วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ยูโรไท้เก๊ก

ความกังวลได้เริ่มก่อตัวอีกครั้งจากเขตยูโรโซน   โดยอาจกล่าวได้ว่า "เงินยูโร" คือ ต้นตอของสรรพปัญหาทั้งปวงในเขตยูโรโซน  โดยเริ่มตั้งแต่

1. ปัญหาเศรษฐกิจ :  การจำเป็นต้องรัดเข็มขัดการคลัง  ส่งผลให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ   โดยประเทสในเขตนี้มีหน้าที่ต้องทำให้การขาดดุลการคลังต่อ GDP ลดลงให้ได้เหลือระดับ 3% เท่านั้น  และ สำหรับประเทศลูกหนี้อย่าง PIIGS นั้น  การไฟแนนซ์เงินผ่านพันธบัตรรัฐบาล  จำเป็นต้องพึ่งพิงเงินจากต่างประเทศ  ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก

2.ปัญหาสังคม : เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ  ก็เกิดว่างงานสูง  โดยอัตราว่างงานในสเปน และ กรีซ นั้นสูงระดับ 26-27% ไปแล้ว  และ สำหรับคนหนุ่มสาวนั้น  อัตราว่างงานสูงระดับ 60% เลยทีเดียว   นี่นับเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญยิ่งอันหนึ่ง

3.ปัญหาการเมือง : ซึ่งเกิดจากการปะทะกันระหว่างแนวคิด สนับสนุนการรัดเข็มขัดการคลัง  เพราะ การมีเงื่อนไข "ยูโร" มาค้ำคอ  ทำให้จำเป็นต้องเลือกทางนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ   ขณะที่ แนวคิดต่อต้านการรัดเข็มขัด  เน้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้นก็เพื่อดูแลปากท้องประชาชน   จึงอาจกล่าวได้ว่า "เงินยูโร"  นำไปสู่ปัญหาการเมืองในอิตาลีในที่สุด

การที่ ECB ประกาศว่าจะพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อรักษาระบบยูโรปัจจุบันเอาไว้  จึงเปรียบเหมือนการพูดว่า  "จะพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่  ด้วยการเก็บรักษาต้นตอของปัญหาเอาไว้"......  นี่จึงยังไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องนัก   โดยวิธีที่ถูกต้องน่าจะเป็นการยอมรับความผิดพลาดของ "เงินยูโร"  และจะจัดการแก้ไขระบบยูโรอย่างไร  เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของระบบการเงินโลกต่างหาก

วิธีจัดการกับ "เงินยูโร" นั้นมี 4 วิธี  ตามแบบฉบับ "วิถีไท้เก๊ก"  โดย 2 วิธีแบบสามัญธรรมดา
1. ใช้ระบบเดิมๆไป ไม่ต้องเปลี่ยน :  วิธีนี้ก็คือวิธีปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศอ่อนแอ (PIIGS)  ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง  จำเป็นต้องรัดเข็มขัดการคลัง  ส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย    เป็นวิธีที่ขาด "ดุลยภาพ" ของระบบเศรษฐกิจ

2. ให้ประเทศอ่อนแอเลิกใช้ "ยูโร" และ กลับไปใช้เงินสกุลเดิม  :  วิธีนี้ก็อาจไม่เลวนัก  น่าจะทำให้ประเทศอย่าง กรีซ ไซปรัส  โปรตุเกส  กลับมามีสมดุลบัญชีเดินสะพัด และ เศรษฐกิจฟื้นตัวได้   แต่ก็อาจส่งผลให้สูญเสียความเชื่อมั่น  และ กระทบไปยังประเทศอื่นๆ  ทำให้ขาด "เอกภาพ" ไป

