเลือกตั้งแล้ว ขณะเดียวกันหากพรรคสีแดง นำไปประกาศใช้บ้างละ ก็จะครองเสียงภาคเหนือ-อีสานแบบเบ็ดเสร็จ ได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งไม่ยากเย็นแต่อย่างใด ดังนั้น นโยบายนี้อาจมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อโฉมหน้าการเมือง และ เศรษฐกิจประเทศไทยในอนาคตก็เป็นได้ เพราะเกี่ยวข้องกับเสียงของประชาชนถึงกว่า 25 ล้านเสียง
แถมให้อีกเรื่องเพื่อให้ชนะกันขาดๆ ไปเลย จะได้ไม่มีปัญหาหลังการเลือกตั้ง คือ บัตรบำนาญ999 (Pension Card999) คือ ให้คนทำงานในระบบสามารถยืมเงินออมบำนาญตนเองได้ เป็นการยืมเงินตนเอง โดยไม่สนเครดิตบูโร กู้ได้ไม่เกิน 90% ของเงินออม ดอกเบี้ย 9% ต่อปี ผ่อนขั้นต่ำ 0.9% ต่อเดือน โดยสามารถกำหนดอัตราการจ่ายขั้นต่ำได้ ตรวจสอบวงเงินกู้ตนเองได้ แบงก์รัฐที่ปล่อยกู้คิดดอกเบี้ยแค่ 6% อีก 3% แบ่งระหว่าง สำนักงานประกันสังคม หรือกบข. กับ รัฐบาล วิธีนี้รัฐบาลก็จะมีรายได้เพิ่ม ประชาชนมีเงินในกระเป๋ามากขึ้นไม่ต่ำกว่า 5 แสนล้านบาท ช่วยประชาชนได้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านคน โดยแนวคิดนี้จะมีขนาดใหญ่กว่านโยบายรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตของรัฐบาลตอนนี้ถึง 50 เท่าตัว
หากมองในแง่การ "ยืมพลัง" นี่คือ การ "ยืมพลัง" พลวัตรของประเทศเพื่อบ้าน ทั้งจีน เวียดนาม ลาว พม่า เพื่อมาเสริมสร้างเศรษฐกิจไทย โดยอาศัยตัวเชื่อมคือ รถไฟความเร็วสูง "ยืมพลัง" ความมั่งคั่งของเอเชียตะวันออก ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน โดยใช้สนามบินนานาชาติที่ขอนแก่นเป็นตัวเชื่อม "ยืมพลัง" คนเกษียณอายุจากทั่วโลก โดยใช้หมู่บ้านนานาชาติ เป็นตัวเชื่อม และ สุดท้าย นี่คือ การที่ผมหวัง "ยืมพลัง" การต่อสู้หาเสียงเลือกตั้งอย่างดุเดือดของ 2 พรรคการเมืองใหญ่ เพื่อนำเอา "คำตอบ"ที่สวยหรูนี้ ไปตอบโจทย์ประเทศไทย
วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553
หมัดน็อค 2 หมัด : สวัสดิการล้านล้านบาท
หากผมไม่ใช่คนเขียนบทความนี้เสียเอง ผมคงต้องคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องโกหกประชาชนเป็นแน่แท้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรกับการทำนโยบายสวัสดิการถึงล้านล้านบาท ขณะที่งบประมาณภาครัฐปีละ 2 ล้านล้านบาทเท่านั้นเอง
แต่ถ้าได้ติดตามบทความของผมมาบ้าง ก็พอจะรู้ว่า เราไม่ต้องช่วยประชาชนโดยการใส่เงินงบประมาณเข้าไปตรงๆ แต่สามารถยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะกองทุนบำนาญต่างๆ และแบงก์รัฐ ตามเนื้อหาในเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.)
ผมได้คิดทบทวนดูว่าทำไมนโยบายของรัฐบาลซึ่งก็ใช้เงินงบประมาณไม่น้อยถึง 3 แสนล้านบาท เพื่อทำสวัสดิการประชาชน แต่กลับมีหลายบุคคลซึ่งไม่ได้รับผลประโยชน์เอาเลย ตัวอย่างเช่น คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก็แล้วกัน พวกเขาคงจะบ่นแบบนี้
เช็คช่วยชาติ ... พวกกระผมได้รับการประเมินจากรัฐบาลแล้วว่าเป็นบุคคลค่อนข้างร่ำรวย ทำงานนอกระบบ จึงไม่ได้รับเงินนี้ เศร้า
เบี้ยยังชีพคนชรา ... พวกกระผมยังไม่แก่พอที่จะรับเงินนี้ได้ อดอีกแล้ว
เรียนฟรี 15 ปี ... พวกกระผมไม่กล้ามีลูกหรอกครับ แค่หาเลี้ยงปากท้องตัวเองยังแทบไม่รอดเลย อดอีกแล้ว
ประกันรายได้เกษตรกร... พวกกระผมไม่ได้ทำนานี่ครับ อดอีกแล้ว
ลดค่าครองชีพ ... เช่าอยู่กันหลายคนค่าไฟเลยเกินมาหน่อย สรุปแล้ว จ่ายเอง ส่วนรถเมล์ไม่เคยนั่ง ขี่แต่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพ อดอีกเช่นกัน
ขณะที่การขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันและบุหรี่นั้น กระทบพวกเขาเต็มๆ
ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ... รัฐบาลคงคิดว่าพวกกระผมเข้าขั้นคนรวยใช้เบนซินหรือแก๊ซโซฮอลล์ เลยต้องรับกรรมจ่ายเพิ่ม
ภาษีบุหรี่ ... พอจะดูดบุหรี่แก้เครียดจาก"นโยบายฝนตกไม่ทั่วฟ้า" พวกกระผมก็ถูกเก็บภาษีเพิ่มอีกแล้ว นี่มันอะไรกัน "รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน" หรือเปล่าครับ เพราะ พวกกระผมไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่บาทเดียว จากเงินงบประมาณที่รัฐบาลใส่ลงไปถึง 3 แสนล้าน แถมยังต้องมารับภาระภาษีสรรพสามิตเพิ่มอีก
พรรคไทยรักไทยเคยโค่น ประชาธิปัตย์อย่างราบคาบ ด้วย 2 หมัดเด็ด "สวัสดิการแสนล้าน" คือ "บัตรทอง 30 บาท" และ "กองทุนหมู่บ้าน" มาแล้ว ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ชกแต่ "หมัดแย็บ" ด้วยน้ำหนักหมัดราว 2-3 หมื่นล้านเท่านั้นเองต่อนโยบาย ซึ่งก็มีทั้งความ "ไม่พอ" และ "มากเกิน" อยู่ในตัวเอง
"ไม่พอ" เพราะ น้อยเกินไป เมื่อเทียบกับสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ และ "มากเกิน" เพราะเงินไม่พอทำให้ต้องสร้างหนี้ภาครัฐเพิ่ม ด้วยสวัสดิการระดับ 3 แสนล้านนี้ไปช่วยเพิ่มหนี้สินสาธารณะในปีที่แล้วถึง 8 แสนล้านบาท
รัฐบาลขาดซึ่ง นโยบายสวัสดิการแสนล้าน ที่จะน็อคพรรคคู่แข่งได้ อย่างไรก็ดีบทความนี้จะนำเสนอ "หมัดน็อค" ระดับล้านล้านบาท เพื่อโค่นพรรคการเมืองคู่แข่ง แบบไม่มีแรงจะยืนบนสังเวียนการเมืองได้อีกนาน แทนที่จะมีคะแนนความนิยมในระดับใกล้เคียงกันอยู่ในปัจจุบัน
1.สินเชื่อ999 โดยให้ กบข. สปส. และ บลจ.ที่ดูแลเงินบำนาญ กบข. ประกันสังคม และ สำรองเลี้ยงชีพ ตามลำดับ ค้ำประกันเงินกู้ให้กับสมาชิกและผู้ประกันตน ไม่เกิน 9 ส่วนของเงินออม ในอัตราดอกเบี้ย 9 เปอร์เซนต์ต่อปี และ ผ่อนได้นานสุด 9 ปี วงเงิน 3 ก้อนนี้รวม 1.5 ล้านล้านนั้น อาจมีราว 40 เปอร์เซนต์ที่เปลี่ยนเป็นสินเชื่อ นั่นหมายถึงเงินราว 6 แสนล้านบาท จะเข้ามาช่วยคนทำงานในระบบให้เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ โดยไม่ต้องใส่ใจกับเครดิตบูโร
2.กองทุน555 เพิ่มวงเงินของกองทุนหมู่บ้าน 5 เท่าตัวเป็น 5 ล้าน ระยะเวลาคืนเงินต้น 5 ปี และ แต่ละบุคคลกู้ได้สูงสุด 5 หมื่น ซึ่งเป็นระดับที่นานขึ้นและมากขึ้นกว่าปัจจุบัน อันจะช่วยลดจุดอ่อนการหมุนหนี้ของประชาชนได้ วงเงินตรงนี้ 4 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ทำงานนอกระบบให้เข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น
