ของขวัญชิ้นใหญ่....มอบให้ญี่ปุ่น
หลังจากเกิดภัยแผ่นดินไหว  ตามมาด้วยความเสียหายจากสึนามิ  รัฐบาลญี่ปุ่นได้ประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจไว้ราว 25 ล้านล้านเยน หรือราว 9.5 ล้านล้านบาท นี่ยังไม่นับความเสียหายจากชีวิต และ การสูญหายของผู้คนที่อาจมากกว่า 2.7 หมื่นคน รวมไปถึงภัยจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อีกด้วย  มีน้ำใจที่ไหลเข้าไปช่วยเหลือประเทศญี่ปุ่นเป็นจำนวนมากจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก   และ  สำหรับบทความนี้ผมอยากจะบอกว่า  ได้เตรียม DISC ไว้ 1 แผ่นแต่อาจมีมูลค่ามหาศาลเพื่อให้แก่ญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นประเทศที่มีบุญคุณอันใหญ่หลวงในการถ่ายทอดวิชาการเศรษฐศาสตร์แก่ผมเอง
DISC ที่ว่านี้ก็คือ ปัจจัย "DISC" ที่ทำให้นโยบายการคลังแบบเดิมๆ  นั้นไม่สามารถส่งผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น  ดังต่อไปนี้
1.D : Demographic Change  (การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร)  เมื่อเทีบบกับ 80 ปีก่อนในสมัยของ เคนส์ นั้น  โครงสร้างประชากรเป็นแบบ "พีระมิด" นั่นหมายถึง  การที่รัฐบาลผลักภาระให้กับคนรุ่นต่อไป  ซึ่งเป็นเด็กและเยาวชน จะเติบโตขึ้นมาสู่วัยทำงาน  ทำให้รัฐบาลสามารถเก็บภาษีได้มากขึ้น  จึงเหมาะสมแล้ว  แต่ปัจจุบัน  ญี่ปุ่นมีเด็กเกิดใหม่ลดลงทุกปี และ คนชราก็สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ดังนั้น  แนวคิดแบบเดิมๆ จึงใช้ไม่ได้   รัฐบาลควร "ยืมพลัง"จากประชาชนกลุ่มที่มีจำนวนมากมาช่วยเหลือภาระหนี้ต่างหาก
2.I : Interest Burden (ภาระดอกเบี้ย)  ซึ่งพอกพูนขึ้นตามหนี้สาธารณะที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  และ เงินนี้ก็ส่งไปจมกับ "เจ้าหนี้" ซึ่งหลักๆ แล้วคือ "กองทุนบำนาญ" ไม่ได้ถูกหมุนออกมาเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างที่ควรจะเป็น  ขณะที่รัฐบาลก็เหลือเงินจากการขาดดุลการคลังที่ไปกระตุ้นเศรษฐกิจน้อยลงไปอีก
3.S : Social Security Fund (กองทุนประกันสังคม)  ขณะที่ในอดีตนั้น "เคนส์" ได้ให้รัฐบาลเป็นตัวกลาง ในการนำเงินของ คนรวยมาสู่กระเป๋าคนจน ผ่าน "พันธบัตรรัฐบาล" แต่ปัจจุบัน แนวคิดกลับสวนทางกับสิ่งที่ควรจะเป็น คือ  กองทุนประกันสังคม จะดูดเงินของคนจน ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในผู้ประกันตน  ไปให้รัฐบาลกู้ยืม  เพื่อส่งต่อเงินนั้นให้คนรวย เช่น นายทุนรับเหมาก่อสร้าง และ นักการเมือง ข้าราชการ ขี้ฉ้อ    ดังนั้น  การขาดดุลการคลังจึงทำให้รอบการหมุนของเงินแย่ลง  แทนที่จะดีขึ้น
