เศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ สวรรค์บนดิน 
                รัฐบาลพยายามจะยกเอา “เศรษฐกิจสร้างสรรค์” ด้วยการนำเอาความรู้  วัฒนธรรม และ ประวัติศาสตร์มาสร้างมูลค่าเพิ่มในสินค้า และ บริการ  โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้เป็นสัดส่วนสูงถึง 20% GDP  ฟังดูแล้วก็สวยหรูดี   แต่ชาวบ้าน ซึ่งรวมผมด้วย  ก็ยังสงสัยอยู่ว่า  สิ่งนี้จะช่วยให้เงินในกระเป๋าของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเพิ่มขึ้น  อยู่ดีกินดีขึ้น  ได้จริงละหรือ ??
 นอกจากนี้ต่างชาติก็ออกจะรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยกับ  แนวคิดสร้างสรรค์แบบไทยๆ ในยุคปัจจุบัน เริ่มมาตั้งแต่  “อีลิทการ์ด” ในสมัยรัฐบาลทักษิณ  ด้วยการสร้างสรรค์เอาบัตรพลาสติกไปขายใบละ 1 ล้านบาทเพื่อหวังฟันกำไร  แต่สุดท้ายรัฐบาลไทยกลับขาดทุนอย่างมากมายล้มเหลวไม่เป็นท่า     การฟ้องร้องอย่างสร้างสรรค์ของ NGO ผ่านทางศาลปกครองเพื่อให้หยุดโครงการก่อสร้างต่างๆ ในมาบตาพุด  ได้สร้างความเสียหายต่อการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักของพวกเขาหลายแสนล้านบาท  
 ไม่เพียงเท่านั้น   การประท้วงอย่างสร้างสรรค์ของคนเสื้อเหลือง  ด้วยการปิดสนามบิน  รวมไปถึง  การประท้วงอย่างสร้างสรรค์ของคนเสื้อแดง  ด้วยการปิดถนนเผาเมือง  ก็ทำให้คนทั่วโลกต้องตะลึงถึงกับ  ปากอ้าตาค้างมาแล้ว  ถึงแนวคิดสร้างสรรค์อย่างเหลือเชื่อจะรับได้ของคนไทยในยุคนี้
 ผมคิดว่าสิ่งที่รัฐบาลควรรีบทำ คือ “การเลิกทาสระบบทุนนิยม” ต่างหาก  ด้วย “สินเชื่อ99” ซึ่งเคยได้นำเสนอหลายครั้งแล้วนั้น   โดยการให้ สปส. กบข. และ บลจ. มาค้ำประกันเงินกู้ให้กับผู้ประกันตน และ สมาชิก ของตนเอง  ไม่เกิน 9 ส่วนของเงินออมแต่ละคน ในอัตราดอกเบี้ย 9% ต่อปี (แบงก์รัฐได้ 6%  สถาบันค้ำประกันได้ 1.5% และ รัฐบาลได้ 1.5% )   ระยะเวลาผ่อนไม่เกิน 9 ปี  ได้รับเงินใน 9 วันเท่านั้น  คาดว่าจะมีกระแสเงินสดไหลเข้าระบบได้ถึง 9 แสนล้านบาท  โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการเบี้ยวหนี้เลย  เพราะหากใครไม่จ่าย 3 เดือนติดกันก็ยึดเงินออมนั้นมาหักลบกลบหนี้พร้อมเบี้ยปรับได้เลย  
 ด้วยวิธีเช่นนี้  แทนที่ชนชั้นแรงงานจะตกเป็น “ทาส” ของนายทุนเงินกู้ดอกเบี้ยโหด  พวกเขาสามารถเป็น “อิสรภาพ” ด้วยเงินออมของตนเอง  ไม่เพียงเท่านั้นสำหรับบางคนที่มีหนี้สินน้อย หรือ ไม่มีเลย  สามารถยกระดับตนเองขึ้นเป็น “นายทุน” ได้อีกด้วย  เช่น  สามารถปล่อยกู้ให้ญาติสนิทมิตรสหาย ได้หลายหมื่นบาทหรืออาจเป็นหลักแสน  ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น  และ พวกเขาก็ได้กำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยนี้ไป  ด้วยกลไกนี้จึงสร้างระบบที่ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศจะเข้าถึงแหล่งทุนได้อย่างง่ายดาย เพราะ ได้สร้างนายทุนรุ่นใหม่เป็นล้านคน  สำหรับลูกหนี้ภาระผ่อนหนี้ต่อเดือนจะลดลงไปกว่าครึ่ง
 นี่จึงเป็นวิธีการในการ “เลิกทาสครั้งที่ 2” นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นการเลิกทาสครั้งแรก  เป็นการยกระดับของชนชั้นอย่างรวดเร็วภายในเวลา 1 เดือน  จากชนชั้นแรงงาน  ก้าวข้ามสู่ชนชั้นนายทุนได้เลย  ด้วยวิธีนี้  ประเทศไทยจึงกลายเป็น สวรรค์บนดินของคนไทยส่วนใหญ่ที่ปลดแอกจาก นายทุนดอกเบี้ยโหด