เมื่อรวม 2 เรื่องเข้าด้วยกันก็จะเป็นวงเงินถึง 1 ล้านล้านบาท ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่บาทเดียว จึงอาจเป็น 2 หมัดน็อคใช้ล้มคู่แข่งทางการเมืองได้อย่างสบายๆ และ ประชาชนที่จะได้ประโยชน์ตรงนี้อาจสูงถึง 20 ล้านคน แทนที่จะเป็นแค่ 2 แสนคนที่รัฐบาลได้ช่วยแก้ไขหนี้นอกระบบได้สำเร็จ
ผมไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนติดหนี้สินกันมากขึ้น แต่เราต้องยอมรับความจริงว่าคนไทยติดหนี้กันมากอยู่แล้ว และ การช่วยให้คนไทยได้รีไฟแนนซ์ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมาก นั่นหมายถึง คนจนและชนชั้นกลาง เหลือเงินติดกระเป๋ากันมากขึ้น เพราะ ได้รับผลตอบแทนของแรงงานเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น และ จ่ายผลตอบแทนของทุนลดลง ปัจจุบันนั้นมีบางคนทำงานทุกวัน แต่ไม่เคยได้รับเงินไปใช้เลย เพราะจ่ายเป็นดอกเบี้ยนอกระบบไปหมด หนี้สินมีแต่พอกพูน เป็นระบบที่เลวร้ายกว่า "ระบบทาส" ในอดีตเสียอีก เพราะ ทาสในสมัยก่อนนั้นทำงานไป และ รับอาหาร ที่พักอาศัยจากนายทาส แม้ไม่มีสินทรัพย์เหลือแต่ก็ไม่มีหนี้สินรุงรัง
นอกจากนี้ การใช้แบงก์รัฐมาเป็นแขนขาในการปล่อยสินเชื่อนั้น จะเร่งให้เกิดการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อระดมเงินออมขนานใหญ่ในแบงก์รัฐ ซึ่งจะช่วยลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลงด้วยกลไกการตลาด อันเป็นสิ่งที่รัฐบาลอยากเห็นอยู่แล้ว
รัฐบาลอภิสิทธิ์คงมีเวลาคิดไม่มากนักที่จะเลือกเดินหน้าใช้นโยบาย "สวัสดิการล้านล้าน" ในลักษณะคล้ายๆ แบบนี้เพื่อช่วยเหลือประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ ซื้อใจประชาชนให้ได้เพื่อน็อคคู่แข่งทางการเมือง หรือว่า ยังคงใจเย็นเดินหน้าชกด้วย "หมัดแย็บ" กันต่อไป แล้วรอ พรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบาย "หมัดน็อค" มาโค่นประชาธิปัตย์ในอนาคตอันใกล้
แต่ถ้าได้ติดตามบทความของผมมาบ้าง ก็พอจะรู้ว่า เราไม่ต้องช่วยประชาชนโดยการใส่เงินงบประมาณเข้าไปตรงๆ แต่สามารถยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ ได้ โดยเฉพาะกองทุนบำนาญต่างๆ และแบงก์รัฐ ตามเนื้อหาในเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.)
ผมได้คิดทบทวนดูว่าทำไมนโยบายของรัฐบาลซึ่งก็ใช้เงินงบประมาณไม่น้อยถึง 3 แสนล้านบาท เพื่อทำสวัสดิการประชาชน แต่กลับมีหลายบุคคลซึ่งไม่ได้รับผลประโยชน์เอาเลย ตัวอย่างเช่น คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ก็แล้วกัน พวกเขาคงจะบ่นแบบนี้
เช็คช่วยชาติ ... พวกกระผมได้รับการประเมินจากรัฐบาลแล้วว่าเป็นบุคคลค่อนข้างร่ำรวย ทำงานนอกระบบ จึงไม่ได้รับเงินนี้ เศร้า
เบี้ยยังชีพคนชรา ... พวกกระผมยังไม่แก่พอที่จะรับเงินนี้ได้ อดอีกแล้ว
เรียนฟรี 15 ปี ... พวกกระผมไม่กล้ามีลูกหรอกครับ แค่หาเลี้ยงปากท้องตัวเองยังแทบไม่รอดเลย อดอีกแล้ว
ประกันรายได้เกษตรกร... พวกกระผมไม่ได้ทำนานี่ครับ อดอีกแล้ว
ลดค่าครองชีพ ... เช่าอยู่กันหลายคนค่าไฟเลยเกินมาหน่อย สรุปแล้ว จ่ายเอง ส่วนรถเมล์ไม่เคยนั่ง ขี่แต่มอเตอร์ไซค์คู่ชีพ อดอีกเช่นกัน
ขณะที่การขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันและบุหรี่นั้น กระทบพวกเขาเต็มๆ
ภาษีสรรพสามิตน้ำมัน ... รัฐบาลคงคิดว่าพวกกระผมเข้าขั้นคนรวยใช้เบนซินหรือแก๊ซโซฮอลล์ เลยต้องรับกรรมจ่ายเพิ่ม
ภาษีบุหรี่ ... พอจะดูดบุหรี่แก้เครียดจาก"นโยบายฝนตกไม่ทั่วฟ้า" พวกกระผมก็ถูกเก็บภาษีเพิ่มอีกแล้ว นี่มันอะไรกัน "รัฐบาลอภิสิทธิ์ชน" หรือเปล่าครับ เพราะ พวกกระผมไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยแม้แต่บาทเดียว จากเงินงบประมาณที่รัฐบาลใส่ลงไปถึง 3 แสนล้าน แถมยังต้องมารับภาระภาษีสรรพสามิตเพิ่มอีก
พรรคไทยรักไทยเคยโค่น ประชาธิปัตย์อย่างราบคาบ ด้วย 2 หมัดเด็ด "สวัสดิการแสนล้าน" คือ "บัตรทอง 30 บาท" และ "กองทุนหมู่บ้าน" มาแล้ว ขณะที่รัฐบาลชุดนี้ชกแต่ "หมัดแย็บ" ด้วยน้ำหนักหมัดราว 2-3 หมื่นล้านเท่านั้นเองต่อนโยบาย ซึ่งก็มีทั้งความ "ไม่พอ" และ "มากเกิน" อยู่ในตัวเอง
"ไม่พอ" เพราะ น้อยเกินไป เมื่อเทียบกับสิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการ และ "มากเกิน" เพราะเงินไม่พอทำให้ต้องสร้างหนี้ภาครัฐเพิ่ม ด้วยสวัสดิการระดับ 3 แสนล้านนี้ไปช่วยเพิ่มหนี้สินสาธารณะในปีที่แล้วถึง 8 แสนล้านบาท
รัฐบาลขาดซึ่ง นโยบายสวัสดิการแสนล้าน ที่จะน็อคพรรคคู่แข่งได้ อย่างไรก็ดีบทความนี้จะนำเสนอ "หมัดน็อค" ระดับล้านล้านบาท เพื่อโค่นพรรคการเมืองคู่แข่ง แบบไม่มีแรงจะยืนบนสังเวียนการเมืองได้อีกนาน แทนที่จะมีคะแนนความนิยมในระดับใกล้เคียงกันอยู่ในปัจจุบัน
1.สินเชื่อ999 โดยให้ กบข. สปส. และ บลจ.ที่ดูแลเงินบำนาญ กบข. ประกันสังคม และ สำรองเลี้ยงชีพ ตามลำดับ ค้ำประกันเงินกู้ให้กับสมาชิกและผู้ประกันตน ไม่เกิน 9 ส่วนของเงินออม ในอัตราดอกเบี้ย 9 เปอร์เซนต์ต่อปี และ ผ่อนได้นานสุด 9 ปี วงเงิน 3 ก้อนนี้รวม 1.5 ล้านล้านนั้น อาจมีราว 40 เปอร์เซนต์ที่เปลี่ยนเป็นสินเชื่อ นั่นหมายถึงเงินราว 6 แสนล้านบาท จะเข้ามาช่วยคนทำงานในระบบให้เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ โดยไม่ต้องใส่ใจกับเครดิตบูโร
2.กองทุน555 เพิ่มวงเงินของกองทุนหมู่บ้าน 5 เท่าตัวเป็น 5 ล้าน ระยะเวลาคืนเงินต้น 5 ปี และ แต่ละบุคคลกู้ได้สูงสุด 5 หมื่น ซึ่งเป็นระดับที่นานขึ้นและมากขึ้นกว่าปัจจุบัน อันจะช่วยลดจุดอ่อนการหมุนหนี้ของประชาชนได้ วงเงินตรงนี้ 4 แสนล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ทำงานนอกระบบให้เข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น
เมื่อรวม 2 เรื่องเข้าด้วยกันก็จะเป็นวงเงินถึง 1 ล้านล้านบาท ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่บาทเดียว จึงอาจเป็น 2 หมัดน็อคใช้ล้มคู่แข่งทางการเมืองได้อย่างสบายๆ และ ประชาชนที่จะได้ประโยชน์ตรงนี้อาจสูงถึง 20 ล้านคน แทนที่จะเป็นแค่ 2 แสนคนที่รัฐบาลได้ช่วยแก้ไขหนี้นอกระบบได้สำเร็จ
