วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เงินบาทไท้เก๊ก

เงินบาทกลับมาแข็งค่าตั้งแต่ต้นปีอย่างเร็วถึงราว 3%   เนื่องมาจากแรงเก็งกำไรของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยกับต่างประเทศ  เพื่อหวังผลของส่วนต่างอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย   เรื่องนี้ได้ส่งผลต่อเนื่องให้เกิดความกังวลต่อความสามารถในการแข่งขันเพื่อส่งออก  รวมไปถึง  ภาวะฟองสบู่ของราคาสินทรัพย์

เราจะใช้แนวคิด "วิถีไท้เก๊ก" แบบเดิมๆ  ก็จะแยกได้เป็น 4 กรณี
1. ธปท.ไม่แทรกแซง และ บาทแข็ง :  ซึ่งก็แน่นอน นี่คือ วิธีการในปัจจุบันที่ แบงก์ชาติพยายามแทรกแซงน้อยที่สุด  และ ปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าไป  จากเงินเก็งกำไรของต่างชาติ

2. ธปท.แทรกแซง และ บาทอ่อน :  การแทรกแซงอย่างหนักหน่วง  ก็อาจทำให้บาทอ่อนค่าลงได้  แต่ก็เสี่ยงมากๆ ว่าจะสำเร็จหรือไม่  เพราะ  การต่อสู้กับเงินทุนมหาศาลจากต่างชาติก็ยากนักที่จะชนะ  ที่ทำไปในอดีตก็มากมายแต่ไม่เห็นผล  ธปท.มีส่วนทุนลดลงไปอย่างมาก

2 วิธีแรก คือ วิธีการแบบธรรมดาๆ แบบสามัญธรรมดาว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้น  แต่ถ้าหากจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลง  แทนที่เงินทุนจะไหลเข้าตลาดพันธบัตร  ก็อาจไปกระตุ้นให้เงินทุนไหลเข้าในส่วนของสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง หุ้น และ อสังหาริมทรัพย์  ให้เกิดฟองสบู่ใหญ๋ขึ้นก็เป็นได้  รวมไปถึง  การสร้างฟองสบู่ของภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่ ธปท.กังวลอยู่ให้เพิ่มไปอีกด้วย  

วิธีที่ 3 และ 4 คือ แนวคิดแบบ "ไท้เก๊ก" ....
3. ธปท.แทรกแซง  แต่  บาทกลับแข็งค่า   ซึ่งวิธีนี้แย่กว่า 2 วิธีแรกเสียอีก  นั่นก็ืคือ หาก ธปท.เข้าแทรกแซง จะเป็นการเชิญแขกต่างชาติที่รู้ว่ากำลังของ ธปท.นั้นมีไม่พอ  จะเข้ามาโจมตีรุนแรงยิ่งขึ้นทำให้บาทกลับแข็งค่า  เพราะ  ที่ผ่านมาหลายๆ ปี  ธปท.แทรกแซงด้วยเงินที่สูงกว่า 3 ล้านล้านบาท  หรือกว่า 1 แสนล้านเหรียญ  โดยอดีตที่ผ่านมาแบงก์ชาติก็ขาดทุนไปแล้วจากการแทรกแซงค่าเงินในระยะเวลา 8 ปี จากปี 2003-2011  ถึง 12% GDP  หรือกว่า 1 ล้านล้านบาท  (ข้อมูล: IMF)

4. ธปท.ไม่แทรกแซง  แต่ บาทกลับอ่อนค่า :  วิธีนี้ดีที่สุด แต่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยหรือ??  ก็ถ้าไม่เป็นเรื่องแปลกๆ ที่ดูเหมือนจะทำไม่ได้  จะเข้าข่าย "วิถีไท้เก๊ก" หรือครับ  

ด้วยการ "ยืมพลัง" จากแหล่งอื่นๆ  ทำให้ ธปท.ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการดูแลค่าเงินมาตลอดนั้น  จะไม่ต้องแบกรักภาระนี้ไว้แต่ผู้เดียวอีกต่อไป   โดยอาจจะทำได้ในแนวนี้

