ก้าวข้าม “ธนาธิปไตย” สู่ “ประชาธิปไตย” ที่แท้จริง
 ในยามที่บ้านเมืองมีปัญหาของการเมืองสุมเข้ามาเช่นนี้   ผมขออนุญาตการเปลี่ยนหัวเรื่องจากด้าน “เศรษฐกิจ” มาเสนอความเห็นด้าน “การเมือง” บ้าง  
                อย่างที่พวกเราล้วนรู้ดีกันอยู่ว่าระบบการเลือกตั้งในปัจจุบันนั้น  ต้องมีการใช้เงินทุนเพื่อหาเสียงกันเป็นจำนวนมากหลายล้านบาท   ทั้งแบบที่ถูกต้องตามกฎหมาย  เช่น  การทำแผ่นพับ  โฆษณาผ่านสื่อ หรือ ป้ายหาเสียง   รวมทั้งที่แบบผิดกฎหมาย (แต่แอบทำ)  อีกเป็นจำนวนมาก   เราจึงมักได้ผู้แทนราษฎร (สส.) ที่เป็นเจ้าที่ดิน หรือนายทุน  ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่เป็นชาวไร่ชาวนา และ คนงาน    
เมื่อนายทุนได้เข้ามาเป็น สส. ก็มุ่งหวังผลประโยชน์เพื่อถอนทุนคืน  จึงอาจเชื่อมโยงไปถึงการฉ้อราษฎร์บังหลวงได้ง่ายๆ   เรื่องแบบนี้พวกเรารู้ดีกันมาหลายสิบปีแล้ว  ว่าโดยรูปแบบปัจจุบันนั้นคล้าย “ประชาธิปไตย” แต่โดยเนื้อแท้แล้ว คือ “ธนาธิปไตย” ที่มุ่งการใช้เงินทุนเป็นหลักเพื่อเข้ามาในสภา  เพื่อแสงหาผลกำไรเป็นเงินทุนทางการเมืองกลับไปนั่นเอง
                ผมมีความยินดีอย่างยิ่งที่จะเสนอ   แนวทางการเลือกตั้งแบบใหม่   เพื่อให้ประเทศก้าวข้าม “ธนาธิปไตย” ไปให้ได้  โดยยังคงอยู่ในกรอบแห่ง “ประชาธิปไตย” อยู่ดี   นั่นคือ “ระบบตัวแทนหมู่บ้าน” 
                ด้วยระบบนี้ก็คือ การจัดให้หมู่บ้าน 7.8 หมื่นหมู่บ้านทั่วประเทศได้เลือกตัวแทนหมู่บ้าน 1 คน ซึ่งเป็นคนดีและพร้อมทำงานเพื่อสังคม   จากนั้นก็สุ่มเลือกแบบจับสลากขึ้นมาราว 80 คน  จังหวัดละ 1 คนยกเว้นจังหวัดใหญ่ๆ ได้ 2 คน   ด้วยวิธีการนี้จึงเป็นการเลือกด้วย “ประชาชน” ชั้นหนึ่ง  แล้วจึงให้ “สวรรค์” เป็นคนเลือกอีกขั้นหนึ่ง   โดยรูปแบบแล้วคล้ายการ “เสี่ยงโชค” แต่เนื้อแท้แล้วเป็น “ประชาธิปไตย” อย่างมาก เพราะ ชาวบ้านมีโอกาสเข้ามาเป็น สส. ได้  ทั้งๆที่ระบบปัจจุบันนั้นโอกาสนั้นไม่มีเอาเสียเลย
               ด้วยระบบแบบนี้  แรงจูงใจในการซื้อเสียงแทบไม่มีเลย  เพราะ แม้จะได้เป็นตัวแทนของหมู่บ้านก็มีโอกาสเพียง 1 ในพัน  เท่านั้นที่จะได้เป็น สส.ตัวจริง   เมื่อไม่มีการลงทุนในการหาเสียง  ก็ไม่มีความจำเป็นต้องถอนทุนทางการเมือง  จะลดปัญหาของการทุจริตคอรัปชั่นไปในตัว   ไม่เพียงเท่านั้น  ด้วยระบบแบบนี้เราจะได้ตัวแทนของประชาชนที่แท้จริง  ไม่ใช่ว่า  ชาวนาเลือกตัวแทนทีไร  จะได้นายทุน อยู่ร่ำไป   
ผมเชื่อว่าวิธีการแบบนี้จะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายทั้ง “เสื้อเหลือง” ที่เน้นความบริสุทธิ์ซื่อตรง   “เสื้อแดง” ที่เน้นเรื่องขอประชาธิปไตย   รวมไปถึง “เสื้อขาว” ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศด้วย  มีคนกลุ่มเดียวที่อาจเสียประโยชน์จากตรงนี้ก็คือ สส.ในระบบปัจจุบันนั่นเอง