ผมไม่ได้สนับสนุนให้ประชาชนติดหนี้สินกันมากขึ้น แต่เราต้องยอมรับความจริงว่าคนไทยติดหนี้กันมากอยู่แล้ว และ การช่วยให้คนไทยได้รีไฟแนนซ์ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงมาก นั่นหมายถึง คนจนและชนชั้นกลาง เหลือเงินติดกระเป๋ากันมากขึ้น เพราะ ได้รับผลตอบแทนของแรงงานเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น และ จ่ายผลตอบแทนของทุนลดลง ปัจจุบันนั้นมีบางคนทำงานทุกวัน แต่ไม่เคยได้รับเงินไปใช้เลย เพราะจ่ายเป็นดอกเบี้ยนอกระบบไปหมด หนี้สินมีแต่พอกพูน เป็นระบบที่เลวร้ายกว่า "ระบบทาส" ในอดีตเสียอีก เพราะ ทาสในสมัยก่อนนั้นทำงานไป และ รับอาหาร ที่พักอาศัยจากนายทาส แม้ไม่มีสินทรัพย์เหลือแต่ก็ไม่มีหนี้สินรุงรัง
นอกจากนี้ การใช้แบงก์รัฐมาเป็นแขนขาในการปล่อยสินเชื่อนั้น จะเร่งให้เกิดการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อระดมเงินออมขนานใหญ่ในแบงก์รัฐ ซึ่งจะช่วยลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยลงด้วยกลไกการตลาด อันเป็นสิ่งที่รัฐบาลอยากเห็นอยู่แล้ว
รัฐบาลอภิสิทธิ์คงมีเวลาคิดไม่มากนักที่จะเลือกเดินหน้าใช้นโยบาย "สวัสดิการล้านล้าน" ในลักษณะคล้ายๆ แบบนี้เพื่อช่วยเหลือประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ ซื้อใจประชาชนให้ได้เพื่อน็อคคู่แข่งทางการเมือง หรือว่า ยังคงใจเย็นเดินหน้าชกด้วย "หมัดแย็บ" กันต่อไป แล้วรอ พรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบาย "หมัดน็อค" มาโค่นประชาธิปัตย์ในอนาคตอันใกล้
วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2553
รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก : แนวคิดพิชิตวิกฤตการเมืองไทย
รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji Politics) : แนวคิดพิชิตวิกฤตการเมืองไทย
หลังจากได้คิดค้นเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) เรียบร้อยแล้ว ผมได้ผลิตรัฐศาสตร์ไท้เก๊ก ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานอันเดียวกัน โดยยืมพลังจากศัตรูรอง เพื่อต่อสู้กับศัตรูหลัก จะเปลี่ยนศัตรูให้มาเพิ่มเป็นพลังของฝ่ายเรา ดังนั้น จึงสามารถจะบรรลุเป้าหมายที่สุดแสนจะยากลำบากได้
ที่จริงแล้วสำหรับรัฐศาสตร์ไท้เก๊ก อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยสามก๊ก ขงเบ้งใช้วิธียืมพลังของ "ซุนกวนและจิวยี่" เพื่อโค่นทัพของ โจโฉ และ ในยุคที่ญี่ปุ่นบุกจีนนั้น เหมาเจ๋อตุง ได้ยืมพลังของ เจียงไคเช็ก ซึ่งเป็นศัตรูเพื่อ โค่นทัพญี่ปุ่น ที่เป็นศัตรูบุกรุกเข้ามา อย่างไรก็ดี ในตอนนี้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น
สำหรับ ณ เวลานี้ การชุมนุม นปช. ไม่ยอมถอยให้กับรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลจะเดินหน้าเข้าสลายการชุมนุมก็เกิดความสูญเสียได้ไม่น้อย โดยบทเรียนจากวันที่ 10 เมษายน นั้นก็เป็นเรื่องที่ควรกังวลเป็นอย่างยิ่ง หากคิดจะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมในอนาคต
แต่หากจะปล่อยให้เกิดการชุมนุมต่อไป ก็เป็นการผิดกฎหมายและ สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนคนกรุงเทพฯ ไม่น้อยเลย รัฐบาลต้องหาทางออกที่สวยงามให้กับเรื่องแบบนี้ อย่างไรก็ดีทางออกของรัฐบาลก็คือ “รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก” ด้วยการยืมพลังของคนเสื้อแดง เพื่อโค่นล้มศัตรูที่แท้จริง "คนเสื้อดำ : ผู้ก่อการร้าย" และ “ธนาธิปไตย” ให้หมดไปจากสังคมไทย
รัฐบาลควรนำพลังคนเสื้อแดง มา “ปฏิวัติรัฐธรรมนูญ” โดยเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ เพื่อเพิ่มสิทธิของประชาชนทั่วไปให้สามารถเป็น สส. เป็น สว. ได้ ไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญาแต่อย่างใด เพราะ ขณะนี้ไทยได้ลิดรอนสิทธิของประชาชนถึง 90% ไม่ให้มีสิทธิในการเป็น สส. ตลอดชีวิตเลย
อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เคยกล่าวไว้ว่า “รัฐธรรมที่จำกัดลิดรอนสิทธิของประชาชน ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ดี” ดังนั้น รัฐธรรมนูญทั้งปี 40 และ 50 ล้วนแต่ใช้ไม่ได้ เพราะ มีการจำกัดสิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ให้มีสิทธิในการเป็นตัวแทนของชาวบ้าน
ทางออกสวยๆ จะมีไหม... “ยืมพลัง” แบบไท้เก๊กครับ ด้วยการเปลี่ยนคุณสมบัติของการเป็น สส. และ กำหนดวิธีการเลือกตั้งแบบใหม่ หรือแบบ “รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก” ด้วยการให้แต่ละหมู่บ้านเลือกตัวแทนขึ้นมา 1 คน จะได้ 7.8 หมื่นคนทั้งประเทศ แล้วเลือกจังหวัดเล็ก 1 คน จังหวัดใหญ่ 2-3 คนก็ว่าไป แล้วแต่จำนวนประชากร โดยวิธีจับสลากอีกครั้งหนึ่ง ให้สวรรค์เป็นผู้เลือกในขั้นสุดท้าย
ด้วยวิธีนี้ การใช้ทุนอุปถัมภ์จะแทบไม่มีผลเลย แรงจูงใจที่จะใช้เงินในการหาเสียงเลือกตั้งจะแทบไม่มี เราจะได้ตัวแทนประชาชนที่เป็นคนดี และ ทุ่มเทเพื่อชุมชนโดยแท้จริง ไม่ใช่นักการเมืองที่เป็นนายทุน หรือ เป็นตัวแทนของนายทุนอุปถัมภ์ ตัวแทนของชาวนา จะเป็น ชาวนา ไม่ใช่เจ้าที่ดิน ตัวแทนของคนงาน จะเป็น คนงาน ไม่ใช่นายทุน
รัฐบาลควรเสนอทางเลือกให้กับ นปช. 3 ทาง โดยต้องให้คำตอบภายใน 12 ชั่วโมง ดังนี้
1. ทำการ “ปฏิบัติรัฐธรรมนูญ” ร่วมกัน โดยอาศัยประชามติ ซึ่งไม่ใช่แค่การแก้ไข 2 หรือ 6 ประเด็น ดังที่คุยๆ กันไว้ แต่แก้ไขไปถึงระดับรากเหง้าของปัญหา คือ เพิ่มสิทธิให้กับประชาชนทั่วไปสามารถเป็น สส. สว.ได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทุน ไม่ต้องใช้เส้น ไม่ต้องใช้ใบปริญญา แต่อย่างใด คนเสื้อแดง จะถูกประวัติศาสตร์จารึกใหม่ ไม่ใช่กลุ่มคนที่ชุมนุมแบบผิดกฎหมาย หรือ สนับสนุนผู้ก่อการร้าย แต่จะเป็นผู้ซึ่งเรียกร้องให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ในที่สุด ระยะเวลาในการ “ปฏิวัติรัฐธรรมนูญ” นี้ใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือนก่อนจะยุบสภา
วิธีนี้ รัฐบาล เสื้อแดง และประเทศชาติ จะชนะกันทุกฝ่าย
2. เรียกร้องให้มีการเจรจารอบ 3 เกิดขึ้นเร็วที่สุด โดยแนวทางการเจรจาออกมาในแนวทางที่ 1
