เราจะใช้แนวคิด "วิถีไท้เก๊ก" แบบเดิมๆ ก็จะแยกได้เป็น 4 กรณี
1. ธปท.ไม่แทรกแซง และ บาทแข็ง : ซึ่งก็แน่นอน นี่คือ วิธีการในปัจจุบันที่ แบงก์ชาติพยายามแทรกแซงน้อยที่สุด และ ปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าไป จากเงินเก็งกำไรของต่างชาติ
2. ธปท.แทรกแซง และ บาทอ่อน : การแทรกแซงอย่างหนักหน่วง ก็อาจทำให้บาทอ่อนค่าลงได้ แต่ก็เสี่ยงมากๆ ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เพราะ การต่อสู้กับเงินทุนมหาศาลจากต่างชาติก็ยากนักที่จะชนะ ที่ทำไปในอดีตก็มากมายแต่ไม่เห็นผล ธปท.มีส่วนทุนลดลงไปอย่างมาก
2 วิธีแรก คือ วิธีการแบบธรรมดาๆ แบบสามัญธรรมดาว่ามันควรจะเป็นเช่นนั้น แต่ถ้าหากจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อให้ส่วนต่างดอกเบี้ยแคบลง แทนที่เงินทุนจะไหลเข้าตลาดพันธบัตร ก็อาจไปกระตุ้นให้เงินทุนไหลเข้าในส่วนของสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง หุ้น และ อสังหาริมทรัพย์ ให้เกิดฟองสบู่ใหญ๋ขึ้นก็เป็นได้ รวมไปถึง การสร้างฟองสบู่ของภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่ ธปท.กังวลอยู่ให้เพิ่มไปอีกด้วย
วิธีที่ 3 และ 4 คือ แนวคิดแบบ "ไท้เก๊ก" ....
3. ธปท.แทรกแซง แต่ บาทกลับแข็งค่า ซึ่งวิธีนี้แย่กว่า 2 วิธีแรกเสียอีก นั่นก็ืคือ หาก ธปท.เข้าแทรกแซง จะเป็นการเชิญแขกต่างชาติที่รู้ว่ากำลังของ ธปท.นั้นมีไม่พอ จะเข้ามาโจมตีรุนแรงยิ่งขึ้นทำให้บาทกลับแข็งค่า เพราะ ที่ผ่านมาหลายๆ ปี ธปท.แทรกแซงด้วยเงินที่สูงกว่า 3 ล้านล้านบาท หรือกว่า 1 แสนล้านเหรียญ โดยอดีตที่ผ่านมาแบงก์ชาติก็ขาดทุนไปแล้วจากการแทรกแซงค่าเงินในระยะเวลา 8 ปี จากปี 2003-2011 ถึง 12% GDP หรือกว่า 1 ล้านล้านบาท (ข้อมูล: IMF)
4. ธปท.ไม่แทรกแซง แต่ บาทกลับอ่อนค่า : วิธีนี้ดีที่สุด แต่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยหรือ?? ก็ถ้าไม่เป็นเรื่องแปลกๆ ที่ดูเหมือนจะทำไม่ได้ จะเข้าข่าย "วิถีไท้เก๊ก" หรือครับ
4. ธปท.ไม่แทรกแซง แต่ บาทกลับอ่อนค่า : วิธีนี้ดีที่สุด แต่จะสามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ด้วยหรือ?? ก็ถ้าไม่เป็นเรื่องแปลกๆ ที่ดูเหมือนจะทำไม่ได้ จะเข้าข่าย "วิถีไท้เก๊ก" หรือครับ
ด้วยการ "ยืมพลัง" จากแหล่งอื่นๆ ทำให้ ธปท.ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการดูแลค่าเงินมาตลอดนั้น จะไม่ต้องแบกรักภาระนี้ไว้แต่ผู้เดียวอีกต่อไป โดยอาจจะทำได้ในแนวนี้
1. ยืมพลังภาครัฐ : โดยรัฐบาลอาจออกกฎเพื่อให้ ภาครัฐทั้งหมด (รัฐบาล และ รัฐวิสาหกิจ) ต้องเปลี่ยนเงินกู้ต่างประเทศ เป็น เงินบาท ไม่ต่ำกว่า 50% ของยอดรวม อาจด้วยการป้องกันความเสี่ยง (เฮดจ์) ภายในเวลา 1 ปี วิธีนี้จะทำให้ประเทศไทยพึ่งพาเงินทุนในประเทศเพิ่มขึ้น พึ่งพาเงินทุนต่างชาติลดลง ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดี โดยจะได้กระสุนมาราว 2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ ก็ให้รัฐเร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศจำนวนมาก
