วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เหลื่อมล้ำไท้เก๊ก

นี่คือ ทฤษฎีที่ 3 ของ "รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก"   โดยปัญหาของความเหลื่อมล้ำนั้นมีมานานแล้วทั้งในประเทศไทย และ ประเทศอื่นๆ   ลองมาดูว่าเราจะแก้ไขปัญหาในจุดนี้ทั้งในมุมมองของเศรษฐกิจ สังคม อย่างไรกันได้บ้าง

ด้วยวิถีไท้เก๊ก  คือจะเพิ่มแนวทางจาก 2 กลายเป็น 4  โดยปัจจุบันการพัฒนาประเทศไทยเพื่อก้าวสู่ "ศูนย์กลาง AEC"  อีกด้านก็คือพัฒนาเพื่อ "ลดเหลื่อมล้ำ"  แต่ 2 เรื่องนี้ไปด้วยกันได้ยากเหลือเกิน เราจะทำให้ไปด้วยกันได้อย่างไร  มาดูวิธีปัจจุบันก่อน

1.การพัฒนารถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง  โดยใช้ กทม.เป็นศูนย์กลาง  วิ่งไป พิษณุโลก, นครราชสีมา, ระยอง และ หัวหิน   ก็จะพบว่าวิธีนี้จะทำให้ กทม.เป็นศูนย์กลางคมนามคมทั้งทางอากาศ และ ระบบราง  อย่างไรก็ดี  มีโอกาสทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นไปอีก  เพราะ กทม.จะรวมศูนย์ความเจริญเอาไว้ และ ประเทศไทยก็ยังคงเน้นการเติบโตแบบ "โตเดี่ยว" ต่อไปอีกนานในอนาคต

2.การพัฒนาด่านชายแดน และ รถไฟรางคู่   ด้วยวิธีนี้เป็นการกระจายความเจริญออกรอบนอก กทม.และปริมณฑล ไปสู่ชนบทโดยอย่างไรก็ดี   ไม่ได้พัฒนาให้ประเทศไทยก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเพียงพอที่จะเป็นศูนย์กลางของ AEC ได้  

และแล้วเราก็มาดูอีก 2 ทางที่เหลือ  
3. ไม่พัฒนาเป็น "ศูนย์กลาง AEC" และ ยังเพิ่มเหลื่อมล้ำอีกด้วย  เช่น โครงการรถยนต์คันแรก  ไม่เพียงไม่พัฒนาการใช้ระบบรางของประเทศไทย   ยังทำให้เกิดปัญหาการจราจร  ปัญหามลพิษ  และ ปัญหาการใช้น้ำมันฟุ่มเฟือยตามมาอีกมาก   

4. นี่จึงเป็นน่าจะเป็นคำตอบของประเทศไทย คือ การพัฒนาสู่ศูนย์กลาง AEC และ ยังลดความเหลื่อมล้ำด้วย ซึ่งก็คือ วิธีเปลี่ยนโมเดลการพัฒนาจาก กทม.แบบโตเดี่ยว เพิ่มเป็น  "ไตรนคราแห่งสยาม"  โดยวางตำแหน่งให้  "ขอนแก่นมหานคร" เป็นเมืองหลวงของ AEC เหนือ   และ  "สงขลามหานคร"  เป็นเมืองหน้าด่านเชื่อมโยงกับ AEC ใต้ ซึ่งมี 3 ประเทศ คือ มาเลเซีย สิงคโปร์ และ อินโดนีเซีย  ซึ่งที่จริงแล้ว AEC ใต้มีขนาดของ GDP สูงกว่า 7 ประเทศที่เหลือถึง 2 เท่าตัว    การสร้าเมืองให้เจริญแบบโตคู่ หรือ โต 3 เมือง จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำของภูมิภาคลงได้  เช่น  กรณีของประเทศญี่ปุ่นมี โตเกียว โอซาก้า ประเทศเกาหลีใต้ ก็มี โซล ปูซาน   ประเทศจีน ก็มี  ปักกิ่ง  เซี่ยงไฮ้ และ กวางเจา

