วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปากีสถาน....งานเข้าเอเชีย

ปากีสถาน คือ ประเทศที่ขนาดของเศรษฐกิจใหญ่กว่าครึงหนึ่งของประเทศไทยเล็กน้อยอยู่ที่ 211 พันล้านดอลลาร์   แต่มีพลเมืองมากถึง 180 ล้านคน หรือเกือบๆ 3 เท่าของประเทศไทย  โดยอยู่ติดกับเพื่อนบ้าน คือ ประเทศอินเดีย  ซึ่งมีขนาดของเศรษฐกิจที่ใหญ่กว่าถึง 9 เท่าตัว

ข่าวก็คือ IMF และ ปากีสถานได้มีข้อตกลงที่ IMF จะปล่อยเงินกู้ 5.3 พันล้านดอลลาร์ให้แก่ปากีสถานมีระยะเวลา 3 ปี  เพื่อช่วยเหลือด้านเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ  ป้องกันวิกฤติดุลบัญชีชำระเงิน  โดยเงินทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศนั้นร่อยหรอลงมากกว่า 40% ในช่วงเวลา 1 ปีที่่ผ่านมาเหลือเพียง 6 พันล้านดอลลาร์  หรือ เหลือไม่ถึง 2 เดือนของการนำเข้า

ทั้งๆที่ ปากีสถาน มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดราว 2% GDP เท่านั้น  ประเทศนี้มีปัญหาอะไรเป็นพิเศษ จึงได้เกิดเรื่องแบบนี้ได้ แน่นอนว่าปัญหาสะสมมาตั้งแต่ปี 2008 วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์แล้ว  โดย IMF ได้เคยปล่อยกู้ให้ปากีสถานหลายครั้งรวมถึง 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์  แต่ได้หยุดไปในปี 2011 เพราะ ปากีสถานไม่รักษาสัญญาที่เคยให้ไว้  โดยเฉพาะในเรื่องของการดูแลขาดดุลการคลัง  การปล่อยกู้รอบใหม่ให้รัฐบาลชุดใหม่นี้ก็คงมีบางส่วนเพื่อให้ ปากีสถานสามารถมีเงินไปชำระหนี้เก่่าของ IMF ด้วยนั่นเอง  ภายใต้เงื่อนไขที่ ปากีสถาน จะต้องรัดเข็มขัดการคลังอย่างจริงจัง

เมื่อมาดูการคลังของ "ปากีสถาน" ดูบ้าง  ก็พบว่า หนี้สินภาครัฐต่อ GDP ยืนที่ 50.4%  เท่านั้นเอง  ซึ่งดูเหมือนจะเป็นระดับที่ต่ำ  เมื่อเทียบกับประเทศในยูโรโซน   แต่เมื่อมาดู "ดัชนีเรืองศิริกูลชัย" (Ruang Index)  ดูบ้าง  ประเทศปากีสถานมีบอนด์ยีลด์ 10 ปีนั้นสูงถึง 12.0% นั่นหมายถึงว่า ค่า Ruang Index สูงถึง 6.0% กันเลย  ซึ่งเป็นระดับที่เสี่ยงทางการคลังมากๆ  เมื่อเทียบกับ  ญี่ปุ่นซึ่งแม้มีหนี้สินภาครัฐ ต่อ GDP  สูงถึง 230%  แต่มีบอนด์ยีลด์ 10 ปีที่ 0.86% จึงได้ค่า Ruang Index เพียงแค่ 2.0%  จึงอาจกล่าวได้ว่าความจริงแล้วญี่ปุ่นมีความเสี่ยงทางการคลังที่ต่ำกว่า ปากีสถาน อยู่หลายขุม

แล้วเช่นนั้นปัญหาของ "ปากีสถาน" ที่แท้จริงคืออะไร  ปัญหาก็คือ ประเทศนี้มีหนี้สินภายนอก (external debt)  ที่ถือโดยคนต่างชาติอยู่ถึง 60 พันล้านดอลลาร์  ขณะที่มีเงินทุนสำรองฯ เพียง 6 พันล้านดอลลาร์   สูงกว่ากันถึง 10 เท่าตัว  นั่นหมายถึง  หากความเชื่อมั่นเสื่อมถอยมีการเรียกคืนเงินกู้อย่างเร็วแล้วละก็  ปากีสถาน จะหาเงินทุนที่ไหนมาชำระหนี้  ??

ผมจึงได้คิดค้นศัพท์ใหม่และนำเสนอ "การกันสำรองเรืองศิริกูลชัย"  (Ruang Reserve)   ซึ่งหมายถึงว่า  หากมีการคืนหนี้สินให้ต่างชาติ  และ มีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องแล้ว   เงินทุนสำรองระหว่างประเทศจะสามารถคงอยู่ได้นานกี่ไตรมาส    สำหรับ  ปากีสถานแม้ว่าจะมีการส่งออก "แรงงาน" ไปทำงานต่างประเทศและมีส่งเงินกลับประเทศอยู่ไม่น้อย  แต่ประเทศนี้ก็ยังขาดดุลบัญชีเดินสะพัดราว 1.2 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสล่าสุด  และ มีการคืนหนี้ภายนอก (external debt)  ออกไปราวไตรมาสละ 2.8 พันล้านดอลลาร์  นั่นหมายถึงว่า  ประเทศนี้มีเงินไหลออกจาก 2 ส่วนนี้ราวไตรมาสละ 4 พันล้านดอลลาร์    ขณะที่มีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเพียง 6 พันล้านดอลลาร์  ปากีสถานจึงมีค่า Ruang Reserve  ที่ 1.5 เท่านั้นเอง  นั่นหมายถึง  หากเวลาผ่านไปราว 1.5 ไตรมาส หรือ 4.5 เดือน  ปากีสถานก็จะไม่มีเงินทุนสำรองฯ เหลืออยู่เลย  ซึ่งนับเป็นสถานการณ์ที่อันตรายอย่างยิ่ง  IMF จึงต้องรีบยื่นมือเข้ามาช่วยเร่งด่วน