               เรื่องนี้สำคัญมาก  เพราะ คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ชี้ชะตาหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าด้วยเรื่องการเลือกตั้ง  หากขัดผลประโยชน์ของพวกเขาก็อาจไม่ผ่านได้ง่ายๆ  อย่างไรก็ดี  เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่และประเทศชาติ   ดังนั้น  พรรคการเมืองใดที่ไม่สนับสนุนแนวคิดนี้ก็อาจหมายถึง  การสูญเสียฐานเสียงของประชาชนจำนวนมากได้ง่ายๆ   
สิ่งที่ควรจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการเลือกตั้งมีอยู่ 2 เรื่อง คือ
1. คุณสมบัติของ สส. ที่กำหนดให้ต้องจบปริญญาตรี นั้นไม่เหมาะสมเลย  เป็นการตัดสิทธิของประชาชนส่วนใหญ่ไม่ให้มีสิทธิในการสมัครเป็นตัวแทนชาวบ้าน   เราต้องการคนที่มาเป็นปากเสียงของประชาชนนะครับ  ไม่ใช่  มาเป็นนักวิชาการเพื่อแก้โจทย์คณิตศาสตร์ชั้นสูง แคลคูลัส แบบนั้น  
ผมคิดว่าแค่ระดับ  อ่านออกเขียนได้บวกลบเลขเป็น  ก็น่าจะพอแล้ว  จบชั้นประถมศึกษาก็น่าจะเพียงพอแล้ว   เราต้องการคนดีที่พร้อมทำเพื่อสังคม   ควรเปิดสิทธินั้นให้กับคนดีๆ  ไม่ใช่ไปตัดสิทธิของประชาชนกลุ่มใหญ่ของประเทศไม่ให้เป็น สส.ได้   
2. เพิ่มแบบของการเลือกตั้ง  จากแค่ 2 แบบคือ ระบบแบ่งเขต และ ระบบสัดส่วน  ก็เพิ่ม “ระบบตัวแทนหมู่บ้าน”  เข้าไปด้วย  โดย 2 แบบเดิมจะเหลือ 400 คน  ส่วนระบบใหม่นี้ก็ราว 80 คน เพื่อทดลองนำร่องดูก่อน  สส.ที่ได้อาจมีระดับการศึกษาที่ต่ำลง  แต่เป็นคนดี พร้อมทำเพื่อสังคมมากขึ้น  ไม่ทุจริตโกงกิน   ซึ่งก็คือ คุณภาพที่ดีขึ้นของ สส.นั่นเอง
                  จากการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” ในเดือนมีนาคมนี้   ผมกลับพบว่าแม้เสียงสนับสนุนต่อรัฐบาลจะดีขึ้นเนื่องจากสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้อย่างสวยงาม  แต่  เงื่อนไขในการ “ไม่ยุบสภา” กลับลดลง  เพราะ เศรษฐกิจก็ดีขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว และ พรรคประชาธิปัตย์ก็ออกเสียงชัดเจนว่าจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญ   แต่หาก “ยุบสภา” ณ เวลานี้   การเมืองไทยก็จะกลับไปสู่วังวนเดิมๆ ของ “ธนาธิปไตย” และ การเมืองน้ำเน่าต่อไป  
                  ผมจึงคิดว่า  ความคิดนี้อาจเป็นจุดเล็กๆ ที่ใช้เป็นเงื่อนไขเพื่อการอยู่ต่อไปของสภา  เพื่อดำเนินการแก้ไขรัฐธรรมนูญในส่วนของการเลือกตั้งให้เสร็จ   เพื่อปฏิรูปการเมืองให้สร้างสรรค์เป็น “ประชาธิปไตย” อย่างแท้จริง  เราต้องเปิดโอกาสให้ชาวบ้านธรรมดาๆ  มีโอกาสเข้ามาเป็น สส.ในสภาได้   และ บางทีเรื่องนี้อาจเป็นจุดเล็กๆ เพื่อเริ่มต้นในการสร้างความสมานฉันท์ของประชาชนสีต่างๆ ในประเทศไทยของเราครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น