โดย "ขอนแก่น" ควรลากรถไฟความเร็วสูงเข้าไป 3 เส้นทาง คือ 1.เส้นเหนือใต้  จาก คุนหมิง-เวียงจันทน์-ขอนแก่น-กทม.-ทวาย      2.เส้นตะวันออกตก  จาก ย่างกุ้ง-พิษณุโลก-ขอนแก่น-สะหวันนะเขต-ดานัง  3.เส้นอาคเนย์จาก   ขอนแก่น-นครวัด-พนมเปญ-โฮจิมินห์    แม้จะสร้างเส้นทางยาวขึ้นแต่ประเทศไทยอาจจะจ่ายน้อยลง  นี่คือ แนวคิด "สร้างยาวขึ้นแต่จ่ายน้อยลง"    เพราะเส้นทางเป็นการเชื่อม 6 ประเทศเข้าด้วยกัน  (ไทย จีน ลาว พม่า กัมพูชา และ เวียดนาม)  สามารถจะดึงการร่วมทุนจากเพื่อนบ้านทั้งภาครัฐและเอกชนได้ด้วย   โดยให้ "ขอนแก่น" เป็นศูนย์กลางทั้งทางอากาศและระบบราง   ประชากรก็อาจจะเพิ่มจากล้านกว่ากลายเป็น 5 ล้านคนได้ไม่ยาก   นี่เป็นการสร้างความเจริญให้ขยายตัวออกจาก กทม.ไป  เพื่อลดความเหลื่อมล้ำระหว่างภูมิภาคลง

สำหรับภาคใต้  "สงขลา" นั้น  ควรพัฒนาท่าเรือเชื่อมโยงกับ สิงคโปร์และจาร์กาต้า  และ รถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมไปยัง  กัวลาลัมเปอร์-สิงคโปร์  รวมถึง น่าจะจัดเที่ยวบินตรงไปยังเมืองสำคัญของ "อินโดนีเซีย" ที่ถือว่าเป็นพี่เบิ้มของ AEC ด้วย  การวางตำแหน่งให้ "สงขลามหานคร" เป็นเมืองหน้าด่านในการรองรับความเจริญของ AEC ใต้เพื่อส่งเสริมการค้า  การลงทุน  รวมถึงการท่องเที่ยวจะทำให้ภูมิภาคแถบนั้นเจริญขึ้น  ผู้คนอยู่ดีกินดี   ปัญหาการก่อการร้าย 3 จังหวัดภาคใต้ก็น่าจะลดลงไปด้วย  นอกจากลดความเหลื่อมล้ำแล้ว  จะช่วยแก้ไขปัญหาความไม่สงบอีกด้วย   โดย 3 จังหวัดชายแดนใต้ก็อาจจัดตั้งเป็น "เขตเศรษฐกิจพิเศษ"  ยืมพลังความเจริญด้านทุนและเทคโนโลยีของมาเลเซียมาร่วมพัฒนาด้วยอีกแรง




วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เลือกตั้งไท้เก๊ก

นี่คือทฤษฎีที่ 2 ของ "รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก" ต่อเนื่องทฤษฎีแรก "ปรองดองไท้เก๊ก" ซี่งแนะนำให้ทำกิจกรรมสีขาว  ขยายขอบเขตของคนเสื้อขาวออกไปให้มาก  เพื่อสร้างความปรองดองในประเทศ  โดยเฉพาะ "พิธีอโหสิกรรมแห่งชาติ"

เนื่องจาก "แนวคิดวิถีไท้เก๊ก" นั้น  จะขยายจาก 2 ทางแบบสามัญ "นิ่งคือนิ่ง" และ "เคลื่อนคือเคลื่อน" เพิ่มเป็น 4 ทางโดยเพิ่ม "นิ่งคือเคลื่อน" และ "เคลื่อนคือนิ่ง" เข้าไปด้วย   โดยเส้นทางใหม่หนึ่งจะแย่กว่าเดิม  ขณะที่เส้นทางใหม่ที่ดีกว่าเดิมซึ่งน่าจะเป็น "คำตอบสุดท้าย"

การเลือกตั้งในปัจจุบันนั้นจะเป็นว่ามี 2 วิธี คือ
1. ระบบแบ่งเขต  ซึ่งก็คือ  การ "แต่งตั้ง-เลือกตั้ง"  คือ ต้องมีการแต่งตั้งเข้ามาเป็นผู้สมัคร สส.ก่อนโดยกรรมการพรรคการเมือง  หลังจากนั้นจึงให้มีการเลือกตั้งโดยประชาชน
2. ระบบบัญชีรายชื่อ  คือการ "เลือกตั้ง-แต่งตั้ง" โดยให้ประชาชนเลือกตั้งเทคะแนนก่อนว่าแต่ละพรรคการเมืองจะสามารถแต่งตั้ง สส.เข้าไปในสภาฯ ได้กี่คน  