วิธีนี้ รัฐบาลชนะ เสื้อแดงเสมอ และ ประเทศชาติยังไม่แน่
3. หากไม่เลือกข้อ 1 หรือ 2 รัฐบาลจะส่งทหารและตำรวจ ควบคุมจำกัดพื้นที่ ไม่ให้ประชาชนเข้าพื้นที่ชุมนุมได้อีก แต่ยอมให้ออกอย่างเดียว การตัดน้ำ ไฟ และ เสบียงอาหาร เพียงแค่ 24 ชม. ก็น่าทำให้ผู้ชุมนุมหลายคนถอดใจ ยอมออกจากสถานที่ชุมนุมโดยไม่เสียเลือดเนื้อแล้ว และ คนที่ชุมนุมอยู่ก็เสียกำลังขวัญเพราะ เพื่อนๆ หลายคนเดินออกไปเห็นต่อหน้าต่อตากันเลย เมื่อเหลือกำลังคนน้อยลง ก็สลายม็อบได้เลย แกนนำเสื้อแดงเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดหากเกิดความเสียหาย เพราะดันไม่เลือกแนวทางสันติวิธีเอง
วิธีนี้ รัฐบาลชนะ เสื้อแดงแพ้ ส่วนประเทศชาติยังไม่แน่
อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าวิธีที่1 จะดีที่สุดสำหรับประเทศชาติในระยะยาว เพราะ จะแก้ไขปัญหารากเหง้าของประเทศได้เลย “ธนาธิปไตย” และ “อำมาตยาธิปไตย” จะถูกโค่นล้ม และ “ประชาธิปไตย”ที่แท้จริงตามฝันของ อาจารย์ปรีดี จะถูกสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ไป ชาวบ้านกลายเป็น สส.ได้ ก็คือ “ไพร่” จะกลายเป็น “อำมาตย์” ได้นั่นเอง
เร่งรีบใช้ “รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก” เพื่อคืนความสงบ และ ความสมานฉันท์ให้กับประเทศชาติเถอะครับ
หลังจากได้คิดค้นเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) เรียบร้อยแล้ว ผมได้ผลิตรัฐศาสตร์ไท้เก๊ก ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานอันเดียวกัน โดยยืมพลังจากศัตรูรอง เพื่อต่อสู้กับศัตรูหลัก จะเปลี่ยนศัตรูให้มาเพิ่มเป็นพลังของฝ่ายเรา ดังนั้น จึงสามารถจะบรรลุเป้าหมายที่สุดแสนจะยากลำบากได้
ที่จริงแล้วสำหรับรัฐศาสตร์ไท้เก๊ก อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยสามก๊ก ขงเบ้งใช้วิธียืมพลังของ "ซุนกวนและจิวยี่" เพื่อโค่นทัพของ โจโฉ และ ในยุคที่ญี่ปุ่นบุกจีนนั้น เหมาเจ๋อตุง ได้ยืมพลังของ เจียงไคเช็ก ซึ่งเป็นศัตรูเพื่อ โค่นทัพญี่ปุ่น ที่เป็นศัตรูบุกรุกเข้ามา อย่างไรก็ดี ในตอนนี้สถานการณ์ซับซ้อนยิ่งกว่านั้น
สำหรับ ณ เวลานี้ การชุมนุม นปช. ไม่ยอมถอยให้กับรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลจะเดินหน้าเข้าสลายการชุมนุมก็เกิดความสูญเสียได้ไม่น้อย โดยบทเรียนจากวันที่ 10 เมษายน นั้นก็เป็นเรื่องที่ควรกังวลเป็นอย่างยิ่ง หากคิดจะใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมในอนาคต
แต่หากจะปล่อยให้เกิดการชุมนุมต่อไป ก็เป็นการผิดกฎหมายและ สร้างความเดือดร้อนต่อประชาชนคนกรุงเทพฯ ไม่น้อยเลย รัฐบาลต้องหาทางออกที่สวยงามให้กับเรื่องแบบนี้ อย่างไรก็ดีทางออกของรัฐบาลก็คือ “รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก” ด้วยการยืมพลังของคนเสื้อแดง เพื่อโค่นล้มศัตรูที่แท้จริง "คนเสื้อดำ : ผู้ก่อการร้าย" และ “ธนาธิปไตย” ให้หมดไปจากสังคมไทย
รัฐบาลควรนำพลังคนเสื้อแดง มา “ปฏิวัติรัฐธรรมนูญ” โดยเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ เพื่อเพิ่มสิทธิของประชาชนทั่วไปให้สามารถเป็น สส. เป็น สว. ได้ ไม่จำเป็นต้องมีใบปริญญาแต่อย่างใด เพราะ ขณะนี้ไทยได้ลิดรอนสิทธิของประชาชนถึง 90% ไม่ให้มีสิทธิในการเป็น สส. ตลอดชีวิตเลย
อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ เคยกล่าวไว้ว่า “รัฐธรรมที่จำกัดลิดรอนสิทธิของประชาชน ถือว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ดี” ดังนั้น รัฐธรรมนูญทั้งปี 40 และ 50 ล้วนแต่ใช้ไม่ได้ เพราะ มีการจำกัดสิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ไม่ให้มีสิทธิในการเป็นตัวแทนของชาวบ้าน
ทางออกสวยๆ จะมีไหม... “ยืมพลัง” แบบไท้เก๊กครับ ด้วยการเปลี่ยนคุณสมบัติของการเป็น สส. และ กำหนดวิธีการเลือกตั้งแบบใหม่ หรือแบบ “รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก” ด้วยการให้แต่ละหมู่บ้านเลือกตัวแทนขึ้นมา 1 คน จะได้ 7.8 หมื่นคนทั้งประเทศ แล้วเลือกจังหวัดเล็ก 1 คน จังหวัดใหญ่ 2-3 คนก็ว่าไป แล้วแต่จำนวนประชากร โดยวิธีจับสลากอีกครั้งหนึ่ง ให้สวรรค์เป็นผู้เลือกในขั้นสุดท้าย
ด้วยวิธีนี้ การใช้ทุนอุปถัมภ์จะแทบไม่มีผลเลย แรงจูงใจที่จะใช้เงินในการหาเสียงเลือกตั้งจะแทบไม่มี เราจะได้ตัวแทนประชาชนที่เป็นคนดี และ ทุ่มเทเพื่อชุมชนโดยแท้จริง ไม่ใช่นักการเมืองที่เป็นนายทุน หรือ เป็นตัวแทนของนายทุนอุปถัมภ์ ตัวแทนของชาวนา จะเป็น ชาวนา ไม่ใช่เจ้าที่ดิน ตัวแทนของคนงาน จะเป็น คนงาน ไม่ใช่นายทุน
รัฐบาลควรเสนอทางเลือกให้กับ นปช. 3 ทาง โดยต้องให้คำตอบภายใน 12 ชั่วโมง ดังนี้
1. ทำการ “ปฏิบัติรัฐธรรมนูญ” ร่วมกัน โดยอาศัยประชามติ ซึ่งไม่ใช่แค่การแก้ไข 2 หรือ 6 ประเด็น ดังที่คุยๆ กันไว้ แต่แก้ไขไปถึงระดับรากเหง้าของปัญหา คือ เพิ่มสิทธิให้กับประชาชนทั่วไปสามารถเป็น สส. สว.ได้ โดยไม่ต้องใช้เงินทุน ไม่ต้องใช้เส้น ไม่ต้องใช้ใบปริญญา แต่อย่างใด คนเสื้อแดง จะถูกประวัติศาสตร์จารึกใหม่ ไม่ใช่กลุ่มคนที่ชุมนุมแบบผิดกฎหมาย หรือ สนับสนุนผู้ก่อการร้าย แต่จะเป็นผู้ซึ่งเรียกร้องให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยที่แท้จริงได้ในที่สุด ระยะเวลาในการ “ปฏิวัติรัฐธรรมนูญ” นี้ใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือนก่อนจะยุบสภา
วิธีนี้ รัฐบาล เสื้อแดง และประเทศชาติ จะชนะกันทุกฝ่าย
2. เรียกร้องให้มีการเจรจารอบ 3 เกิดขึ้นเร็วที่สุด โดยแนวทางการเจรจาออกมาในแนวทางที่ 1
วิธีนี้ รัฐบาลชนะ เสื้อแดงเสมอ และ ประเทศชาติยังไม่แน่
3. หากไม่เลือกข้อ 1 หรือ 2 รัฐบาลจะส่งทหารและตำรวจ ควบคุมจำกัดพื้นที่ ไม่ให้ประชาชนเข้าพื้นที่ชุมนุมได้อีก แต่ยอมให้ออกอย่างเดียว การตัดน้ำ ไฟ และ เสบียงอาหาร เพียงแค่ 24 ชม. ก็น่าทำให้ผู้ชุมนุมหลายคนถอดใจ ยอมออกจากสถานที่ชุมนุมโดยไม่เสียเลือดเนื้อแล้ว และ คนที่ชุมนุมอยู่ก็เสียกำลังขวัญเพราะ เพื่อนๆ หลายคนเดินออกไปเห็นต่อหน้าต่อตากันเลย เมื่อเหลือกำลังคนน้อยลง ก็สลายม็อบได้เลย แกนนำเสื้อแดงเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมดหากเกิดความเสียหาย เพราะดันไม่เลือกแนวทางสันติวิธีเอง
