วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จาก ตลาดเกิดใหม่ สู่ ตลาดตายใหม่

"ตลาดเกิดใหม่" (Emerging Markets)   คือ คำศัพท์ที่ท่านผู้อ่านน่าจะรู้จักกันดี   ซึ่งหมายถึง ตลาดของประเทศกำลังพัฒนาที่มีรายได้ต่อหัวต่ำกว่า 1.5 หมื่นดอลลาร์   และ มีขนาดที่ใหญ่พอสมควร  ดังนั้น ประเทศอย่าง BRICS (บราซิล  รัสเซีย  อินเดีย  จีน และ แอฟริกาใต้)  ก็จัดอยู่ในนี้   และ แน่นอนย่อมรวม TIP(ไทย  อินโดนีเซีย  ฟิลิปปินส์)   มาเลเซีย  ตุรกี  เมกซิโก  อียิปต์   อาร์เจนติน่า โคลัมเบีย  ชิลี  และอื่นๆ เข้าไปด้วย

สำหรับ "ตลาดตายใหม่" (Newly Dying Markets)  นั้น คือ ศัพท์ที่ผมได้บัญญัติใหม่ขึ้นมาเอง  หมายถึง  ตลาดเกิดใหม่ที่ได้ปั่นฟองสบู่ไปสุดรอบแล้ว  เมื่อฟองสบู่สินทรัพย์แตกไม่นาน ตลาดหุ้นยังลงจากจุดสูงสุดมาไม่มากและไม่นาน  หากเทียบเป็น "ศพ" ก็จัดว่ายังอุ่นๆ อยู่ คือตายมาได้ไม่นานยังใหม่ๆ เลย  ซึ่งก็คือ สถานการณ์ของตลาดสินทรัพย์ตอนนี้นั่นเอง  โดยต้องถือว่ากระแสเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ได้เริ่มจากกลางเดือน พฤษภาคม และ น่าจะใช้เวลานานราว 9-12 เดือน  สำหรับขาลง  เมื่อเทียบกับฟองสบู่สินทรัพย์ขาขึ้นที่กินเวลานานถึง 4 ปี  เป็นเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ถึง 3.9 ล้านล้านดอลลาร์

นอกจากนี้  ผมยังได้นิยามศัพท์ "ตลาดตายเก่า" เอาไว้ด้วย  ซึ่งหมายถึง  ตลาดที่ตายมานานแล้ว  เศรษฐกิจยืนๆแบบทรงๆ ทรุดๆ  แทบไม่มีการเติบโตของอุปสงค์  โครงสร้างของประชากร  และ โครงสร้างเศรษฐกิจ (การคลังและระบบอัตราแลกเปลี่ยน) ที่ไม่เหมาะสม  จึงไม่สามารถผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแรงได้  ดัชนีตลาดหุ้นของกลุ่มนี้แม้มีการฟื้นตัวมาบ้าง  แต่ก็ยังยืนได้ไม่ถึงครึ่งของยอดสูงสุดของปี 2008  ก่อนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์   ซึ่งก็ได้แก่ประเทศ PIIGS ในยูโรโซน  ทั้ง อิตาลี  สเปน  โปรตุเกส  ไอร์แลนด์ก็เข้าข่ายนี้ โดยที่ กรีซ นั้นแย่มากๆ  ดัชนีหุ้นยังยืนไม่ถึง 1 ใน 5 ของจุดสูงสุด  ขณะที่  ไซปรัส ยิ่งน่าตกใจ  เพราะยังยืนไม่ได้ถึง 1 ใน 10 ของจุดสูงสุดด้วยซ้ำไป   ขณะที่อีกประเทศก็คือ ญี่ปุ่นนั้น  แม้ดัชนีหุ้นฟื้นตัวมาบ้าง  แต่ก็ยืนอยู่ระดับแค่ 1 ใน 3 ของจุดสูงสุดเมื่อ 23 ปีที่แล้วเท่านั้นเอง

เราลองมาดูว่า ดัชนีตลาดหุ้นในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา....จะเห็นว่า ดัชนีหุ้นของตลาดเกิดใหม่นั้น ส่อแววเป็น "ตลาดตายใหม่" อย่างเห็นได้ชัดหากเรียง 8 อันดับแรก   โดย  ตุรกี (-22.4%)   กรีซ (-19.8%)   ฟิลิปปินส์ (-17.9%) บราซิล (-16.9%) ไทย (-15.1%)  อียิปต์ (-14.7%) อินโดนีเซีย (-14.3%)  และ จีน(-14.2%)

