ความกังวลได้เริ่มก่อตัวอีกครั้งจากเขตยูโรโซน โดยอาจกล่าวได้ว่า "เงินยูโร" คือ ต้นตอของสรรพปัญหาทั้งปวงในเขตยูโรโซน โดยเริ่มตั้งแต่
1. ปัญหาเศรษฐกิจ : การจำเป็นต้องรัดเข็มขัดการคลัง ส่งผลให้เกิดปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ โดยประเทสในเขตนี้มีหน้าที่ต้องทำให้การขาดดุลการคลังต่อ GDP ลดลงให้ได้เหลือระดับ 3% เท่านั้น และ สำหรับประเทศลูกหนี้อย่าง PIIGS นั้น การไฟแนนซ์เงินผ่านพันธบัตรรัฐบาล จำเป็นต้องพึ่งพิงเงินจากต่างประเทศ ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกว่าสมัยก่อนมาก
2.ปัญหาสังคม : เมื่อเศรษฐกิจตกต่ำ ก็เกิดว่างงานสูง โดยอัตราว่างงานในสเปน และ กรีซ นั้นสูงระดับ 26-27% ไปแล้ว และ สำหรับคนหนุ่มสาวนั้น อัตราว่างงานสูงระดับ 60% เลยทีเดียว นี่นับเป็นปัญหาสังคมที่สำคัญยิ่งอันหนึ่ง
3.ปัญหาการเมือง : ซึ่งเกิดจากการปะทะกันระหว่างแนวคิด สนับสนุนการรัดเข็มขัดการคลัง เพราะ การมีเงื่อนไข "ยูโร" มาค้ำคอ ทำให้จำเป็นต้องเลือกทางนี้เพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ขณะที่ แนวคิดต่อต้านการรัดเข็มขัด เน้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจนั้นก็เพื่อดูแลปากท้องประชาชน จึงอาจกล่าวได้ว่า "เงินยูโร" นำไปสู่ปัญหาการเมืองในอิตาลีในที่สุด
การที่ ECB ประกาศว่าจะพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อรักษาระบบยูโรปัจจุบันเอาไว้ จึงเปรียบเหมือนการพูดว่า "จะพยายามแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่ ด้วยการเก็บรักษาต้นตอของปัญหาเอาไว้"...... นี่จึงยังไม่ใช่วิธีแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องนัก โดยวิธีที่ถูกต้องน่าจะเป็นการยอมรับความผิดพลาดของ "เงินยูโร" และจะจัดการแก้ไขระบบยูโรอย่างไร เพื่อไม่ให้กระทบต่อความเชื่อมั่นของระบบการเงินโลกต่างหาก
วิธีจัดการกับ "เงินยูโร" นั้นมี 4 วิธี ตามแบบฉบับ "วิถีไท้เก๊ก" โดย 2 วิธีแบบสามัญธรรมดา
1. ใช้ระบบเดิมๆไป ไม่ต้องเปลี่ยน : วิธีนี้ก็คือวิธีปัจจุบัน ซึ่งจะส่งผลให้ประเทศอ่อนแอ (PIIGS) ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง จำเป็นต้องรัดเข็มขัดการคลัง ส่งผลให้เศรษฐกิจถดถอย เป็นวิธีที่ขาด "ดุลยภาพ" ของระบบเศรษฐกิจ
2. ให้ประเทศอ่อนแอเลิกใช้ "ยูโร" และ กลับไปใช้เงินสกุลเดิม : วิธีนี้ก็อาจไม่เลวนัก น่าจะทำให้ประเทศอย่าง กรีซ ไซปรัส โปรตุเกส กลับมามีสมดุลบัญชีเดินสะพัด และ เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ แต่ก็อาจส่งผลให้สูญเสียความเชื่อมั่น และ กระทบไปยังประเทศอื่นๆ ทำให้ขาด "เอกภาพ" ไป
สำหรับวิธีที่ 3 และ 4 นั้น เป็น วิถีไท้เก๊ก ทางหนึ่งคือ แย่กว่าเดิม ส่วนทางที4 คือ คำตอบสุดท้าย
3. ประเทศอื่นๆ เลิกใช้เงินสกุลเดิม เปลี่ยนมาใช้ "ยูโร" กัน : ซึ่งก็มีหลายประเทศในเขตยุโรปตะวันออก เช่น โปแลนด์ จะปรับเปลี่ยนมาใช้ "เงินยูโร" เพื่อสร้างภาพว่า เงินยูโร มีความมั่นคงสูงมีเสถียรภาพ ในความเป็นจริงแล้ววิธีนี้แย่กว่าเดิมเสียอีก เพราะ แทนที่ดูแลจัดการแค่ 17 ประเทศในยูโรโซน อาจจะต้องยุ่งยากในการจัดการถึงกว่า 20 ประเทศในการแตกตัว เรื่องนี้สะท้อนภาพว่า ชาวยุโรปที่รู้ว่า เงินยูโร คือ ต้นตอแห่งปัญหาทั้งปวงในยูโรโซนนั้นยังมีอยู่น้อย และ อยู่ในวงจำกัดเท่านั้น
4. วิธีนี้น่าจะดีที่สุดก็คือ เลิกใช้เงิน "ยูโร" แล้วเปลี่ยนมาใช้ "ยูโร" : ท่านผู้อ่านอาจสงสัยว่าผมเขียนผิดหรือเปล่า ไม่ผิดหรอกครับ ก็ถ้าไม่เป็นเรื่องที่ดูแปลกๆ จะเข้าข่าย "วิถีไท้เก๊ก" หรือครับ ??
