มีทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ในหลายด้านที่เป็นเรื่องงมงาย  โดยเชื่อถือกันมาแต่อดีต  แม้ว่าสภาพการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมากแล้วก็ตาม   ซึ่งทำให้โลกไม่สามารถแก้ไขปัญหายากๆ เพราะติดกรอบแนวคิดเดิมๆ   เรามาดูกันทีละข้อ
1.ทฤษฎีการคลัง : รัฐบาลทั่วโลก  เชื่อกันอย่างงมงายตาม "จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์" ว่า การดำเนินนโยบายขาดดุการคลังมากๆ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ  และ  การรัดเข็มขัดการคลังจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว   ซึ่งเป็นการมองธนบัตรเห็นแค่ 2 ด้านในความเป็นจริงแล้ว  มันไม่แน่เสมอไป  เพราะธนบัตรมีถึง 4 ด้านต่างหาก  โดยเฉพาะ โครงการที่เกี่ยวข้องกับ การสมทบเงิน และ การหักลดหย่อนภาษี  สำหรับ "กองทุนบำนาญ"  ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีค่าตัวทวี (multiplier) ถึงขั้น "ติดลบ"  คือ  ยิ่งรัฐบาลใช้เงินเศรษฐกิจจะยิ่งแย่ลงเพราะเงินจะไปจมกองไว้เฉยๆ  และ  หากรัดเข็มขัดในโครงการเหล่านี้เศรษฐกิจจะกลับเป็นยิ่งดีขึ้น  เพราะ เงินจะถูกออมน้อยลงและไปเพิ่มส่วนของการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้นแทน   ดังนั้น  รัฐบาลทั่วโลกควรมาใส่ใจกับแนวคิดใหม่ "รัดเข็มขัดการคลังอย่างไรให้เศรษฐกิจดีขึ้น" เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะไปพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วย
2.ทฤษฎีการเงิน : ธนาคารกลางทั่วโลก ล้วนเชื่ออย่างงมงายว่า  การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะช่วยสกัดเงินเฟ้อ  และ การลดอัตราดอกเบี้ยลงจะช่วยกระตุ้นเงินเฟ้อ   ในความเป็นจริงแล้ว  สภาพเศรษฐกิจต่างๆ ได้เปลี่ยนไปอย่างมาก  มีกำลังการผลิตส่วนเกินที่ล้นเหลือ  การเปิดเสรีทางการค้าและการเงิน   ต้นทุนอาหารและพลังงานที่สูงขึ้น   รวมไปถึงโครงสร้างประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น  ทำให้มีแรงสะท้อนกลับในทางตรงข้าม   แทนที่การขึ้นดอกเบี้ยจะมีส่วนช่วยลดอุปสงค์และลดอัตราเงินเฟ้อ  การขึ้นอัตราดอกเบี้ยกลับทำให้ต้นทุนการเงินเพิ่ม  เช่น สินเชื่อในระบบ 10 ล้านล้านบาท  หากขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% นั่นคือ ผลักภาระต้นทุนดอกเบี้ยให้ระบบเศรษฐกิจรวมไปถึง 1 แสนล้าน  จึงสะท้อนกลับทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นแทน 
       การจะทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลง  ควรมองไปที่ต้นทุนการผลิตมากกว่า  การที่รัฐบาลไทยเดินหน้าให้เงินอุดหนุน หรือ ลดภาษีให้กับวัตถุดิบอย่าง  น้ำมัน LPG NGV น้ำมันพืช แก๊สหุงต้ม และ ปุ๋ย ก็เป็นการมองเพียงมุมเดียว  ความจริงแล้ว  ปัจจัยการผลิตทางเศรษฐศาสตร์อย่าง ทุน ที่ดิน และ แรงงงาน ก็ควรให้ความสนับสนุนเช่นกัน  โดยให้เช่าพื้นที่ราชการ และ รัฐวิสาหกิจในราคาต่ำ  ให้เช่าบ้านเอื้ออาทรเดือนละ 1 พัน   เป็นต้น   ส่วนด้านแรงงานก็ให้เงินสนับสนุนค่าครองชีพให้ผู้ใช้แรงงานรายได้น้อย  ก็จะลดต้นทุนผู้ประกอบการไปได้  และ ผู้ใช้แรงงงานก็มีเงินใช้เพิ่มขึ้นด้วย   ส่วนในเรื่องของทุนหรือดอกเบี้ยนั้น  แทนที่จะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นไป  ให้ลดดอกเบี้ยลงมาแทนก็จะช่วยในการสกัดเงินเฟ้อได้ผลดีกว่า
      
     หลักฐานเชิงประจักษ์ก็คือ ประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงจะมี อัตราเงินเฟ้อสูงตามไปด้วย  เช่น จีน  อินเดีย  เวียดนาม  อินโดนีเซีย และ ประเทศเหล่านี้แม้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลายครั้ง  ก็ไม่สามารถสกัดเงินเฟ้อได้  เงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป   ในทางตรงกันข้าม  ญี่ปุ่น  ซึ่งได้กดดอกเบี้ยมายาวนานหลายปีติดพื้น  ก็ประสบกับปัญหาเงินฝืดเรื้อรังเช่นเดียวกัน .... ทางแก้ไขในเรื่องนี้  ก็คือ ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่องมงายเดิมๆ  
3.ทฤษฎีอัตราแลกเปลี่ยน : IMF และ ECB ซึ่งเป็นองค์กรการเงินระหว่างประเทศ  เชื่องมงายว่า ระดับอัตราแลกเปลี่ยนที่มีเสถียรภาพ  คงที่  ทรงตัว  จะเป็นผลดีกับเศรษฐกิจ    ในความเป็นจริงแล้ว   วิกฤติเตกีลาในเม็กซิโก   ต้มยำกุ้งในไทย และ วิกฤติในอาร์เจนติน่า  ล้วนแล้วแต่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูก "ยึด" กับเงินดอลลาร์  ส่งผลให้  ความสามารถในการแข่งขันเพื่อส่งออกสูญเสียไป  จนนำมาสู่วิกฤติเศรษฐกิจในที่สุด  และ เมื่อดูไปแล้ว  ประเทศเวียดนาม  ก็ดูเหมือนจะเสี่ยงที่สุดในเอเชียตอนนี้  ที่กำลังเดินสู่เส้นทางแห่งหายนะภายใน 1-2 ปีนี้   โดยสัญญาณอันตรายได้เกิดขึ้น  คือ Triple 3 Crisis Signal ซึ่งหมายถึง  การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 3% GDP เป็นเวลาติดต่อกัน 3 ปี  ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าประเทศอ้างอิงกว่า 3%  
นอกจากนี้  "เงินยูโร" ถือได้ว่าเป็นความผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของระบบอัตราแลกเปลี่ยนในประวัติศาสตร์โลกก็ว่าได้  ที่พยายามผูกค่าเงินสกุลเดียวไว้กับ ระบบเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน   ทำให้ประเทศริมขอบยุโรโซน  ไม่สามารถแข่งขันได้  ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อที่อยู่ระดับสูงกว่า เยอรมัน จึงทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างหนักและต่อเนื่อง  ดังกรณีของ กรีซ โปรตุเกส และ ไอร์แลนด์  ประเทศเหล่านี้มิได้มีต้นตอจากปัญหาหนี้สินการคลังแต่อย่างใด  ความจริงแล้วมันคือ ปัญหาของหนี้สินต่างประเทศต่อ GDP ต่างหาก  อย่างกรณีของ ไอร์แลนด์นั้นสูงถึง 1,100% GDP ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดในโลก และโปรตุเกสก็สูงถึง 240%  