"มีเกิดก็มีตาย"  "มีหยางก็มีหยิน"  เมื่อสิ้นสุดของตลาดขาขึ้น (หยาง)  ก็แน่นอนว่าจะเริ่มเข้าสู่ตลาดขาลง (หยิน)  ดังนั้น การประเมินจากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่าดัชนี SET Index  จะไปที่ 1700-1800 จุด ณ ปลายปี  จึงเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปอย่างมาก  โดยที่ค่า P/E เฉลี่ยของตลาดเกิดใหม่ MSCI Emerging Index  ยืนที่ 9.1 เท่าแค่นั้น   โดยประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงๆ  ก็จะมีค่า P/E ที่ต่ำมาก เช่น  รัสเซียที่ 6 เท่า    จีนและตุรกีที่ 10 เท่าเป็นต้น   หาก SET จากลงจาก P/E 15.7 เท่าไปเป็นค่าเฉลี่ยที่ 9.1 เท่าเหมือนๆ กับตลาดเกิดใหม่ทั่วไป  นั่นอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากๆ  เพราะ นั่นหมายถึง SET Index  อาจไปยืนที่ระดับเลข 3 หลักกันเลย

เมื่อมาดูราคาที่ตกลงของตลาดบอนด์ 10 ปีดูบ้าง  โดยเรียงลำดับจาก ประเทศที่มีค่าบอนด์ยีลด์สูงขึ้นมากใน 1 เดือนซึ่งหมายถึง ราคาที่ตกลงของบอนด์ระยะยาว  ก็อาจเรียง 8 ลำดับแรกได้ดังนี้  กรีซ (สูงขึ้น  2.75%)    ตุรกี (2.72%)   ไนจีเรีย (2.48%) โคลัมเบีย (2.05%)   ฮังการี (1.71%)  แอฟริกาใต้  (1.46%)   โปรตุเกส  (1.31%)   และ รัสเซีย (1.18%)   สำหรับประเทศไทยตามมาห่างๆที่ +0.68%

การวิ่งขึ้นของบอนด์ยีลด์อาจส่งผลในทางลบต่อเศรษฐกิจได้ถึง 4 ประเด็นดังนี้

1. ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นสำหรับ SME  :  สภาพคล่องที่ดูเหมือนจะเริ่มลดลง  ดอกเบี้ยระยะยาวที่สูงขึ้น  ส่งผลให้ต้นทุนการเข้าถึงแหล่งเงินเป็นไปได้ยากลำบากยิ่งขึ้น

2. ส่งผลลบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ : ก็ชัดเจนว่า สินเชื่อบ้านนั้นอิงอัตราเบี้ยกับ บอนด์ยีลด์ 10 ปีเป็นหลัก สำหรับสินเชื่อระยะยาวในต่างประเทศ   ดังนั้น  หากค่านี้วิ่งสูงขึ้นอย่างเร็ว  จะกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการมีต้นทุนที่สูงขึ้น  ขณะที่ผู้จำนองบ้างกับแบงก์ก็จะมีต้นทุนดอกเบี้ย และ ภาระการผ่อนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน   น่าจะส่งผลทั้งยอดขาย และ ราคาของอสังหาริมทรัพย์อยู่ในทิศทางลบได้

3.ส่งผลลบต่อตลาดหุ้น : เมื่อดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น  ย่อมส่งผลให้ P/E ของตลาดหุ้นที่เหมาะสมมีค่าลดลงนั่นเอง  และ นั่นเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นอย่างไม่ต้องสงสัย

4.ส่งผลลบต่อการคลัง :  โดยค่าดัชนีเรืองศิริกูลชัย (Ruang Index) นั้นจะมีค่าวิ่งสูงขึ้นมากอาจถึงระดับอันตราย เนื่องจาก  ดัชนีนี้มีการนำมาค่าบอนด์ยีลด์ 10 ปีเข้าไปร่วมคำนวณด้วย  ดังนั้น  ประเทศพัฒนาแล้วอย่าง อเมริกา  ฝรั่งเศส  ญี่ปุ่น  กำลังมีความเสี่ยงทางการคลังที่สูงขึ้น   ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ประเทศอย่าง  อิตาลี สเปน ที่เสี่ยงมากๆ อยู่แล้ว   นอกจากนี้  ยังมีอีกประเทศหนึ่งในยูโรโซน คือ "สโลเวเนีย" ที่ค่าบอนด์ยีลด์  10 ปีนี้สูงถึง 6.93%  ซึ่งเป็นระดับอันตรายมาก  โดยเชื่อกันว่า  หากค่านี้สูงเกิน 7%  การออกพันธบัตรรัฐบาลจะทำในตลาดการเงินปกติได้ยาก เพราะต้นทุนสูงจนเกินไป  นั่นหมายถึง  โอกาสที่ประเทศสโลเวเนียอาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจาก "ทรอยก้า" ภายใน 1-2 เดือนนี้มีอยู่สูงมาก และ นั่นอาจนำมาซึ่งความไม่เชื่อมั่นของตลาดโลกอีกครั้งหนึ่ง

