วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เศรษฐศาสตร์ไตรภาค

บทความนี้ผมจะได้กล่าวถึง "เศรษฐศาสตร์ไตรภาค"  หรือเศรษฐศาสตร์ซึ่งมี 3 ภาค  ซึ่งเรื่องนี้อาจเป็นก้าวที่สำคัญยิ่งสำหรับประเทศไทย

1. ภาคก่อวิกฤติ :  นี่คือเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม  เป็นเศรษฐศาสตร์พลังหยาง  เน้นการ  เติบโต-คึกคัก-ร้อนแรง  สร้างความโลภเกินพอดี  สร้างฟองสบู่ให้แตกจนเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในที่สุด   แม้มีความพยายามที่จะแก้ไขวิกฤติของภาคเอกชน  อย่างวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์  ด้วยการอัดฉีดเงินภาครัฐเข้าไปมากๆ  โดยอเมริกาขาดดุลการคลังตั้งแต่ปี 2009-2012 นั้นเป็นสัดส่วนต่อ GDP สูงถึง 12.1%  10.7%  10.1% และ 8.5%  ตามลำดับซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงมากและตัวเลขหนี้ภาครัฐต่อ GDP นั้นก็วิ่งสูงกว่า 100% ไปแล้ว ขณะที่ญี่ปุ่นก็มีตัวเลขขาดดุลการคลัง 4 ปีแบบเดียวกันที่ 8.8% 8.7%  9.1% และ 9.2% ตามลำดับขณะที่หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP วิ่งสูงกว่า 220%  

เมื่อมาดูประเทศในยูโรโซนที่พยายามจะ "รัดเข็มขัด" ดูบ้าง  ก็พบว่าประเทศอย่างกรีซ และ สเปน ถึงขั้นเศรษฐกิจถดถอยด้วยการพยายามรัดเข็มขัดการคลัง  อย่างไรก็ดี  พบว่า ตัวเลขจริงของการขาดดุลการคลังในปี 2012  ก็คือ 10.0% และ 10.6% GDP ตามลำดับ  นั่นเรียกว่า "ปฏิทรรศน์ของการรัดเข็มขัด"  (paradox of austerity) ซึ่งหมายถึงว่า การพยายามรัดเข็มขัดการคลัง จะทำให้เศรษฐกิจถดถอย  รัฐบาลจึงมีรายได้ลดลง ขณะที่ต้องมีภาระด้านประกันสังคมเพื่อช่วยเหลือประชาชนมากขึ้น  พร้อมๆ กับการอัดฉีดเงินเพิ่มทุนเข้าภาคธนาคารอีกด้วย  จึงทำให้ผลลัพธ์นั้นออกมาในทิศทางแย้งกับที่ตั้งใจ คือ การขาดดุลการคลังยังสูงมาก และ หนี้สินต่อ GDP ก็คงยังวิ่งสูงต่อไป  จึงเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ต่างจากการทุ่มเงินภาครัฐแบบอเมริกา หรือ ญีปุ่น  นี่เรียกได้ว่าเป็น "กับดักเคนส์" คือไม่ว่าเลือกทางใดก็ติดกับดักอยู่ดี

เมื่อรัฐบาลจำเป็นต้องออกพันธบัตรมาก  ธนาคารกลางก็พิมพ์แบงก์เพิ่มเข้ามาเป็นผู้ช่วยซื้อเพื่อหวังมิให้ดอกเบี้ยที่ออกมานั้นสูงจนเกินไป  ทำให้สินทรัพย์ของเฟดโป่งพองไปสูงกว่า 3 ล้านล้านดอลลาร์แล้ว ผ่านมาตรการ QE  ซึ่งเสี่ยงต่อการขาดทุนมหาศาลหากต้องมีการ "ลด" หรือ "เลิก" มาตรการ QE ก็อาจส่งผลให้บอนด์ยีลด์ดีดกลับขึ้นไปสูงมาก  ทำให้พันธบัตรที่ถือครองเป็นสินทรัพย์นั้นเสื่อมค่าลง  จะเห็นได้ว่าการพยายามแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจ จึงเป็นเสมือน "ลิงแก้แห"  ที่จะส่งผลให้เกิด "วิกฤติการคลัง" ของภาครัฐ  และ "วิกฤติการเงิน" ของธนาคารกลางตามมาได้อีกด้วย  ยังไม่นับการรวมไปถึง "วิกฤติภาวะโลกร้อน" อีกต่างหาก