4.C : Corruption (คอรัปชั่น)  โดยนักการเมือง และ ข้าราชการนั่นเอง  มีการประเมินว่า  ประเทศไทยเองต้องสูญเงินราว 2 แสนล้านบาทในแต่ละปีไปกับเรื่องเช่นนี้   แน่นอนว่ามันย่อมทำให้ประสิทธิผลของการขาดดุลการคลังแย่ลงมาก  โดยมีการเรียกขานกันว่า "กู้มาโกง" 
ประเทศญี่ปุ่นได้เดินเข้าสู่อุโมงค์แห่งความมืดมาได้ 20 ปีแล้ว  โดยแนวคิดของเคนส์ "เศรษฐศาสตร์แบบอนาลอก" ด้วยการใช้เทปแคสเซ็ท หรือ แผ่นเสียง  ซึ่งเป็นแบบเก่าๆ แล้ว โดยนักวิชาการ และ บุคคลระดับรัฐมนตรีคลังทั้งของไทยและญี่ปุ่นก็คิดไม่ต่างกันนักที่ว่า  รัฐบาลจำเป็นต้องกู้มาเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ  เมื่อเกิดเหตุการณ์ภัยพิบัติเช่นนี้เกิดขึ้นยิ่งทำให้  เส้นทางยิ่งมืดมิดลงไปอีก....หากรัฐบาลญี่ปุ่นจำเป็นต้องกู้เงินมาเพิ่มเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ  จะทำให้ตัวเลขหนี้สาธารณะที่สูงที่สุดในโลกกว่า 200% GDP  เพิ่มยิ่งขึ้นไปอีก  ขณะที่เศรษฐกิจแบบผู้สูงอายุก็ยิ่งกดดันไม่ให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ง่ายนัก
DISC แผ่นนี้ที่มีเนื้อหาของ "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" (Taiji-Econ.) เป็นแนวคิดของ "เศรษฐศาสตร์แบบดิจิตอล" ซึ่งจะทำให้สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ พร้อมๆ ไปกับ การรัดเข็มขัดการคลัง  โดยผมได้เคยเขียน "รัดเข็มขัดการคลังอย่างไรให้เศรษฐกิจดีขึ้น"ไว้ก่อนแล้ว   ด้วยการใช้เคล็ด 3 ประการของไท้เก๊ก  คือ  "รักษาสมดุล" "ยืมพลัง สะท้อนพลัง" และ "ในนิ่งมีเคลื่อน ในเคลื่อนมีนิ่ง" ก็จะทำให้รัฐบาลสามารถยืมพลัง จากกองทุนบำนาญ  และ เปลี่ยนสิ่งที่อยู่นิ่งๆ ในกองทุน มาเป็นเคลื่อนไหว  เพื่อช่วยหมุนเศรษฐกิจให้เติบโตได้
หากประเมินคร่าวๆ  มองด้าน flow น่าจะทำให้ GDP ของญี่ปุ่นสูงขึ้น 2% เป็นเวลา 5 ปี  มูลค่าราว 50 ล้านล้านเยน  และ หากมองด้าน stock น่าจะทำให้การขาดดุลการคลังของญี่ปุ่นลดลงได้ราวครึ่งหนึ่ง 4% GDP ต่อปี เป็นเวลา 5 ปี  มูลค่าราว 100 ล้านล้านเยน  ซึ่งยอดตัวเลขนี้สูงกว่าความเสียหายจากแผ่นดินไหว และ สีนามิครั้งนี้ถึง 4 เท่าตัว  และ ยังน่าจะมากกว่าการช่วยเหลือของทุกประเทศในโลกรวมกันที่มอบให้แก่ญี่ปุ่นเสียอีก   ไม่เพียงเท่านั้น  เส้นทางที่มืดมิดสนิทในอุโมงค์เศรษฐกิจของญี่ปุ่น  อาจได้เห็นแสงสว่างเล็กๆ ปลายอุโมงค์ เพราะ DISC แผ่นนี้ก็ได้   และบางที "ความหวัง" เล็กๆ นี้เอง  อาจเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นต้องการอย่างที่สุดในห้วงเวลาแห่งความคับขันเช่นนี้.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น