สำหรับวิธีที่ 3 และ 4 นั้น เป็น วิถีไท้เก๊ก   ทางหนึ่งคือ แย่กว่าเดิม  ส่วนทางที4  คือ คำตอบสุดท้าย
3. ประเทศอื่นๆ เลิกใช้เงินสกุลเดิม   เปลี่ยนมาใช้ "ยูโร" กัน :  ซึ่งก็มีหลายประเทศในเขตยุโรปตะวันออก  เช่น โปแลนด์  จะปรับเปลี่ยนมาใช้ "เงินยูโร"  เพื่อสร้างภาพว่า  เงินยูโร  มีความมั่นคงสูงมีเสถียรภาพ   ในความเป็นจริงแล้ววิธีนี้แย่กว่าเดิมเสียอีก  เพราะ แทนที่ดูแลจัดการแค่ 17 ประเทศในยูโรโซน  อาจจะต้องยุ่งยากในการจัดการถึงกว่า 20 ประเทศในการแตกตัว    เรื่องนี้สะท้อนภาพว่า  ชาวยุโรปที่รู้ว่า เงินยูโร คือ ต้นตอแห่งปัญหาทั้งปวงในยูโรโซนนั้นยังมีอยู่น้อย และ อยู่ในวงจำกัดเท่านั้น

4. วิธีนี้น่าจะดีที่สุดก็คือ  เลิกใช้เงิน "ยูโร"  แล้วเปลี่ยนมาใช้ "ยูโร" :  ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าผมเขียนผิดหรือเปล่า  ไม่ผิดหรอกครับ   ก็ถ้าไม่เป็นเรื่องที่ดูแปลกๆ จะเข้าข่าย "วิถีไท้เก๊ก" หรือครับ ??

หลักการก็คือ แตกเงิน  Euro  ออกเป็น Euro-A  Euro-B และ Euro-C  ตามลำดับ ตามสภาพความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ  โดย Euro-A คือส่วนใหญ่ในยูโรโซน รวม 11 ประเทศ  ขณะที่ Euro-B  มี อิตาลี สเปน และ ไอร์แลนด์  และ  Euro-C คือกลุ่มประเทศอ่อนแอสุด  กรีซ โปรตุเกส และ ไซปรัส  การแบ่งก็โดยอิงกับความเสี่ยงของประเทศที่วัดจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี   ต่ำกว่า 3% ก็คือ Euro-A  ระหว่าง 3-6% ก็คือ Euro-B  และ เกินกว่า 6% ก็คือ Euro-C

อัตราส่วนในการแตกค่าเงินก็น่าจะเป็นตามสัดส่วน GDP  ของแต่ละกลุ่มซึ่งอาจใช้สัดส่วน  70:25:5  ก็น่าจะเหมาะสม  โดย Euro-B นั้นอ่อนค่ากว่า Euro-A (ซึ่งเป็นสกุลหลัก)  อยู่ 10%  และ  Euro-C อ่อนค่ากว่า Euro-A  20%  และในอนาคตก็ผูกค่าไว้โดยยอมปล่อยให้อ่อนค่าลดทีละน้อย  (Crawling Peg)  กับ เงินสกุล Euro-A

ด้วยวิธีการนี้จะส่งผลดีใน 4 ประการดังนี้

1. ดุลยภาพ :  ประเทศอ่อนแอ (PIIGS และ ไซปรัส)  จะสามารถปรับสมดุลบัญชีเดินสะพัดได้  เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว และ ฟื้นการจ้างงานได้ด้วย   จากธุรกิจส่งออก ท่องเทียว และ ธุรกิจทดแทนการนำเข้า

2.ภราดรภาพ :  จากภาพที่ประเทศลูกหนี้มอง "ยูโร"ว่าเป็นโซ่ตรวนที่ทำให้หมดสิ้นอิสรภาพทั้งการเงินการคลัง  อยู่ในความสัมพันธ์แบบรู้สึกตกเป็นทาสของ เยอรมนี  ก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น   จากมุมมองของเจ้าหนี้ที่ว่า ประเทศ PIIGS  เป็นลูกหนี้ที่ฟุ่มเฟือย ชอบเบี้ยวกฎเกณฑ์  ต้องนำภาษีของชาติและประชาชนมาอุ้มประเทศลูกหนี้เหล่านี้  ก็จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่เป็นมิตรกันมากขึ้น