1. ยืมพลังภาครัฐ  : โดยรัฐบาลอาจออกกฎเพื่อให้  ภาครัฐทั้งหมด (รัฐบาล และ รัฐวิสาหกิจ)  ต้องเปลี่ยนเงินกู้ต่างประเทศ เป็น เงินบาท  ไม่ต่ำกว่า 50% ของยอดรวม  อาจด้วยการป้องกันความเสี่ยง (เฮดจ์)  ภายในเวลา 1 ปี   วิธีนี้จะทำให้ประเทศไทยพึ่งพาเงินทุนในประเทศเพิ่มขึ้น  พึ่งพาเงินทุนต่างชาติลดลง  ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี   โดยจะได้กระสุนมาราว 2 แสนล้านบาท   นอกจากนี้  ก็ให้รัฐเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจำนวนมาก  

2. ยืมพลังธนาคาร :  ออกกฏให้ธนาคาพาณิชย์ทั้งระบบ ต้องเพิ่มสินทรัพย์สุทธิต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 2.5% ของสินทรัพย์รวมโดยการซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือ ลดหนี้สินต่างประเทศ  ทำให้เสร็จภายใน 1 ปี  วิธีนี้จะได้กระสุนมาอีก 2.5 แสนล้านบาท  เป็นการเตรียมตัวของธนาคารเพื่อรองรับ AEC ในอนาคตด้วย  

3. ยืมพลังกองทุนบำนาญ  :  ออกกฎให้กองทุนบำนาญ (กบข. สปส. สำรองเลี้ยงชีพ และ ประกันชีวิต)  ต้องลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ  มากกว่า 10% ของสินทรัพย์รวม 3.5 ล้านล้านบาท  ประโยชน์เพื่อให้กองทุนเหล่านี้ได้เรียนรู้การลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นรองรับ AEC อีกด้วย   วิธีน่าจะได้กระสุนเพิ่มอีก 2 แสนล้าน  

4. ยืมพลังประชาชน :  จัดตั้งกองทุนคล้ายๆกับ LTF ด้วยเงื่อนไขหักลดหย่อนภาษีแบบเดียวกัน แต่เป็นวัตถุประสงค์แบบ FIF (Foreign Investment Fund)    ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้การลงทุนในต่างประเทศ   อาจเป็น LFF (Long Term Foreign Fund)  อาจได้กระสุนอีก 5 หมื่นล้าน

เมื่อรวมพลังกระสุนทั้ง 4 ทาง  ก็เป็นเงินถึง 7 แสนล้านบาท  เมื่อรวมกับ กระสุนจากการขาดดุลการค้าราวปีละ 5 แสนล้าน (ปี 2012 ขาดดุลการค้าราว 5.5 แสนล้าน)   ก็จะเป็นกระสุนถึง 1.2 ล้านล้านบาท   ซึ่งน่าจะเหลือพอที่จะต่อกรกับเงินทุนร้อนๆ ที่เข้ามาจากต่างชาติเพื่อเก็งกำไรได้   หากผลักดันให้ค่าเงินบาทอ่อนไประดับ 32  บาทต่อ 1 เหรียญ  ก็หมายถึง จะช่วยสนับสนุนการส่งออกได้มาก  แถม  ส่วนทุนของแบงก์ชาติก็ดีขึ้นมากด้วย  

สรุปก็คือ นี่คือการต่อสู้กับเงินบาทแข็งค่า  ด้วยการที่ ธปท.ไม่ต้องใช้พลังของตนเอง (เพราะใช้ไปแยะแล้ว)   แต่ใช้การยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ อีก 4 ทาง   เพื่อสะท้อนพลังกลับสู้เงินทุนเก็งกำไรต่างหาก    และ คงแทบไม่ต้องกังวลกับค่าเงินบาทที่อาจจะอ่อนมากเกินไปกว่าระดับ 33 บาทเลย  เพราะหากไปถึงตรงนั้นจริง  ธปท.มีเงินดอลลาร์ที่เคยแทรกแซงเก็บไว้เต็มหน้าตัก สามารถนำออกมาขายบ้าง   วิธีนี้จะช่วยลดภาระหนี้สินพันธบัตร ธปท.ลงไปได้ไม่น้อย

เรื่องนี้หากทำสำเร็จ และ บาทอ่อนค่าลงได้จริง  ผลลัพธ์ก็คือ จะเป็นประโยชน์จากกำไรของค่าเงินต่อเกือบทุกฝ่ายทั้ง ธปท. โดยจะมีส่วนทุนที่เพิ่มขึ้นกลับมา  ผู้ส่งออกจะมีอัตรากำไรดีขึ้น  และ ผู้ให้ยืมพลังทั้ง 4 (ภาครัฐ  ธนาคาร  กองทุนบำนาญ และ ประชาชน)  ก็จะมีกำไรส่วนต่างค่าเงินเพิ่มนะครับ   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น