วิธีนี้ รัฐบาลชนะ เสื้อแดงแพ้ ส่วนประเทศชาติยังไม่แน่
อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าวิธีที่1 จะดีที่สุดสำหรับประเทศชาติในระยะยาว เพราะ จะแก้ไขปัญหารากเหง้าของประเทศได้เลย “ธนาธิปไตย” และ “อำมาตยาธิปไตย” จะถูกโค่นล้ม และ “ประชาธิปไตย”ที่แท้จริงตามฝันของ อาจารย์ปรีดี จะถูกสานต่อให้เสร็จสมบูรณ์ไป ชาวบ้านกลายเป็น สส.ได้ ก็คือ “ไพร่” จะกลายเป็น “อำมาตย์” ได้นั่นเอง
เร่งรีบใช้ “รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก” เพื่อคืนความสงบ และ ความสมานฉันท์ให้กับประเทศชาติเถอะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553
ก้าวข้าม "ธนาธิปไตย" สู่ "ประชาธิปไตย" ที่แท้จริง
ก้าวข้าม “ธนาธิปไตย” สู่ “ประชาธิปไตย” ที่แท้จริง
ในยามที่บ้านเมืองมีปัญหาของการเมืองสุมเข้ามาเช่นนี้ ผมขออนุญาตการเปลี่ยนหัวเรื่องจากด้าน “เศรษฐกิจ” มาเสนอความเห็นด้าน “การเมือง” บ้าง
อย่างที่พวกเราล้วนรู้ดีกันอยู่ว่าระบบการเลือกตั้งในปัจจุบันนั้น ต้องมีการใช้เงินทุนเพื่อหาเสียงกันเป็นจำนวนมากหลายล้านบาท ทั้งแบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การทำแผ่นพับ โฆษณาผ่านสื่อ หรือ ป้ายหาเสียง รวมทั้งที่แบบผิดกฎหมาย (แต่แอบทำ) อีกเป็นจำนวนมาก เราจึงมักได้ผู้แทนราษฎร (สส.) ที่เป็นเจ้าที่ดิน หรือนายทุน ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนา และ คนงาน
เมื่อนายทุนได้เข้ามาเป็น สส. ก็มุ่งหวังผลประโยชน์เพื่อถอนทุนคืน จึงอาจเชื่อมโยงไปถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ง่ายๆ เรื่องแบบนี้พวกเรารู้ดีกันมาหลายสิบปีแล้ว ว่าโดยรูปแบบปัจจุบันนั้นคล้าย “ประชาธิปไตย” แต่โดยเนื้อแท้แล้ว คือ “ธนาธิปไตย” ที่มุ่งการใช้เงินทุนเป็นหลักเพื่อเข้ามาในสภา เพื่อแสงหาผลกำไรเป็นเงินทุนทางการเมืองกลับไปนั่นเอง
ผมมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะเสนอ แนวทางการเลือกตั้งแบบใหม่ เพื่อให้ประเทศก้าวข้าม “ธนาธิปไตย” ไปให้ได้ โดยยังคงอยู่ในกรอบแห่ง “ประชาธิปไตย” อยู่ดี นั่นคือ “ระบบตัวแทนหมู่บ้าน”
ด้วยระบบนี้ก็คือ การจัดให้หมู่บ้าน 7.8 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศได้เลือกตัวแทนหมู่บ้าน 1 คน ซึ่งเป็นคนดีและพร้อมทำงานเพื่อสังคม จากนั้นก็สุ่มเลือกแบบจับสลากขึ้นมาราว 80 คน จังหวัดละ 1 คนยกเว้นจังหวัดใหญ่ๆ ได้ 2 คน ด้วยวิธีการนี้จึงเป็นการเลือกด้วย “ประชาชน” ชั้นหนึ่ง แล้วจึงให้ “สวรรค์” เป็นคนเลือกอีกขั้นหนึ่ง โดยรูปแบบแล้วคล้ายการ “เสี่ยงโชค” แต่เนื้อแท้แล้วเป็น “ประชาธิปไตย” อย่างมาก เพราะ ชาวบ้านมีโอกาสเข้ามาเป็น สส. ได้ ทั้งๆที่ระบบปัจจุบันนั้นโอกาสนั้นไม่มีเอาเสียเลย
ด้วยระบบแบบนี้ แรงจูงใจในการซื้อเสียงแทบไม่มีเลย เพราะ แม้จะได้เป็นตัวแทนของหมู่บ้านก็มีโอกาสเพียง 1 ในพัน เท่านั้นที่จะได้เป็น สส.ตัวจริง เมื่อไม่มีการลงทุนในการหาเสียง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องถอนทุนทางการเมือง จะลดปัญหาของการทุจริตคอรัปชั่นไปในตัว ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยระบบแบบนี้เราจะได้ตัวแทนของประชาชนที่แท้จริง ไม่ใช่ว่า ชาวนาเลือกตัวแทนทีไร จะได้นายทุน อยู่ร่ำไป
ผมเชื่อว่าวิธีการแบบนี้จะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายทั้ง “เสื้อเหลือง” ที่เน้นความบริสุทธิ์ซื่อตรง “เสื้อแดง” ที่เน้นเรื่องขอประชาธิปไตย รวมไปถึง “เสื้อขาว” ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย มีคนกลุ่มเดียวที่อาจเสียประโยชน์จากตรงนี้ก็คือ สส.ในระบบปัจจุบันนั่นเอง
เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะ คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ชี้ชะตาหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการเลือกตั้ง หากขัดผลประโยชน์ของพวกเขาก็อาจไม่ผ่านได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่และประเทศชาติ ดังนั้น พรรคการเมืองใดที่ไม่สนับสนุนแนวคิดนี้ก็อาจหมายถึง การสูญเสียฐานเสียงของประชาชนจำนวนมากได้ง่ายๆ
สิ่งที่ควรจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งมีอยู่ 2 เรื่อง คือ
1. คุณสมบัติของ สส. ที่กำหนดให้ต้องจบปริญญาตรี นั้นไม่เหมาะสมเลย เป็นการตัดสิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ให้มีสิทธิในการสมัครเป็นตัวแทนชาวบ้าน เราต้องการคนที่มาเป็นปากเสียงของประชาชนนะครับ ไม่ใช่ มาเป็นนักวิชาการเพื่อแก้โจทย์คณิตศาสตร์ชั้นสูง แคลคูลัส แบบนั้น
ผมคิดว่าแค่ระดับ อ่านออกเขียนได้บวกลบเลขเป็น ก็น่าจะพอแล้ว จบชั้นประถมศึกษาก็น่าจะเพียงพอแล้ว เราต้องการคนดีที่พร้อมทำเพื่อสังคม ควรเปิดสิทธินั้นให้กับคนดีๆ ไม่ใช่ไปตัดสิทธิของประชาชนกลุ่มใหญ่ของประเทศไม่ให้เป็น สส.ได้
2. เพิ่มแบบของการเลือกตั้ง จากแค่ 2 แบบคือ ระบบแบ่งเขต และ ระบบสัดส่วน ก็เพิ่ม “ระบบตัวแทนหมู่บ้าน” เข้าไปด้วย โดย 2 แบบเดิมจะเหลือ 400 คน ส่วนระบบใหม่นี้ก็ราว 80 คน เพื่อทดลองนำร่องดูก่อน สส.ที่ได้อาจมีระดับการศึกษาที่ต่ำลง แต่เป็นคนดี พร้อมทำเพื่อสังคมมากขึ้น ไม่ทุจริตโกงกิน ซึ่งก็คือ คุณภาพที่ดีขึ้นของ สส.นั่นเอง
จากการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ในเดือนมีนาคมนี้ ผมกลับพบว่าแม้เสียงสนับสนุนต่อรัฐบาลจะดีขึ้นเนื่องจากสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างสวยงาม แต่ เงื่อนไขในการ “ไม่ยุบสภา” กลับลดลง เพราะ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว และ พรรคประชาธิปัตย์ก็ออกเสียงชัดเจนว่าจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หาก “ยุบสภา” ณ เวลานี้ การเมืองไทยก็จะกลับไปสู่วังวนเดิมๆ ของ “ธนาธิปไตย” และ การเมืองน้ำเน่าต่อไป