3.เอกภาพ :  เมื่อเงินยูโร แตกออกเป็น 3 สกุล  แต่ยังคงใช้ยูโรเหมือนเดิม  ทุกประเทศยังคงอยู่ใน "ยูโรโซน"  อย่างเป็นเอกภาพ  และ  ECB ดูแลเงินทั้ง 3 สกุลนี้  โดยน่าจะปรับกฏเกณฑ์ไปด้วย   เช่น  อัตราเงินเฟ้อสำหรับ Euro-A,B,C นั้นก็อาจเป็นไม่เกิน 3%, 5% และ 7% ตามลำดับ    การขาดดุลการคลังต่อ GDP  ก็เป็น 3 ระดับโดยไม่เกิน 3% 5% และ 7% ตามลำดับ   หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP  ก็อาจปรับเป็นไม่เกิน 100%  125% และ 150% ตามลำดับ   เพราะ กฏเกณฑ์ปัจจุบันแทบไม่มีประเทศไหนทำได้  นั่นแปลได้ว่าเป็นกฎระเบียบที่ล้าสมัยและไม่เหมาะสม     เมื่อปรับกฎให้อ่อนลงเช่นนี้  ประเทศต่างๆ ก็สามารถทำตามกฎระเบียบได้โดยไม่ยากลำบากนัก  และเกิดเอกภาพในกลุ่มได้

4.ศักยภาพ : ประเทศต่างๆ ในยูโรโซนก็จะกลับมาเติบโตได้ตามศักยภาพ  ซึ่งก็น่าจะเป็นระดับต่ำๆ  แต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอยอย่างในปัจจุบัน  นอกจากนี้  ยังอาจเพิ่มศักยภาพด้วยการดึงเอา  ประเทศใน EU แต่ยังไม่ได้ใช้เงินยูโร  เข้ามาร่วมใช้เงิน 1 ใน 3 สกุลนี้  ตามความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจได้ด้วย  โดย เดนมาร์ก  สวีเดน  ก็อาจเข้าร่วม  Euro-A  อังกฤษ โปแลนด์  ก็อาจเข้าร่วม Euro-B    ส่วนตุรกีและยุโรปตะวันออก  ก็อาจเข้าร่วม Euro-C  เป็นต้น   วิธีนี้ก็จะทำให้ในอนาคตขนาดเศรษฐกิจของยูโรโซน จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ ใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาเสียอีก  และ นี่อาจเป็นต้นแบบในการกำหนดค่าเงินสกุลร่วมให้กับภูมิภาคเอเชียได้อีกด้วย

เชื่อได้ว่าหากผู้นำในยูโรโซนได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้น่าจะตื่นเต้นดีใจเป็นอันมาก  เพราะ  "ยูโรไท้เก๊ก" หรือ การเลิกใช้ "ยูโร" เปลี่ยนมาใช้ "ยูโร"  น่าจะเป็น คำตอบสุดท้ายในการแก้ไขปัญหาวิกฤติยูโรโซน  นั่นเองครับ


วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เงินบาทไท้เก๊ก

เงินบาทกลับมาแข็งค่าตั้งแต่ต้นปีอย่างเร็วถึงราว 3%   เนื่องมาจากแรงเก็งกำไรของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกับต่างประเทศ  เพื่อหวังผลของส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย   เรื่องนี้ได้ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดความกังวลต่อความสามารถในการแข่งขันเพื่อส่งออก  รวมไปถึง  ภาวะฟองสบู่ของราคาสินทรัพย์

เราจะใช้แนวคิด "วิถีไท้เก๊ก" แบบเดิมๆ  ก็จะแยกได้เป็น 4 กรณี
1. ธปท.ไม่แทรกแซง และ บาทแข็ง :  ซึ่งก็แน่นอน นี่คือ วิธีการในปัจจุบันที่ แบงก์ชาติพยายามแทรกแซงน้อยที่สุด  และ ปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าไป  จากเงินเก็งกำไรของต่างชาติ