เมื่อมีการ "แต่งตั้ง" เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทั้ง 2 กรณี  ดังนั้น  สส.ส่วนใหญ่จึงเป็นเหล่านายทุนหรือลิ่วล้อของนายทุน  ทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับประเทศ   ซึ่งเมื่อมีการลงทุนทางการเมือง  นายทุนเหล่านี้บวกลบคูณหารเพื่อให้มีกำไรทางการเมืองเกิดขึ้น.... การคอรัปชั่นจึงเป็นปัญหาที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงได้อย่างยากเย็น

คราวนี้เรามาลองดูอีก 2 วิธีใหม่ของระบบไท้เก๊กดูบ้าง
3. ระบบแต่งตั้ง 2 ชั้น "แต่งตั้ง-แต่งตั้ง"   เช่น  คมช.แต่งตั้ง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ  (สนช.)  วิธีแบบนี้ดูๆ แล้วก็ไม่ได้ใหม่อะไรนัก  ดูแย่กว่า2ระบบเดิมด้วยซ้ำ   ห่างไกลจะคำว่า "ประชาธิปไตย"  เพราะ ไม่มีส่วนของการเลือกตั้งเข้ามาเกี่ยวข้องเลยแม้แต่น้อย

4. ระบบเลือกตั้ง 2 ชั้น "เลือกตั้ง-เลือกตั้ง"   วิธีนี้จึงเป็น "คำตอบสุดท้าย" ที่น่าจะเหมาะสมสำหรับการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย   จะเป็น สส.ได้โดยไม่ต้องใช้เงินทุนเลย  เราจะได้สส.หน้าใหม่ที่แตกต่างไปจาก 2 พันคนหน้าเดิมๆ  

วิธีการก็คือ  เลือกตั้งขั้นแรกในระดับหมู่บ้านก่อน 8 หมื่นหมู่บ้าน  เลือกมาสัก 3 คนที่มีคุณสมบัติครบในการเป็น สส.  ก็จะได้ตัวแทนหมู่บ้านที่เป็นคนดีคนเก่งระดับหนึ่ง  ซึ่งจะเป็นระดับ "ชาวบ้าน" ไม่ใช่ระดับ "นายทุน"  เราก็จะได้ตัวผู้สมัครเข้ามาราว 2.4 แสนคน

จากนั้น ก็ให้ สวรรค์เป็นคนเลือกในขั้นสุดท้ายด้วยการ "จับสลาก"  จาก 2.4 แสนคนนั้นโดยอาจกำหนดให้ระบบนี้เป็นสัก 25% ของจำนวนสส.ทั้งหมดก่อน (125 คน)   สส.ระบบแบ่งเขตเหลือ 50% และ ระบบบัญชีรายชื่อ 25%  เราก็จะได้ตัวแทนของประชาชนที่เป็น "ชาวบ้าน" เข้าไปทำหน้าที่ตัวแทนจริงๆ  ไม่ใช่ได้นายทุนหรือลิ่วล้อนายทุนเข้าไปทำหน้าที่ สส.เพื่อปรับเปลี่ยนกฎหมายของประเทศ   เมื่อไม่มีการลงทุนทางการเมืองเลย  เชื่อได้ว่าการถอนทุนทางการเมืองก็น่าจะลดลงไปด้วย   อนาคตหากระบบนี้ดีจริงเหมาะสมจริง  ก็ควรเพิ่มสัดส่วนของจำนวน สส.ด้วยระบบนี้เข้าไปให้มากยิ่งขึ้น

แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้นได้  คงต้องพบกับปัญหาใหญ่ นั่นก็คือ สส.ปัจจุบันหน้าเดิมๆ จะยอมเสียอำนาจให้แก่ "ชาวบ้าน" เข้ามานั่งในสภาฯ  ละหรือ??  เพราะคงต้องมีการแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งอยู่หลายมาตราเพื่อให้ผ่านเรื่องนี้ออกมาได้   อย่างไรก็ดี  ในเมื่อบางกลุ่มมีแนวคิดจะ "แช่แข็งนักการเมือง" อยู่แล้ว   นี่อาจเป็นทางเลือกใหม่ที่จะนำเสนอเพื่อเป็นทางออกของประเทศก็เป็นได้ครับ