ผมจึงคิดว่า ความคิดนี้อาจเป็นจุดเล็กๆ ที่ใช้เป็นเงื่อนไขเพื่อการอยู่ต่อไปของสภา เพื่อดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของการเลือกตั้งให้เสร็จ เพื่อปฏิรูปการเมืองให้สร้างสรรค์เป็น “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง เราต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านธรรมดาๆ มีโอกาสเข้ามาเป็น สส.ในสภาได้ และ บางทีเรื่องนี้อาจเป็นจุดเล็กๆ เพื่อเริ่มต้นในการสร้างความสมานฉันท์ของประชาชนสีต่างๆ ในประเทศไทยของเราครับ
ในยามที่บ้านเมืองมีปัญหาของการเมืองสุมเข้ามาเช่นนี้ ผมขออนุญาตการเปลี่ยนหัวเรื่องจากด้าน “เศรษฐกิจ” มาเสนอความเห็นด้าน “การเมือง” บ้าง
อย่างที่พวกเราล้วนรู้ดีกันอยู่ว่าระบบการเลือกตั้งในปัจจุบันนั้น ต้องมีการใช้เงินทุนเพื่อหาเสียงกันเป็นจำนวนมากหลายล้านบาท ทั้งแบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น การทำแผ่นพับ โฆษณาผ่านสื่อ หรือ ป้ายหาเสียง รวมทั้งที่แบบผิดกฎหมาย (แต่แอบทำ) อีกเป็นจำนวนมาก เราจึงมักได้ผู้แทนราษฎร (สส.) ที่เป็นเจ้าที่ดิน หรือนายทุน ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนา และ คนงาน
เมื่อนายทุนได้เข้ามาเป็น สส. ก็มุ่งหวังผลประโยชน์เพื่อถอนทุนคืน จึงอาจเชื่อมโยงไปถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ง่ายๆ เรื่องแบบนี้พวกเรารู้ดีกันมาหลายสิบปีแล้ว ว่าโดยรูปแบบปัจจุบันนั้นคล้าย “ประชาธิปไตย” แต่โดยเนื้อแท้แล้ว คือ “ธนาธิปไตย” ที่มุ่งการใช้เงินทุนเป็นหลักเพื่อเข้ามาในสภา เพื่อแสงหาผลกำไรเป็นเงินทุนทางการเมืองกลับไปนั่นเอง
ผมมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะเสนอ แนวทางการเลือกตั้งแบบใหม่ เพื่อให้ประเทศก้าวข้าม “ธนาธิปไตย” ไปให้ได้ โดยยังคงอยู่ในกรอบแห่ง “ประชาธิปไตย” อยู่ดี นั่นคือ “ระบบตัวแทนหมู่บ้าน”
ด้วยระบบนี้ก็คือ การจัดให้หมู่บ้าน 7.8 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศได้เลือกตัวแทนหมู่บ้าน 1 คน ซึ่งเป็นคนดีและพร้อมทำงานเพื่อสังคม จากนั้นก็สุ่มเลือกแบบจับสลากขึ้นมาราว 80 คน จังหวัดละ 1 คนยกเว้นจังหวัดใหญ่ๆ ได้ 2 คน ด้วยวิธีการนี้จึงเป็นการเลือกด้วย “ประชาชน” ชั้นหนึ่ง แล้วจึงให้ “สวรรค์” เป็นคนเลือกอีกขั้นหนึ่ง โดยรูปแบบแล้วคล้ายการ “เสี่ยงโชค” แต่เนื้อแท้แล้วเป็น “ประชาธิปไตย” อย่างมาก เพราะ ชาวบ้านมีโอกาสเข้ามาเป็น สส. ได้ ทั้งๆที่ระบบปัจจุบันนั้นโอกาสนั้นไม่มีเอาเสียเลย
ด้วยระบบแบบนี้ แรงจูงใจในการซื้อเสียงแทบไม่มีเลย เพราะ แม้จะได้เป็นตัวแทนของหมู่บ้านก็มีโอกาสเพียง 1 ในพัน เท่านั้นที่จะได้เป็น สส.ตัวจริง เมื่อไม่มีการลงทุนในการหาเสียง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องถอนทุนทางการเมือง จะลดปัญหาของการทุจริตคอรัปชั่นไปในตัว ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยระบบแบบนี้เราจะได้ตัวแทนของประชาชนที่แท้จริง ไม่ใช่ว่า ชาวนาเลือกตัวแทนทีไร จะได้นายทุน อยู่ร่ำไป
ผมเชื่อว่าวิธีการแบบนี้จะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายทั้ง “เสื้อเหลือง” ที่เน้นความบริสุทธิ์ซื่อตรง “เสื้อแดง” ที่เน้นเรื่องขอประชาธิปไตย รวมไปถึง “เสื้อขาว” ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย มีคนกลุ่มเดียวที่อาจเสียประโยชน์จากตรงนี้ก็คือ สส.ในระบบปัจจุบันนั่นเอง
เรื่องนี้สำคัญมาก เพราะ คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ชี้ชะตาหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการเลือกตั้ง หากขัดผลประโยชน์ของพวกเขาก็อาจไม่ผ่านได้ง่ายๆ อย่างไรก็ดี เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่และประเทศชาติ ดังนั้น พรรคการเมืองใดที่ไม่สนับสนุนแนวคิดนี้ก็อาจหมายถึง การสูญเสียฐานเสียงของประชาชนจำนวนมากได้ง่ายๆ
สิ่งที่ควรจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งมีอยู่ 2 เรื่อง คือ
1. คุณสมบัติของ สส. ที่กำหนดให้ต้องจบปริญญาตรี นั้นไม่เหมาะสมเลย เป็นการตัดสิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ให้มีสิทธิในการสมัครเป็นตัวแทนชาวบ้าน เราต้องการคนที่มาเป็นปากเสียงของประชาชนนะครับ ไม่ใช่ มาเป็นนักวิชาการเพื่อแก้โจทย์คณิตศาสตร์ชั้นสูง แคลคูลัส แบบนั้น
ผมคิดว่าแค่ระดับ อ่านออกเขียนได้บวกลบเลขเป็น ก็น่าจะพอแล้ว จบชั้นประถมศึกษาก็น่าจะเพียงพอแล้ว เราต้องการคนดีที่พร้อมทำเพื่อสังคม ควรเปิดสิทธินั้นให้กับคนดีๆ ไม่ใช่ไปตัดสิทธิของประชาชนกลุ่มใหญ่ของประเทศไม่ให้เป็น สส.ได้
2. เพิ่มแบบของการเลือกตั้ง จากแค่ 2 แบบคือ ระบบแบ่งเขต และ ระบบสัดส่วน ก็เพิ่ม “ระบบตัวแทนหมู่บ้าน” เข้าไปด้วย โดย 2 แบบเดิมจะเหลือ 400 คน ส่วนระบบใหม่นี้ก็ราว 80 คน เพื่อทดลองนำร่องดูก่อน สส.ที่ได้อาจมีระดับการศึกษาที่ต่ำลง แต่เป็นคนดี พร้อมทำเพื่อสังคมมากขึ้น ไม่ทุจริตโกงกิน ซึ่งก็คือ คุณภาพที่ดีขึ้นของ สส.นั่นเอง
จากการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ในเดือนมีนาคมนี้ ผมกลับพบว่าแม้เสียงสนับสนุนต่อรัฐบาลจะดีขึ้นเนื่องจากสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างสวยงาม แต่ เงื่อนไขในการ “ไม่ยุบสภา” กลับลดลง เพราะ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว และ พรรคประชาธิปัตย์ก็ออกเสียงชัดเจนว่าจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่หาก “ยุบสภา” ณ เวลานี้ การเมืองไทยก็จะกลับไปสู่วังวนเดิมๆ ของ “ธนาธิปไตย” และ การเมืองน้ำเน่าต่อไป
ผมจึงคิดว่า ความคิดนี้อาจเป็นจุดเล็กๆ ที่ใช้เป็นเงื่อนไขเพื่อการอยู่ต่อไปของสภา เพื่อดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของการเลือกตั้งให้เสร็จ เพื่อปฏิรูปการเมืองให้สร้างสรรค์เป็น “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง เราต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านธรรมดาๆ มีโอกาสเข้ามาเป็น สส.ในสภาได้ และ บางทีเรื่องนี้อาจเป็นจุดเล็กๆ เพื่อเริ่มต้นในการสร้างความสมานฉันท์ของประชาชนสีต่างๆ ในประเทศไทยของเราครับ
เลิกรับจำนำ เลิกประกันรายได้ ไต่สู่ทางเลือกใหม่