เมื่อเทียบกับ Ruang Alarm  ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนภัยของวิกฤติดุลบัญชีเดินสะพัด  จะเทียบได้กับ "โรคเบาหวาน" ซึ่งค่อยๆบั่นทอนสุขภาพเศรษฐกิจของประเทศซึ่งต้องใช้เวลาสะสมกันนานหลายปีก่อนจะพัง  ขณะที่ Ruang Reserve  เป็นสัญญาณเตือนแบบ "อุบัติเหตุเลือดไหลไม่หยุด"  ซึ่งอาจใช้เวลาไม่กี่ไตรมาสก่อนเศรษฐกิจจะล้มครืนไปได้อย่างเร็ว

แล้วการได้เงินกู้จาก IMF  ซึ่งจะต้องรอบอร์ด IMF อนุมัติอีกครั้งในเดือน กย.นั้น  จะช่วยปากีสถานได้หรือไม่  ผมคิดว่าก็อาจได้ในระดับหนึ่ง  แต่ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน  เพราะ เงินส่วนนี้ต้องค่อยๆคืนกลับไปภายใน 36 เดือน  แล้วยังต้องคืนหนี้สินเดิมของ IMF  ซึ่งยังมีค้างอยู่อีกเป็นจำนวนมาก

แล้วจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ??  ทางแก้ไขที่ยั่งยืนก็คือ การยอมปล่อยให้ค่าเงินอ่อนลงอย่างรวดเร็วเกินกว่า 20% เพื่อเปลี่ยนการขาดดุลเป็นได้ดุลบัญชีเดินสะพัด   ส่งออกเพิ่มมากขึ้น และนำเข้าลดลง  ส่งเสริมการท่องเที่ยวไปเพื่อได้เงินตราต่างประเทศมาคืนหนี้สิน  ความจริงแล้วนี่ก็คือ ทางเดินของประเทศไทยในยุควิกฤติต้มยำกุ้งนั่นเอง   คือการต้องยอมให้เศรษฐกิจถดถอยเพื่อเปลี่ยนข้างของบัญชีเดินสะพัด   แต่หากเดินตามทางนี้นั่นก็หมายถึง  "ปากีสถาน"  จะเป็นประเทศกำลังพัฒนาของเอเชียประเทศแรกๆ เลยที่จะเกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจ

และหากจะร้องเพลง "16 ปีแห่งความหลัง" นั่นก็อาจพอได้อยู่ เพราะ โครงสร้างเศรษฐกิจของเอเชียใต้ในเวลานี้นั้นคล้ายคลึงอย่างยิ่งกับเอเชียอาคเนย์เมื่อ 16 ปีก่อนยุควิกฤติต้มยำกุ้งใน 4 ประการ คือ 1. ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง  2.อัตราดอกเบี้ยสูงมากเพื่อดึงเงินทุนต่างชาติไว้  3. มีหนี้สินภายนอกอยู่เป็นจำนวนมาก และ 4. มีทุนสำรองฯ ที่ค่อนข้างน้อยจึงเสียงต่อภาวะเงินทุนไหลออก

ลำพัง ปากีสถาน ประเทศเดียวคงจะไม่เท่าไหร่  แต่หากแพร่กระจายไปยังเพื่อนบ้านที่ใหญ่กว่าถึง 9 เท่าอย่างประเทศอินเดียแล้ว  เรื่องนี้คงน่ากังวลอย่างยิ่ง  มีนักวิเคราะห์ต่างชาติบางคนประเมินตามทฤษฎีโดมิโนว่า ประเทศอินเดีย น่าจะเป็น "โดมิโน" ตัวแรกที่จะมีการล้มลง  แต่จากสิ่งที่ผมเขียนไว้ข้างต้น  "ปากีสถาน" น่าจะเป็นโดมิโนตัวแรกเสียมากกว่า  จากนั้นก็จะกระทบไปยัง "อินเดีย" ซึ่งใหญ่กว่ามากแต่มีโครงสร้างเศรษฐกิจคล้ายกัน   จากนั้นก็ลามไปทั่วเอเชียและประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก  สำหรับประเทศไทย  แม้จะเป็นโดมิโนตัวท้ายๆ แถวแต่ก็ไม่แน่ว่าจะรอดไปได้   ซึ่งหากเกิดเรื่องแบบนั้นจริง  ก็คงต้องตั้งชื่อกันว่า "วิกฤติแกงกะหรี่" (Curry Crisis)  ละมั้งครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น