หลักการก็คือ แตกเงิน Euro ออกเป็น Euro-A Euro-B และ Euro-C ตามลำดับ ตามสภาพความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจ โดย Euro-A คือส่วนใหญ่ในยูโรโซน รวม 11 ประเทศ ขณะที่ Euro-B มี อิตาลี สเปน และ ไอร์แลนด์ และ Euro-C คือกลุ่มประเทศอ่อนแอสุด กรีซ โปรตุเกส และ ไซปรัส การแบ่งก็โดยอิงกับความเสี่ยงของประเทศที่วัดจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ต่ำกว่า 3% ก็คือ Euro-A ระหว่าง 3-6% ก็คือ Euro-B และ เกินกว่า 6% ก็คือ Euro-C
อัตราส่วนในการแตกค่าเงินก็น่าจะเป็นตามสัดส่วน GDP ของแต่ละกลุ่มซึ่งอาจใช้สัดส่วน 70:25:5 ก็น่าจะเหมาะสม โดย Euro-B นั้นอ่อนค่ากว่า Euro-A (ซึ่งเป็นสกุลหลัก) อยู่ 10% และ Euro-C อ่อนค่ากว่า Euro-A 20% และในอนาคตก็ผูกค่าไว้โดยยอมปล่อยให้อ่อนค่าลดทีละน้อย (Crawling Peg) กับ เงินสกุล Euro-A
ด้วยวิธีการนี้จะส่งผลดีใน 4 ประการดังนี้
1. ดุลยภาพ : ประเทศอ่อนแอ (PIIGS และ ไซปรัส) จะสามารถปรับสมดุลบัญชีเดินสะพัดได้ เศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว และ ฟื้นการจ้างงานได้ด้วย จากธุรกิจส่งออก ท่องเทียว และ ธุรกิจทดแทนการนำเข้า
2.ภราดรภาพ : จากภาพที่ประเทศลูกหนี้มอง "ยูโร"ว่าเป็นโซ่ตรวนที่ทำให้หมดสิ้นอิสรภาพทั้งการเงินการคลัง อยู่ในความสัมพันธ์แบบรู้สึกตกเป็นทาสของ เยอรมนี ก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จากมุมมองของเจ้าหนี้ที่ว่า ประเทศ PIIGS เป็นลูกหนี้ที่ฟุ่มเฟือย ชอบเบี้ยวกฎเกณฑ์ ต้องนำภาษีของชาติและประชาชนมาอุ้มประเทศลูกหนี้เหล่านี้ ก็จะเปลี่ยนไปในทิศทางที่เป็นมิตรกันมากขึ้น
3.เอกภาพ : เมื่อเงินยูโร แตกออกเป็น 3 สกุล แต่ยังคงใช้ยูโรเหมือนเดิม ทุกประเทศยังคงอยู่ใน "ยูโรโซน" อย่างเป็นเอกภาพ และ ECB ดูแลเงินทั้ง 3 สกุลนี้ โดยน่าจะปรับกฏเกณฑ์ไปด้วย เช่น อัตราเงินเฟ้อสำหรับ Euro-A,B,C นั้นก็อาจเป็นไม่เกิน 3%, 5% และ 7% ตามลำดับ การขาดดุลการคลังต่อ GDP ก็เป็น 3 ระดับโดยไม่เกิน 3% 5% และ 7% ตามลำดับ หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP ก็อาจปรับเป็นไม่เกิน 100% 125% และ 150% ตามลำดับ เพราะ กฏเกณฑ์ปัจจุบันแทบไม่มีประเทศไหนทำได้ นั่นแปลได้ว่าเป็นกฎระเบียบที่ล้าสมัยและไม่เหมาะสม เมื่อปรับกฎให้อ่อนลงเช่นนี้ ประเทศต่างๆ ก็สามารถทำตามกฎระเบียบได้โดยไม่ยากลำบากนัก และเกิดเอกภาพในกลุ่มได้
4.ศักยภาพ : ประเทศต่างๆ ในยูโรโซนก็จะกลับมาเติบโตได้ตามศักยภาพ ซึ่งก็น่าจะเป็นระดับต่ำๆ แต่ไม่ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอยอย่างในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังอาจเพิ่มศักยภาพด้วยการดึงเอา ประเทศใน EU แต่ยังไม่ได้ใช้เงินยูโร เข้ามาร่วมใช้เงิน 1 ใน 3 สกุลนี้ ตามความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจได้ด้วย โดย เดนมาร์ก สวีเดน ก็อาจเข้าร่วม Euro-A อังกฤษ โปแลนด์ ก็อาจเข้าร่วม Euro-B ส่วนตุรกีและยุโรปตะวันออก ก็อาจเข้าร่วม Euro-C เป็นต้น วิธีนี้ก็จะทำให้ในอนาคตขนาดเศรษฐกิจของยูโรโซน จะมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก คือ ใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาเสียอีก และ นี่อาจเป็นต้นแบบในการกำหนดค่าเงินสกุลร่วมให้กับภูมิภาคเอเชียได้อีกด้วย
เชื่อได้ว่าหากผู้นำในยูโรโซนได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้น่าจะตื่นเต้นดีใจเป็นอันมาก เพราะ "ยูโรไท้เก๊ก" หรือ การเลิกใช้ "ยูโร" เปลี่ยนมาใช้ "ยูโร" น่าจะเป็น คำตอบสุดท้ายในการแก้ไขปัญหาวิกฤติยูโรโซน นั่นเองครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น