ดังนั้น  สิ่งที่ควรจะทำก็คือ "รักษาสมดุล" ของดุลบัญชีเดินสะพัดต่างหาก  ไม่ใช่  การดูแลในเรื่องของการขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะ  IMF และ ECB ควรเข้าตรวจสอบประเทศสมาชิก  ว่ามีการเสียสมดุลในจุดนี้เกิน 3% GDP เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกันหรือไม่  หากเป็นเช่นนั้นอาจหมายถึง  ระบบอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศนั้นๆ ไม่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจเสียแล้ว  และ ควรมีการปรับเปลี่ยนอย่างเร่งด่วน  หากมีสัญญาณเตือนภัยเช่นนี้แล้ว  ผมเชื่อว่า ระบบเงิน Euro ควรได้รับการปรับเปลี่ยนเป็น 3 สกุล เช่น Eura Euri และ Euro เพื่อให้เหมาะสมตามสภาพเศรษฐกิจแต่ละประเทศ  ภายใน 5 ปีตั้งแต่เริ่มนำมาใช้แล้ว  ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดปัญหา ณ ปีที่ 12 อย่างในปัจจุบัน  โดยที่ IMF และ ECB ก็ยังหลับหูหลับตางมงายว่า  "ระบบยูโร" นั้นดียอดเยี่ยมอยู่แล้ว  
4.ทฤษฎีเงินบำนาญ : ผู้บริหารกองทุนประกันสังคม  ล้วนเชื่อว่า หากไม่มีการปรับเปลี่ยนอัตราเงินสมทบ หรือ ยกระดับอายุการเริ่มต้นรับเงินบำนาญ หรือ ลดเงินวงเงินจ่ายบำนาญลง   จะทำให้เงินกองทุนหมดลงภายใน 30 ปีนับจากนี้...ความจริงแล้วนี่คือ ความเชื่องมงายอีกเช่นกัน  
เพราะว่า สำนักงานประกันสังคม ควรนำแนวคิดแบบ รัฐบาล และ บริษัทเอกชนต่างๆ มาใช้  คือ สามารถก่อหนี้สินได้  จะทำให้กองทุนประกันสังคมสามารถกู้ยืมเงิน  โดยใช้สินทรัพย์ของกองทุนซึ่งอาจสูงถึง 1.5 -2 ล้านล้านบาทในอนาคตอันใกล้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน  ด้วยการออก "พันธบัตรประกันสังคม" จะทำให้สามารถจ่ายเบี้ยบำนาญชราภาพได้โดยสินทรัพย์ไม่ลดลง  และ ประคองสถานการณ์ให้ผ่านช่วง "วิกฤติแห่งโครงสร้างประชากร" ไปได้ในที่สุด
จะว่าไปแล้วนี่อาจเรียกได้ว่าเป็นการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ในรอบ 80 ปีของวงการเศรษฐศาสตร์ก็ว่าได้   "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" (Taiji-Econ.) ซึ่งใช้แนวคิดของ การรักษาสมดุลหยินหยาง และ การยืมพลังสะท้อนพลัง  จะช่วยให้ประเทศไทย และโลกค้นพบคำตอบทางเศรษฐกิจที่ยากเย็นได้    ขณะที่ด้วยกรอบแนวคิดเดิมๆ นั้นทั้ง 4 ฝ่าย  พยายามเล่านิทานให้กับประชากรทั้งโลกฟังอยู่แต่ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเรื่องงมงายทั้งสิ้น   อาจต้องมีการปรับปรุงเขียนตำรากันใหม่เลยทีเดียว  เพราะหากปล่อยให้ความงมงายนี้ดำเนินต่อไป  ก็มีโอกาสสูงมากที่โลกจะเดินสู่ทางตันของ "อุโมงค์เศรษฐกิจ" อันมืดมิด   อย่างไรก็ดีผมหวังว่าแนวคิดใหม่นี้อาจเป็น "แสงสว่างเล็กๆ" ที่ช่วยชี้ทางออกให้กับเศรษฐกิจโลกได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น