รัฐบาลได้พยายามชี้แจงให้เห็นว่าระบบการประกันรายได้เกษตรกรนั้น ได้ประโยชน์ต่อคนถึง 3 ล้านครัวเรือน โดยใช้งบประมาณน้อยลงเหลือเพียง 3 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับระบบรับจำนำข้าว ซึ่งมีประโยชน์ต่อชาวนาเพียง 3 แสนครอบครัว แต่ต้องใช้เงินงบประมาณถึง 7 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี ทั้ง 2 วิธีนี้ก็ไม่ได้สร้างความพอใจกับชาวนามากนัก ยังมีการเรียกร้องเพื่อให้ช่วยเหลือมากไปกว่านี้อีก เพราะเงินชดเชยที่ได้มันน้อยนิดเหลือเกิน แถมไม่รู้ว่าไปเข้ากระเป๋าใครเสียอีก
มันจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับสูงอย่างยั่งยืน โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่น้อย..... ทางเลือกใหม่นั้นมีหรือไม่ ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้ แต่ “เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก” (Taiji-Econ.) อาจมีคำตอบสำหรับเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่งนี้
รัฐบาลต้องมีการจัดตั้ง “กองทุนรวมสินค้าเกษตรไทย” หรือ Thai-Agri Fund ซึ่งเป็นการรวมแบบถ่วงน้ำหนักของสินค้าเกษตรประเภทต่างๆ เข้าไปเป็นกองทุนรวม เพื่อแปลงสภาพจาก “สินค้า” ให้เป็น “สินทรัพย์” ในลักษณะนี้ ข้าว ยาง กุ้ง มัน ข้าวโพด ฯลฯ จะถูกเปลี่ยนสภาพจาก “สินค้า” เพื่อการบริโภค กลายเป็น “สินทรัพย์” เพื่อการรักษาความมั่งคั่งและเพื่อการลงทุน มีสภาพคล้ายกับ “น้ำมัน” และ “ทองคำ” ซึ่งมีราคาที่สูงขึ้นมากในปัจจุบัน ก็เพราะ มีการลงทุนในตลาดล่วงหน้า และ มีการลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน แล กองทุนรวมทองคำ อยู่ทั่วโลกในปริมาณมากมายนั่นเอง หากกองทุนบำนาญทั่วโลกมีความสนใจลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารก็จะเพิ่มดีมานด์ให้กับสินค้าเกษตรไทยอย่างมากมาย
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลยังต้องกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง คือ ให้กองทุนบำนาญไทย ซึ่งรวมเงินกองทุนประกันสังคม (สปส.) กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กสล.) และ ประกันชีวิต ซึ่งจะมียอดสินทรัพย์รวมกันถึง 3 ล้านล้านบาท ณ ปลายปีนี้นั้น “ต้อง” ลงทุนใน กองทุนรวมสินค้าเกษตรไทย หรือ สัญญาซื้อล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ตั้งแต่ 2.5% ขึ้นไป ณ กลางปีนี้ และ 5% ณ ปลายปีนี้ เรื่องง่าย ๆเท่านี้ก็เหมือนกับการเพิ่มกำลังซื้อถึง 1.5 แสนล้านบาท ที่จะเข้าทยอยซื้อสินค้าเกษตรไทย เป็นสต๊อกอย่างยั่งยืน โดยอนาคตขนาดของกองทุนบำนาญจะใหญ่ขึ้นราวปีละ 4 แสนล้านบาท นั่นหมายถึง สินค้าเกษตรจะถูกเก็บเป็นสต๊อกเพิ่มขึ้นอีกปีละ 2 หมื่นล้านบาทอย่างต่อเนื่องยาวนาน ราคาข้าวจะไม่ถูกกดราคาออกมาเพียงแค่มีข่าวลือว่ารัฐบาลจะระบายสต๊อก 5 แสนตันหรือ 2 ล้านตัน
หากครึ่งหนึ่งของเงินนั้นลงทุนใน “ข้าว” ก็เป็นเงินถึง 7.5 หมื่นล้าน หรืออาจตกราว 7.5 ล้านตัน (ตันละ 1 หมื่นบาท) ซึ่งเป็นปริมาณที่มหาศาลและจะสนับสนุนราคาข้าวได้เป็นอย่างดี โดยกระบวนการทั้งหมดนี้ จากราคาที่สูงขึ้นในตลาดล่วงหน้า ก็จะสะท้อนมาที่ราคาตลาดปัจจุบันให้สูงขึ้นเอง โดยพ่อค้าจะเป็นคนเก็บ สต๊อกเหล่านี้แทนรัฐบาล เรื่องราวทั้งหมดนี้ รัฐบาลไม่ต้องเสียเงินงบประมาณใดๆ เลย ขณะที่เชื่อได้ว่า ราคาข้าวจะมีราคาที่สูงกว่าตลาด ณ ปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 20-30% ได้สบายๆ
สินทรัพย์ของ “เกษตรกร” ก็คือ ผลผลิตทางการเกษตร ซึ่ง สปส. และ กบข. รวมไปถึง เงินออมประกันชีวิต ต้องพยายามช่วยกันสนับสนุนราคาให้อยู่ในระดับที่สูงพอ เกษตรกร ก็คือ พ่อแม่พี่น้อง ของผู้ประกันตน เรื่องนี้จะส่งผลดีทั้งในด้านของการเมือง สังคม และ เศรษฐกิจในทุกด้าน อย่างไรก็ดี ตัวเลขสัดส่วนการลงทุนของเงินกองทุนบำนาญนี้ รัฐบาลอาจปรับให้สูงขึ้นเป็น 7.5% หรือ 10% ก็ได้ หากเห็นว่าราคายังสูงขึ้นไม่เป็นที่พอใจ หรืออาจปรับลดเหลือไม่เกิน 3% ก็ได้ หากเห็นว่าราคาสินค้าเกษตรไทยเริ่มสูงเกินไปจนเป็นภาระหนักให้ชนชั้นแรงงาน นี่จึงเป็นเครื่องมือกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งอีกชิ้นหนึ่งของรัฐบาล เพื่อช่วยดูแลราคาข้าวไทยให้อยู่ในระดับที่ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจ
มองในด้านของกองทุนบำนาญ ที่อาจกังวลเรื่องของความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่กองทุนเหล่านี้ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนชนะอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี สินค้าเกษตรก็เป็นสัดส่วนที่สูงราว 40% ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว ดังนั้น มันก็สะท้อนผลตอบแทนอยู่ในตัวเอง นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของกองทุนบำนาญเพื่อเพิ่มราคาสินค้าเกษตรในระดับที่น่าพอใจได้อีกด้วย ดังนั้นโอกาสขาดทุนจึงแทบไม่มี
วิธีนี้อาจดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนเพียง 1% ต่อปีเสียอีก หากเกิดการขาดทุนขึ้นจริง รัฐบาลก็อาจชดเชยส่วนขาดทุนให้บ้าง แต่ก็คงอยู่ในระดับไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยเกษตรกรทั้งประเทศได้ประโยชน์ ขณะที่ปัจจุบันต้องใช้เงินถึง 4 หมื่นล้านบาท เพื่อชดเชยเงินให้กับเจ้าของที่ดิน ซึ่งอาจไม่ใช่เกษตรกรจริง เพราะ ชาวนาราว 80% นั้นได้สูญเสียที่ดินไปแล้ว และทำนาโดยเช่านาจากเจ้าที่ดิน การประกันรายได้ ณ ปัจจุบันจึงเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า เงินเข้ากระเป๋าเกษตรกรรายย่อย หรือ เข้ากระเป๋าของเจ้าที่ดินกันแน่
เพียงแค่ 2 ใน 18 กระบวนท่า เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) ก็สามารถช่วยเกษตรกรได้ทั้งประเทศ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่บาทเดียว ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นในระดับที่น่าพอใจอย่างยั่งยืนเสียด้วย จะไม่มีม็อบเกษตรกรอีกแล้ว เกษตรกรไทยอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า หากประเทศไทยเริ่มต้นทำเรื่องแบบนี้ ก็เป็นไปได้ว่าอีกหลายประเทศเพื่อนบ้านที่มีผลผลิตด้านการเกษตรเหลือส่งออกก็คงนำมาใช้ตามไปด้วย จะยิ่งส่งผลดีเป็นทวีคุณขึ้นไปอีก