และ สุดท้ายเมื่อดูการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในรอบ 1 เดือนดูบ้าง  เงิน Real ของบราซิล อ่อนลง 7.9%   เงินรูปีของอินเดีย   6.9%    เงินเปโซของเม็กซิโก  5.6%   เงิน Rand ของแอฟริกาใต้  5.3%   เงินรูเบิลของรัสเซีย 5.0%  เงิน Lira ของตุรกี 4.6%   เปโซฟิลิปินส์ 4.1%  และเงินบาทอ่อนลง  3.5%  จะเห็นได้ว่าค่าเงินของ "ตลาดเกิดใหม่"  นั้น  ส่อแววกลายเป็น "ตลาดตายใหม่"  อย่างชัดเจน  แทนที่จะแข็งค่าขึ้นจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย  กลับ อ่อนค่าลงอย่างเร็ว

โดย 4 ปีผ่านมาจนถึงเดือนพฤษภาคมนั้น  นักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้ามาใน "ตลาดเกิดใหม่"  เพื่อหวังกำไร 2 เด้ง คือ ราคาสินทรัพย์ (หุ้นและบอนด์ระยะยาว) ที่เพิ่มสูงขึ้น และ กำไรอัตราแลกเปลี่ยน  เมื่อมาถึงจุดนี้นักลงทุนต่างชาติก็กลับกังวลถึงความเสี่ยงในการขาดทุน 2 เด้งเช่นกัน คือ ราคาสินทรัพย์ทั้งหุ้นและบอนด์ที่ตกลงอย่างเร็ว และ ยังขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย

เมื่อมีการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ  ประเทศที่มีโครงสร้างอ่อนแอจะโดนก่อน  ผมคิดว่า  "วิกฤติไก่งวง" จะเริ่มเกิดที่ประเทศ SIT (South Africa , India และ Turkey)  ซึ่งมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงต่อเนื่อง 3 ปีจน "สัญญาณเตือนภัยเรืองศิริกูลชัย" (Ruang Alarm)  ได้ส่งเสียงเตือนอย่างแรงนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก   ประเทศเหล่านี้โครงสร้างของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ราวครึ่งหนึ่งหรือต่ำกว่านั้นของ  "หนี้สินต่างประเทศ" โดยรวมอีกด้วยซึ่งเป็นโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับไทยก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง

นี่จึงมีความเปราะบางอย่างยิ่ง   หากกระแสเงินทุนไหลออกจนสร้างความกังวลไปทั้งตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด   นอกจากนี้  ยังอาจกระทบไปจนก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในยูโรโซน (โดยเฉพาะ  กรีซ  ไซปรัส  และ สโลเวเนีย)  ยิ่งจีนมีสัญญาณของการขาดสภาพคล่อง และ ปัญหาหนี้เสียที่มีเค้าลางอันตรายด้วยแล้ว  เหล่านี้อาจรวมตัวกันเป็น "วิกฤติหมูหัน"  ในช่วงครึ่งปีหลังได้เลย

ผมเกรงว่า ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมนั้น อาจจะไม่สามารถรับมือได้กับ 2 วิกฤติใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้ เพราะ ข้อจำกัดทั้งด้านการคลัง  (หนี้สินภาครัฐ ต่อ GDP สูงอยู่แล้ว  และ  บอนด์ยีลด์ 10 ปีก็สูงขึ้นมากด้วย)   รวมไปถึง ข้อจำกัดทางการเงิน (อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำมากอยู่แล้ว  ขณะที่การพิมพ์แบงก์ผ่านมาตรกร QE ก็ทำไปมากแล้วจนถึงกับต้องพิจารณาปรับลดด้วย)   ของประเทศพัฒนาแล้ว

ส่วนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธซึ่งน่าจะใช้ป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจได้ดีด้วยการดำเนินนโยบายการคลังพอเพียง  การเงินพอเพียง  และ FX พอเพียงนั้น   ก็ดูเหมือนจะล่าช้าเกินไปไม่ทันการณ์เสียแล้ว  เพราะ ฟองสบู่สินทรัพย์ของ "ตลาดเกิดใหม่"  ได้แตกลงจนกลายเป็น "ตลาดตายใหม่" ไปตั้งแต่ พ.ค.แล้ว  และ เศรษฐกิจจริงก็น่าจะตามหลังมาหลังจากนั้นสัก 1-2 เดือน  นั่นหมายถึง  วิกฤติเศรษฐกิจโลกกำลังคืบคลานมาใกล้มากๆ แล้วนั่นเอง

อย่างไรก็ดี  โลกคงยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว  เพราะยังมีประกายความหวังเล็กๆ ที่ผมเรียกว่า  "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" (Taiji-Econ.)  ซึ่งใช้หลักการยืมแรงสะท้อนแรง และ นิ่งคือเคลื่อน-เคลื่อนคือนิ่ง   โดยยืมพลังจากแหล่งที่ "นิ่ง"  มาช่วยภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ  แทนที่รัฐบาลจะทุ่มเงินงบประมาณลงไปตรงๆ   สิ่งนี้อาจถูกนำมาใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤติใหม่ทั้ง 2 นี้ได้นะครับ

ข้อมูล : Bloomberg และ  www.tradingeconomics.com (วันที่ 26 มิ.ย.56)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น