2. ยืมพลังธนาคาร : ออกกฏให้ธนาคาพาณิชย์ทั้งระบบ ต้องเพิ่มสินทรัพย์สุทธิต่างประเทศไม่ต่ำกว่า 2.5% ของสินทรัพย์รวมโดยการซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ หรือ ลดหนี้สินต่างประเทศ ทำให้เสร็จภายใน 1 ปี วิธีนี้จะได้กระสุนมาอีก 2.5 แสนล้านบาท เป็นการเตรียมตัวของธนาคารเพื่อรองรับ AEC ในอนาคตด้วย
3. ยืมพลังกองทุนบำนาญ : ออกกฎให้กองทุนบำนาญ (กบข. สปส. สำรองเลี้ยงชีพ และ ประกันชีวิต) ต้องลงทุนในสินทรัพย์ต่างประเทศ มากกว่า 10% ของสินทรัพย์รวม 3.5 ล้านล้านบาท ประโยชน์เพื่อให้กองทุนเหล่านี้ได้เรียนรู้การลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นรองรับ AEC อีกด้วย วิธีน่าจะได้กระสุนเพิ่มอีก 2 แสนล้าน
4. ยืมพลังประชาชน : จัดตั้งกองทุนคล้ายๆกับ LTF ด้วยเงื่อนไขหักลดหย่อนภาษีแบบเดียวกัน แต่เป็นวัตถุประสงค์แบบ FIF (Foreign Investment Fund) ประโยชน์เพื่อให้ประชาชนได้เรียนรู้การลงทุนในต่างประเทศ อาจเป็น LFF (Long Term Foreign Fund) อาจได้กระสุนอีก 5 หมื่นล้าน
เมื่อรวมพลังกระสุนทั้ง 4 ทาง ก็เป็นเงินถึง 7 แสนล้านบาท เมื่อรวมกับ กระสุนจากการขาดดุลการค้าราวปีละ 5 แสนล้าน (ปี 2012 ขาดดุลการค้าราว 5.5 แสนล้าน) ก็จะเป็นกระสุนถึง 1.2 ล้านล้านบาท ซึ่งน่าจะเหลือพอที่จะต่อกรกับเงินทุนร้อนๆ ที่เข้ามาจากต่างชาติเพื่อเก็งกำไรได้ หากผลักดันให้ค่าเงินบาทอ่อนไประดับ 32 บาทต่อ 1 เหรียญ ก็หมายถึง จะช่วยสนับสนุนการส่งออกได้มาก แถม ส่วนทุนของแบงก์ชาติก็ดีขึ้นมากด้วย
สรุปก็คือ นี่คือการต่อสู้กับเงินบาทแข็งค่า ด้วยการที่ ธปท.ไม่ต้องใช้พลังของตนเอง (เพราะใช้ไปแยะแล้ว) แต่ใช้การยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ อีก 4 ทาง เพื่อสะท้อนพลังกลับสู้เงินทุนเก็งกำไรต่างหาก และ คงแทบไม่ต้องกังวลกับค่าเงินบาทที่อาจจะอ่อนมากเกินไปกว่าระดับ 33 บาทเลย เพราะหากไปถึงตรงนั้นจริง ธปท.มีเงินดอลลาร์ที่เคยแทรกแซงเก็บไว้เต็มหน้าตัก สามารถนำออกมาขายบ้าง วิธีนี้จะช่วยลดภาระหนี้สินพันธบัตร ธปท.ลงไปได้ไม่น้อย
สรุปก็คือ นี่คือการต่อสู้กับเงินบาทแข็งค่า ด้วยการที่ ธปท.ไม่ต้องใช้พลังของตนเอง (เพราะใช้ไปแยะแล้ว) แต่ใช้การยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ อีก 4 ทาง เพื่อสะท้อนพลังกลับสู้เงินทุนเก็งกำไรต่างหาก และ คงแทบไม่ต้องกังวลกับค่าเงินบาทที่อาจจะอ่อนมากเกินไปกว่าระดับ 33 บาทเลย เพราะหากไปถึงตรงนั้นจริง ธปท.มีเงินดอลลาร์ที่เคยแทรกแซงเก็บไว้เต็มหน้าตัก สามารถนำออกมาขายบ้าง วิธีนี้จะช่วยลดภาระหนี้สินพันธบัตร ธปท.ลงไปได้ไม่น้อย
เรื่องนี้หากทำสำเร็จ และ บาทอ่อนค่าลงได้จริง ผลลัพธ์ก็คือ จะเป็นประโยชน์จากกำไรของค่าเงินต่อเกือบทุกฝ่ายทั้ง ธปท. โดยจะมีส่วนทุนที่เพิ่มขึ้นกลับมา ผู้ส่งออกจะมีอัตรากำไรดีขึ้น และ ผู้ให้ยืมพลังทั้ง 4 (ภาครัฐ ธนาคาร กองทุนบำนาญ และ ประชาชน) ก็จะมีกำไรส่วนต่างค่าเงินเพิ่มนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น