วิกฤติรอบ 2 แผนสำรองต้องมี  
จากบทความ "5 กับดักเศรษฐกิจ  พิษร้ายแรง" ซึ่งได้เขียนมาตั้งแต่เดือน กันยายน 2553 ผมได้คิดว่า โอกาสเกิดวิกฤติรอบ 2 มีราว 80% แต่ ณ ตอนนี้  หลังจากที่ S&P ได้ลดอันดับเครดิตของอเมริกา  และ เกิดปัญหาหนี้ของยุโรปที่ลามไป  สเปนและอิตาลี   ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกดิ่งเหว  ความเสี่ยงตรงนี้ได้เพิ่มสูงขึ้นถึง 99% แล้ว  
ทำไมต้องมีแผนสำรอง   เหตุผลก็เพราะว่า แผนหลักซึ่งคือ นโยบายการเงิน และ การคลังนั้นได้ใช้อย่างเต็มที่แล้ว  แต่เศรษฐกิจอเมริกาเริ่มแย่ลง  และ ดูเหมือนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยได้อีกครั้ง  แม้ประธานาธิบดีอเมริกา และ ประธานเฟด  จะพยายามพูดปลอบใจตนเองและประชาชนว่า “คาดว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวชั่วคราว  และ ไม่กังวลกับภาวะถดถอย” เมื่อเดือนก่อนก็ตาม   แต่สภาพของดัชนีตลาดหุ้นได้ส่งสัญญาณเตือนอย่างรุนแรงแล้ว
ประเทศพัฒนาแล้วมีความอ่อนแรงมากในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ   บางส่วนได้เข้าสู่ภาวะถดถอยรอบ 2 ไปแล้วด้วยซ้ำ  เช่น  PIIGS ในเขตยูโรโซน และ ญี่ปุ่น เป็นต้น    เรามาลองดูกันว่า  แผนหลักที่ได้เดินหน้ามา 2-3 ปีนี้มีปัญหาอะไรซ่อนอยู่บ้าง
นโยบายการเงิน :  FED ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเฉียดศูนย์ และใช้ QE พิมพ์แบงก์เพิ่มเพื่อซื้อพันธบัตร  ด้วยการหวังให้สภาพคล่องไปช่วยพยุงราคาสินทรัพย์หลักคือ อสังหาริมทรัพย์  ซึ่งเป็นต้นตอแห่งปัญหา  แต่ปรากฏว่าเงินนั้นกลับไหลเข้าไปเก็งกำไรในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์แทน  ซึ่งส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อทางอ้อมอีกต่างหาก   ขณะที่ตลาดบ้านยังคงไม่ดี  บ้านยังคงถูกยึด และ ราคาตกต่ำต่อไป    นอกจากนี้  การคาดหวังว่าสภาพคล่องนี้จะช่วยให้เกิดการบริโภค  การลงทุน  เพื่อช่วยเหลือต่อการจ้างงาน  เงินส่วนเกินนั้นกลับไปจมอยู่กับระบบธนาคาร  นี่คือ  “กับดักสภาพคล่อง” นั่นเอง
วิธีปลดล็อก : เคนส์แนะนำให้ใช้ "ทฤษฎีเคนส์" หรือ นโยบายการคลังแบบขาดดุล  อย่างไรก็ดี  ปัจจุบันพบว่าทิศทางได้ตรงข้ามกับแนวคิดของเคนส์ถึง 3 เรื่อง
1. เคนส์เชื่อว่าเงินจะไหลจาก "คนรวยสู่คนจน" ผ่านพันธบัตรรัฐบาล  โดยคนรวยซื้อพันธบัตร และ รัฐบาลนำเงินไปช่วยคนจน สร้างงานและอุดหนุนความเป็นอยู่  แต่ปัจจุบันเงินกลับไปจาก  "คนจนสู่คนรวย" โดยผู้มีรายได้น้อย (คนจน)ในระบบประกันสังคม และ กบข. จ่ายเงินสมทบทุกเดือน เป็นเงินบำนาญ  ซึ่งกองทุนเหล่านี้นำเงินราว 70-80% ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ  โดยเงินจะไปสู่คนรวย  พวกนักการเมืองระดับชาติและท้องถิ่น  รวมถึง  ข้าราชการขี้ฉ้อที่มุ่งคอรัปชั่น   รวมไปถึง  นายทุนรับเหมาก่อสร้างต่างๆ อีกด้วย  
2. เคนส์เชื่อว่าเงินจะเปลี่ยนจาก "นิ่งไปสู่เคลื่อน" คือ เงินไหลจากการนอนนิ่งในระบบธนาคารไปสู่การใช้จ่ายภาครัฐ  ทำให้เกิดการหมุเวียนและเพิ่มการจ้างงาน  แต่ในปัจจุบัน  การใช้จ่ายภาครัฐจำนวนมากเป็นการเปลี่ยนจาก "เคลื่อนไปสู่นิ่ง" เงินจะไปกองจมกับกองทุนบำนาญ  ผ่านการให้ลดหย่อนภาษีวงเงินสูง และ เงินสมทบร่วมเข้า กบข.และ กอช.(ในอนาคต)  