 ไม่เพียงเท่านั้น  ไทยยังมีศักยภาพสูงมากในการเป็น “ศูนย์กลางเกษียณโลก” หรือ Retirement Center  จากคนเกษียณในประเทศพัฒนาแล้วซึ่งมีจำนวนมากถึง 200 ล้านคน  เราควรตั้งเป้าหมายราว 1 ล้านคนเพื่อมาเกษียณประเทศไทยอย่างมีความสุขกาย และ สบายใจ  ด้วยค่าครองชีพที่ต่ำ  อาหาร การแพทย์ที่ดี รวมไปถึงภัยธรรมชาติน้อย  
 ตัวอย่างเช่น นายโกโบริ และ นางฮิเดโกะ ตัดสินใจเกษียณในไทย  จึงขายคอนโดชานเมืองโตเกียว 20 ล้านบาท  มาซื้อคอนโดชานเมืองกรุงเทพฯ หรือ หัวเมืองท่องเที่ยว 4 ล้านบาท  ในขนาดพื้นที่เดียวกัน  แล้วนำเงินไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลไทย 16 ล้านได้ดอกเบี้ยใช้อีกปีละ 6 แสนบาท   เมื่อรวมกับเงินบำนาญซึ่งได้ทุกเดือนอีกราวเดือนละ 5 หมื่นหรือปีละ 6 แสนบาท  พวกเขาจะได้เงินใช้จ่ายถึงปีละ 1.2 ล้าน หรือราว 1 แสนบาทต่อเดือน  ซึ่งนับได้ว่าสูงมากเมื่อเทียบกับมาตรฐานของคนไทยทั่วไป   และหากเทียบกับการเกษียณในญี่ปุ่น  ด้วยเงิน 5 หมื่นบาท จะเทียบเท่ากับกำลังซื้อในไทยเพียง 1 หมื่นบาทเท่านั้น   สรุปแล้ว  พวกเขาจะมีกำลังซื้อสูงขึ้นถึง 10 เท่าตัวเลยทีเดียว   แค่การสร้างที่อยู่อาศัยอีกราว 5 แสนยูนิตเพื่อคนเหล่านี้ก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาลแล้ว  ยังไม่นับรวมถึงการจับจ่ายใช้สอย และ การดึงญาติมิตรมาเพื่อท่องเที่ยวในเมืองไทยอีกเป็นจำนวนมาก
 ญี่ปุ่นได้ส่งเงินสนับสนุนด้านสุขภาพให้คนชราราวหัวละ 3.5 แสนบาทต่อปี   ไทยเราสามารถขอเจียดเงินส่วนนี้มา 1 แสนบาทก็พอ  ดูแลสุขภาพคนชราเหล่านี้อย่างดี  5 หมื่นบาททำประกันชั้นสุดยอดกับโรงพยาบาลเอกชน 5 ดาว  ขณะที่อีก 5 หมื่นบาท สามารถเก็บเข้าคลังเป็นรายได้รัฐได้เลยสบายๆ   ส่วนรัฐบาลญี่ปุ่นก็ประหยัดงบประมาณไปมากโขด้วย   ส่วนต่างของต้นทุนการรักษาพยาบาล และ ค่าครองชีพนี้เอง  ประเทศไทยจึงกลายเป็น สวรรค์บนดินของคนเกษียณกลุ่มนี้ไปด้วย
 ไม่จบเพียงเท่านี้   เมื่อมีคนแก่ 1 ล้านคนเพิ่มขึ้นมา  จำเป็นที่ไทยต้องอาศัยแรงงานจากอินโดจีนเพิ่มอีกเท่าตัวจากปัจจุบันราว 2 ล้านคน  ก็อาจต้องเพิ่มเป็น 4 ล้านคน   จัดระบบให้ดี  สร้างสรรค์สังคมแห่งความเอื้ออาทร  มาช่วยกันทำงาน  มาช่วยกันจับจ่ายใช้สอย  เศรษฐกิจก็จะสะพัด  ประเทศไทยจึงเป็นแหล่งสวรรค์ของคนงานกลุ่มนี้ไปอีก  
 เพียง 3 จาก 18 กระบวนท่า  “เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก” (Taiji-Econ.)  ก็น่าจะใช้เป็นแผนระยะยาว 5 ปีของประเทศไทย  เพื่อสร้างสรรค์ให้ประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง ทั้งทรัพย์สินเงินทอง และ จิตวิญญาณที่หล่อหลอมวัฒนธรรมดีๆ เข้าด้วยกัน   เรียกว่า  เตรียมรับทั้งเงินทั้งกล่อง  กันเลยทีเดียว
 หยุดทะเลาะ หยุดการเผชิญหน้ากันได้แล้ว   ถอยกันคนละครึ่งก้าว  จับมือกันเพื่อสร้างสรรค์ประเทศไทยให้เป็น “สวรรค์บนดิน” ทั้งของคนไทยทั้งปวง  รวมไปถึงคนต่างชาติอีกหลายล้านคนจะดีกว่าไหมครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น