2. ธปท.แทรกแซง และ บาทอ่อน :  การแทรกแซงอย่างหนักหน่วง  ก็อาจทำให้บาทอ่อนค่าลงได้  แต่ก็เสี่ยงมากๆ ว่าจะสำเร็จหรือไม่  เพราะ  การต่อสู้กับเงินทุนมหาศาลจากต่างชาติก็ยากนักที่จะชนะ  ที่ทำไปในอดีตก็มากมายแต่ไม่เห็นผล  ธปท.มีส่วนทุนลดลงไปอย่างมาก

2 วิธีแรก คือ วิธีการแบบธรรมดาๆ แบบสามัญธรรมดาว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้น  แต่ถ้าหากจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลง  แทนที่เงินทุนจะไหลเข้าตลาดพันธบัตร  ก็อาจไปกระตุ้นให้เงินทุนไหลเข้าในส่วนของสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง หุ้น และ อสังหาริมทรัพย์  ให้เกิดฟองสบู่ใหญ๋ขึ้นก็เป็นได้  รวมไปถึง  การสร้างฟองสบู่ของภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่ ธปท.กังวลอยู่ให้เพิ่มไปอีกด้วย  

วิธีที่ 3 และ 4 คือ แนวคิดแบบ "ไท้เก๊ก" ....
3. ธปท.แทรกแซง  แต่  บาทกลับแข็งค่า   ซึ่งวิธีนี้แย่กว่า 2 วิธีแรกเสียอีก  นั่นก็ืคือ หาก ธปท.เข้าแทรกแซง จะเป็นการเชิญแขกต่างชาติที่รู้ว่ากำลังของ ธปท.นั้นมีไม่พอ  จะเข้ามาโจมตีรุนแรงยิ่งขึ้นทำให้บาทกลับแข็งค่า  เพราะ  ที่ผ่านมาหลายๆ ปี  ธปท.แทรกแซงด้วยเงินที่สูงกว่า 3 ล้านล้านบาท  หรือกว่า 1 แสนล้านเหรียญ  โดยอดีตที่ผ่านมาแบงก์ชาติก็ขาดทุนไปแล้วจากการแทรกแซงค่าเงินในระยะเวลา 8 ปี จากปี 2003-2011  ถึง 12% GDP  หรือกว่า 1 ล้านล้านบาท  (ข้อมูล: IMF)

4. ธปท.ไม่แทรกแซง  แต่ บาทกลับอ่อนค่า :  วิธีนี้ดีที่สุด แต่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยหรือ??  ก็ถ้าไม่เป็นเรื่องแปลกๆ ที่ดูเหมือนจะทำไม่ได้  จะเข้าข่าย "วิถีไท้เก๊ก" หรือครับ  

ด้วยการ "ยืมพลัง" จากแหล่งอื่นๆ  ทำให้ ธปท.ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการดูแลค่าเงินมาตลอดนั้น  จะไม่ต้องแบกรักภาระนี้ไว้แต่ผู้เดียวอีกต่อไป   โดยอาจจะทำได้ในแนวนี้

1. ยืมพลังภาครัฐ  : โดยรัฐบาลอาจออกกฎเพื่อให้  ภาครัฐทั้งหมด (รัฐบาล และ รัฐวิสาหกิจ)  ต้องเปลี่ยนเงินกู้ต่างประเทศ เป็น เงินบาท  ไม่ต่ำกว่า 50% ของยอดรวม  อาจด้วยการป้องกันความเสี่ยง (เฮดจ์)  ภายในเวลา 1 ปี   วิธีนี้จะทำให้ประเทศไทยพึ่งพาเงินทุนในประเทศเพิ่มขึ้น  พึ่งพาเงินทุนต่างชาติลดลง  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี   โดยจะได้กระสุนมาราว 2 แสนล้านบาท   นอกจากนี้  ก็ให้รัฐเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจำนวนมาก  