3. เคนส์ใช้แนวคิดผลักภาระไปให้ "คนกลุ่มใหญ่" ซึ่งเป็นคนทำงานในรุ่นต่อไป หรือเด็กและเยาวชนนั่นเอง  ขณะที่โครงสร้างประชากรได้เปลี่ยนจาก "พีระมิด" เป็น "โอ่ง" คนรุ่นถัดไปกลายเป็น "คนกลุ่มเล็ก" ของสังคม  ญี่ปุ่นมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงทุกปี   ทฤษฎีเคนส์จึงใช้ไม่ได้ผลกับโครงสร้างประชากรปัจจุบันของประเทศพัฒนาแล้ว 
นโยบายการคลัง : อเมริกาได้เดินหน้า  ขาดดุลงบประมาณอย่างหนักต่อเนื่องถึง 3 ปีในระดับ 10% GDP  จนหนี้สินวิ่งสู่ระดับเกือบแตะ 100% GDP และ ประเทศในยูโรโซนก็เช่นกันหลายประเทศเกิน 100% ไปแล้วด้วย  แต่เศรษฐกิจก็ยังคงอ่อนแอ  การบริโภคภาคเอกชนไม่ฟื้นตัว และ การว่างงงานเริ่มเพิ่มสูงขึ้น   เศรษฐกิจติดภาวะ “กับดักเคนส์”  ซึ่งเป็นสภาพที่เพิ่มหนี้ภาครัฐจำนวนมาก  ขณะที่ไม่สามารถผลักดัน GDP ให้เติบโตได้มากพอ  ทำให้สัดส่วน  หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP วิ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
ทั้ง 2 แผนหลักได้เดินหน้ามาถึงขีดจำกัด   ทั้งอเมริกา ยุโรป รวมถึงญี่ปุ่น  อาจจำเป็นต้อง “รัดเข็มขัดการคลัง”   เพราะหนี้สินภาครัฐสูงมากๆ   ธนาคารกลางก็เริ่มหยุดมาตรการ QE  และอาจต้องดึงสภาพคล่องออกบางส่วน  เพราะ หนี้สินต่อทุน ของ FED สูงถึงระดับ 50 เท่า  ซึ่งเป็นระดับที่เสี่ยงสูงมาก  สรุปก็คือ  แม้จะใช้พลังลมปราณอย่างเต็มที่ตาม 2 แผนหลัก  ก็ไม่สามารถเอาชนะ “วิกฤติเศรษฐกิจ” ได้  แต่ร่างกายอาจถูกธาตุไฟเข้าแทรก  ลมปราณอาจแตกซ่าน    ทั้งรัฐบาล และ ธนาคารกลาง  อาจจำเป็นต้องลดการใช้พลังตามแผนหลักลงมา เพราะเสี่ยงต่อภาวะล้มละลาย   แต่ก็ยังคงกังวลต่อสภาพเศรษฐกิจที่ถดถอย   และถามกันอยู่ว่า “พวกคุณมีแผนสำรองกันบ้างไหม”   แต่ก็แทบไม่ได้รับคำตอบดีๆ  
นับว่าเป็นโชคดีของโลกที่ได้การคิดค้นทฤษฎีใหม่คือ “เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก”  (Taiji-Econ.)  ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดที่ใช้เคล็ดวิชาของมวยไท้เก๊กมาช่วยเหลือ  คือ 1.ยืมพลังสะท้อนพลัง  และ 2.ในนิ่งมีเคลื่อน-ในเคลื่อนมีนิ่ง   อันจะทำให้รัฐบาลสามารถจะ “รัดเข็มขัดการคลัง  โดยที่เศรษฐกิจดีขึ้น”   ด้วยการยืมพลัง  “กองทุนบำนาญ”  เปลี่ยนสภาพเงินกองทุนที่ “นิ่ง”  ให้เป็น “เคลื่อน” สู่การบริโภคจับจ่ายใช้สอยได้    เมื่อเปลี่ยน “นิ่งเป็นเคลื่อน”  ก็จะส่งผลทางบวกในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้  โดยที่รัฐบาลไม่ต้องเสียเงินงบประมาณแม้แต่น้อยแถมยังได้เงินเพิ่มด้วย
ประเทศพัฒนาแล้วมีจำเป็นทางเศรษฐกิจอย่างยิ่งที่จะต้องหาแผนสำรอง  เพราะ รัฐบาลและธนาคารกลาง  ล้วนอยู่ในภาวะที่เสี่ยงสูงขึ้นมากจนเข้าใกล้ภาวะล้มละลายเต็มที   หากท่านผู้นำของประเทศเหล่านั้นได้อ่านมาถึงตรงนี้   อาจจะตื่นเต้นดีใจมากก็เป็นได้  เพราะ  หาแผนสำรองนี้มานานแล้ว    สำหรับประเทศไทยแล้ว  รัฐบาลและธปท. ถือได้ว่ายังมีกำลังอย่างเพียงพอในการบริหารจัดการตามแผนหลักด้วยนโยบายการเงินและการคลัง  อย่างไรก็ดี  จะหวังการฟื้นตัวอย่างเร็วด้วยการพึ่งพิงการส่งออกคงจะยากเสียแล้วในครั้งนี้   การศึกษาแผนสำรองนี้ไว้ก่อนน่าจะส่งผลดีในแง่ที่รัฐบาลสามารถฟื้นเศรษฐกิจได้โดยไม่เป็นภาระหนี้การคลังเพิ่ม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น