2. ภาคป้องกันวิกฤติ : เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ  นี่คือเศรษฐศาสตร์พลังหยิน  มุ่งเน้น นิ่ง-สงบ-เย็น  จะสามารถช่วยป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจได้ดี  แต่อาจทำให้เศรษฐกิจโตช้าเกินไป  เติบโตได้ไม่เต็มศักยภาพ  เมื่อเดินหน้าช้าๆ  โอกาสเกิดอุบัติเหตุย่อมน้อยกว่าการวิ่งอย่างเร็วๆ  โดยเฉพาะในช่วงทางโค้งอันตราย  เศรษฐศาสตร์ในภาคนี้จะควบคุมความโลภไม่ให้เกินขอบเขตที่จะทำให้ไปถึงขั้นฟองสบู่แตก  อาจบรรจุเรื่องราวของ ดินน้ำลมไฟและขยะ เป็น "เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม"   เรื่องราวของพลังงานฟอสซิลและพลังงานทดแทนเป็น "เศรษฐศาสตร์พลังงาน"  ใส่เรื่องราวของ พืชและสัตว์ เป็น "เศรษฐศาสตร์การเกษตร"  รวมไปถึง  เรื่องราวของคนกลายเป็น "เศรษฐศาสตร์แรงงาน" เข้าไปด้วย  แทนที่จะมุ่งเน้นแต่เรื่องของ "เงิน" และ "สินค้า"  ตามแนวเศรษฐศาสตร์กระแสหลักทุนนิยมเดิมๆ  

3. ภาคพิชิตวิกฤติ : เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.)  ซึ่งอาจแปลตรงๆ จากภาษาจีนเป็น "เศรษฐศาสตร์ไร้เทียมทาน"  นี่เป็นเศรษฐศาสตร์พลังหยินหยาง   ใช้หลักการรักษาสมดุล  ยืมแรงสะท้อนแรง  นิ่งคือเคลื่อน-เคลื่อนคือนิ่ง  โดยไม่ใช้วิธีแบบเดิมๆ  เช่น  "การคลังไท้เก๊ก"  นั้นรัฐบาลจะสามารถรัดเข็มขัดการคลังไปพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยการยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ  แทนที่จะอัดเงินงบประมาณลงไปตรงๆ  

หากมีการบรรจุภาค 2 และ 3  เข้าไปเป็นหลักสูตรของนักเรียนชั้นมัธยม  เด็กมัธยมโดยเฉลี่ยของไทยก็น่าจะมีความรู้ในด้านเศรษฐศาสตร์ที่เหนือว่า เด็กมัธยมของประเทศอื่นๆ  เพราะว่าพวกเขาเรียนกันแค่ภาคแรกภาคเดียว  ขณะที่ไทยจะเรียนถึง 3 ภาค  หากการปฏิรูปการศึกษา คือ การพยายามทำให้เด็กไทยได้มีความรู้เพื่อตามให้ทันเพื่อนบ้านแล้วละก็  นี่ไม่ใช่แค่การปฏฺิรูปการศึกษา  แต่เป็น "ปฏิวัติการศึกษา" เพราะจะทำให้เด็กมัธยมไทยมีความรู้เหนือล้ำกว่าชาติอื่นๆ ในโลกกันเลยทีเดียว  แน่นอนว่าเป็นเฉพาะแค่วิชาเดียว ส่วนวิชาคณิตศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์นั้นหนทางคงอีกยาวไกล

อย่างไรก็ดี  นี่อาจนับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของประเทศไทยในการเดินสู่การเป็นผู้นำความรู้เศรษฐศาสตร์ของโลก  และ ยังอาจเป็นก้าวย่างแรกที่สำคัญต่อการปฏิวัติการศึกษาไทยอีกด้วย   แต่ความฝันอันงดงามยิ่งใหญ่นี้ก็ยากจะเป็นจริง  หากไม่ได้รับการสนับสนุนด้วยวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่นของท่านผู้มีอำนาจในกระทรวงศึกษาธิการ  ก็ฝากไว้ด้วยนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น