2. ยืมพลังธนาคาร :  ออกกฏให้ธนาคาพาณิชย์ทั้งระบบ ต้องเพิ่มสินทรัพย์สุทธิต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 2.5% ของสินทรัพย์รวมโดยการซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือ ลดหนี้สินต่างประเทศ  ทำให้เสร็จภายใน 1 ปี  วิธีนี้จะได้กระสุนมาอีก 2.5 แสนล้านบาท  เป็นการเตรียมตัวของธนาคารเพื่อรองรับ AEC ในอนาคตด้วย  

3. ยืมพลังกองทุนบำนาญ  :  ออกกฎให้กองทุนบำนาญ (กบข. สปส. สำรองเลี้ยงชีพ และ ประกันชีวิต)  ต้องลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ  มากกว่า 10% ของสินทรัพย์รวม 3.5 ล้านล้านบาท  ประโยชน์เพื่อให้กองทุนเหล่านี้ได้เรียนรู้การลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นรองรับ AEC อีกด้วย   วิธีน่าจะได้กระสุนเพิ่มอีก 2 แสนล้าน  

4. ยืมพลังประชาชน :  จัดตั้งกองทุนคล้ายๆกับ LTF ด้วยเงื่อนไขหักลดหย่อนภาษีแบบเดียวกัน แต่เป็นวัตถุประสงค์แบบ FIF (Foreign Investment Fund)    ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้การลงทุนในต่างประเทศ   อาจเป็น LFF (Long Term Foreign Fund)  อาจได้กระสุนอีก 5 หมื่นล้าน

เมื่อรวมพลังกระสุนทั้ง 4 ทาง  ก็เป็นเงินถึง 7 แสนล้านบาท  เมื่อรวมกับ กระสุนจากการขาดดุลการค้าราวปีละ 5 แสนล้าน (ปี 2012 ขาดดุลการค้าราว 5.5 แสนล้าน)   ก็จะเป็นกระสุนถึง 1.2 ล้านล้านบาท   ซึ่งน่าจะเหลือพอที่จะต่อกรกับเงินทุนร้อนๆ ที่เข้ามาจากต่างชาติเพื่อเก็งกำไรได้   หากผลักดันให้ค่าเงินบาทอ่อนไประดับ 32  บาทต่อ 1 เหรียญ  ก็หมายถึง จะช่วยสนับสนุนการส่งออกได้มาก  แถม  ส่วนทุนของแบงก์ชาติก็ดีขึ้นมากด้วย  

สรุปก็คือ นี่คือการต่อสู้กับเงินบาทแข็งค่า  ด้วยการที่ ธปท.ไม่ต้องใช้พลังของตนเอง (เพราะใช้ไปแยะแล้ว)   แต่ใช้การยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ อีก 4 ทาง   เพื่อสะท้อนพลังกลับสู้เงินทุนเก็งกำไรต่างหาก    และ คงแทบไม่ต้องกังวลกับค่าเงินบาทที่อาจจะอ่อนมากเกินไปกว่าระดับ 33 บาทเลย  เพราะหากไปถึงตรงนั้นจริง  ธปท.มีเงินดอลลาร์ที่เคยแทรกแซงเก็บไว้เต็มหน้าตัก สามารถนำออกมาขายบ้าง   วิธีนี้จะช่วยลดภาระหนี้สินพันธบัตร ธปท.ลงไปได้ไม่น้อย

เรื่องนี้หากทำสำเร็จ และ บาทอ่อนค่าลงได้จริง  ผลลัพธ์ก็คือ จะเป็นประโยชน์จากกำไรของค่าเงินต่อเกือบทุกฝ่ายทั้ง ธปท. โดยจะมีส่วนทุนที่เพิ่มขึ้นกลับมา  ผู้ส่งออกจะมีอัตรากำไรดีขึ้น  และ ผู้ให้ยืมพลังทั้ง 4 (ภาครัฐ  ธนาคาร  กองทุนบำนาญ และ ประชาชน)  ก็จะมีกำไรส่วนต่างค่าเงินเพิ่มนะครับ