รัฐบาลได้พยายามชี้แจงให้เห็นว่าระบบการประกันรายได้เกษตรกรนั้น ได้ประโยชน์ต่อคนถึง 3 ล้านครัวเรือน โดยใช้งบประมาณน้อยลงเหลือเพียง 3 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับระบบรับจำนำข้าว ซึ่งมีประโยชน์ต่อชาวนาเพียง 3 แสนครอบครัว แต่ต้องใช้เงินงบประมาณถึง 7 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ดี ทั้ง 2 วิธีนี้ก็ไม่ได้สร้างความพอใจกับชาวนามากนัก ยังมีการเรียกร้องเพื่อให้ช่วยเหลือมากไปกว่านี้อีก เพราะเงินชดเชยที่ได้มันน้อยนิดเหลือเกิน แถมไม่รู้ว่าไปเข้ากระเป๋าใครเสียอีก
มันจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะทำให้ราคาสินค้าเกษตรอยู่ในระดับสูงอย่างยั่งยืน โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่น้อย..... ทางเลือกใหม่นั้นมีหรือไม่ ดูเหมือนเรื่องนี้จะเป็นไปไม่ได้ แต่ “เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก” (Taiji-Econ.) อาจมีคำตอบสำหรับเรื่องที่ยากลำบากอย่างยิ่งนี้
รัฐบาลต้องมีการจัดตั้ง “กองทุนรวมสินค้าเกษตรไทย” หรือ Thai-Agri Fund ซึ่งเป็นการรวมแบบถ่วงน้ำหนักของสินค้าเกษตรประเภทต่างๆ เข้าไปเป็นกองทุนรวม เพื่อแปลงสภาพจาก “สินค้า” ให้เป็น “สินทรัพย์” ในลักษณะนี้ ข้าว ยาง กุ้ง มัน ข้าวโพด ฯลฯ จะถูกเปลี่ยนสภาพจาก “สินค้า” เพื่อการบริโภค กลายเป็น “สินทรัพย์” เพื่อการรักษาความมั่งคั่งและเพื่อการลงทุน มีสภาพคล้ายกับ “น้ำมัน” และ “ทองคำ” ซึ่งมีราคาที่สูงขึ้นมากในปัจจุบัน ก็เพราะ มีการลงทุนในตลาดล่วงหน้า และ มีการลงทุนในกองทุนรวมน้ำมัน แล กองทุนรวมทองคำ อยู่ทั่วโลกในปริมาณมากมายนั่นเอง หากกองทุนบำนาญทั่วโลกมีความสนใจลงทุนเพื่อสร้างความมั่นคงทางด้านอาหารก็จะเพิ่มดีมานด์ให้กับสินค้าเกษตรไทยอย่างมากมาย
ไม่เพียงเท่านั้น รัฐบาลยังต้องกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง คือ ให้กองทุนบำนาญไทย ซึ่งรวมเงินกองทุนประกันสังคม (สปส.) กบข. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (กสล.) และ ประกันชีวิต ซึ่งจะมียอดสินทรัพย์รวมกันถึง 3 ล้านล้านบาท ณ ปลายปีนี้นั้น “ต้อง” ลงทุนใน กองทุนรวมสินค้าเกษตรไทย หรือ สัญญาซื้อล่วงหน้าในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า (AFET) ตั้งแต่ 2.5% ขึ้นไป ณ กลางปีนี้ และ 5% ณ ปลายปีนี้ เรื่องง่าย ๆเท่านี้ก็เหมือนกับการเพิ่มกำลังซื้อถึง 1.5 แสนล้านบาท ที่จะเข้าทยอยซื้อสินค้าเกษตรไทย เป็นสต๊อกอย่างยั่งยืน โดยอนาคตขนาดของกองทุนบำนาญจะใหญ่ขึ้นราวปีละ 4 แสนล้านบาท นั่นหมายถึง สินค้าเกษตรจะถูกเก็บเป็นสต๊อกเพิ่มขึ้นอีกปีละ 2 หมื่นล้านบาทอย่างต่อเนื่องยาวนาน ราคาข้าวจะไม่ถูกกดราคาออกมาเพียงแค่มีข่าวลือว่ารัฐบาลจะระบายสต๊อก 5 แสนตันหรือ 2 ล้านตัน
หากครึ่งหนึ่งของเงินนั้นลงทุนใน “ข้าว” ก็เป็นเงินถึง 7.5 หมื่นล้าน หรืออาจตกราว 7.5 ล้านตัน (ตันละ 1 หมื่นบาท) ซึ่งเป็นปริมาณที่มหาศาลและจะสนับสนุนราคาข้าวได้เป็นอย่างดี โดยกระบวนการทั้งหมดนี้ จากราคาที่สูงขึ้นในตลาดล่วงหน้า ก็จะสะท้อนมาที่ราคาตลาดปัจจุบันให้สูงขึ้นเอง โดยพ่อค้าจะเป็นคนเก็บ สต๊อกเหล่านี้แทนรัฐบาล เรื่องราวทั้งหมดนี้ รัฐบาลไม่ต้องเสียเงินงบประมาณใดๆ เลย ขณะที่เชื่อได้ว่า ราคาข้าวจะมีราคาที่สูงกว่าตลาด ณ ปัจจุบันไม่ต่ำกว่า 20-30% ได้สบายๆ
สินทรัพย์ของ “เกษตรกร” ก็คือ ผลผลิตทางการเกษตร ซึ่ง สปส. และ กบข. รวมไปถึง เงินออมประกันชีวิต ต้องพยายามช่วยกันสนับสนุนราคาให้อยู่ในระดับที่สูงพอ เกษตรกร ก็คือ พ่อแม่พี่น้อง ของผู้ประกันตน เรื่องนี้จะส่งผลดีทั้งในด้านของการเมือง สังคม และ เศรษฐกิจในทุกด้าน อย่างไรก็ดี ตัวเลขสัดส่วนการลงทุนของเงินกองทุนบำนาญนี้ รัฐบาลอาจปรับให้สูงขึ้นเป็น 7.5% หรือ 10% ก็ได้ หากเห็นว่าราคายังสูงขึ้นไม่เป็นที่พอใจ หรืออาจปรับลดเหลือไม่เกิน 3% ก็ได้ หากเห็นว่าราคาสินค้าเกษตรไทยเริ่มสูงเกินไปจนเป็นภาระหนักให้ชนชั้นแรงงาน นี่จึงเป็นเครื่องมือกลไกที่สำคัญอย่างยิ่งอีกชิ้นหนึ่งของรัฐบาล เพื่อช่วยดูแลราคาข้าวไทยให้อยู่ในระดับที่ประชาชนส่วนใหญ่พึงพอใจ
มองในด้านของกองทุนบำนาญ ที่อาจกังวลเรื่องของความเสี่ยงจากการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทนี้ ซึ่งเป็นเรื่องปกติอยู่แล้วที่กองทุนเหล่านี้ต้องแบกรับความเสี่ยงจากการลงทุนเพื่อให้ได้ผลตอบแทนชนะอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี สินค้าเกษตรก็เป็นสัดส่วนที่สูงราว 40% ในการคำนวณอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว ดังนั้น มันก็สะท้อนผลตอบแทนอยู่ในตัวเอง นอกจากนี้ รัฐบาลยังสามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนของกองทุนบำนาญเพื่อเพิ่มราคาสินค้าเกษตรในระดับที่น่าพอใจได้อีกด้วย ดังนั้นโอกาสขาดทุนจึงแทบไม่มี
วิธีนี้อาจดีกว่าการลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนเพียง 1% ต่อปีเสียอีก หากเกิดการขาดทุนขึ้นจริง รัฐบาลก็อาจชดเชยส่วนขาดทุนให้บ้าง แต่ก็คงอยู่ในระดับไม่เกิน 1 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยเกษตรกรทั้งประเทศได้ประโยชน์ ขณะที่ปัจจุบันต้องใช้เงินถึง 4 หมื่นล้านบาท เพื่อชดเชยเงินให้กับเจ้าของที่ดิน ซึ่งอาจไม่ใช่เกษตรกรจริง เพราะ ชาวนาราว 80% นั้นได้สูญเสียที่ดินไปแล้ว และทำนาโดยเช่านาจากเจ้าที่ดิน การประกันรายได้ ณ ปัจจุบันจึงเป็นที่น่าสงสัยอย่างยิ่งว่า เงินเข้ากระเป๋าเกษตรกรรายย่อย หรือ เข้ากระเป๋าของเจ้าที่ดินกันแน่
เพียงแค่ 2 ใน 18 กระบวนท่า เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) ก็สามารถช่วยเกษตรกรได้ทั้งประเทศ โดยที่รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่บาทเดียว ขณะที่ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นในระดับที่น่าพอใจอย่างยั่งยืนเสียด้วย จะไม่มีม็อบเกษตรกรอีกแล้ว เกษตรกรไทยอยู่ดีกินดีกันถ้วนหน้า หากประเทศไทยเริ่มต้นทำเรื่องแบบนี้ ก็เป็นไปได้ว่าอีกหลายประเทศเพื่อนบ้านที่มีผลผลิตด้านการเกษตรเหลือส่งออกก็คงนำมาใช้ตามไปด้วย จะยิ่งส่งผลดีเป็นทวีคุณขึ้นไปอีก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)