สำหรับ "ตลาดตายใหม่" (Newly Dying Markets) นั้น คือ ศัพท์ที่ผมได้บัญญัติใหม่ขึ้นมาเอง หมายถึง ตลาดเกิดใหม่ที่ได้ปั่นฟองสบู่ไปสุดรอบแล้ว เมื่อฟองสบู่สินทรัพย์แตกไม่นาน ตลาดหุ้นยังลงจากจุดสูงสุดมาไม่มากและไม่นาน หากเทียบเป็น "ศพ" ก็จัดว่ายังอุ่นๆ อยู่ คือตายมาได้ไม่นานยังใหม่ๆ เลย ซึ่งก็คือ สถานการณ์ของตลาดสินทรัพย์ตอนนี้นั่นเอง โดยต้องถือว่ากระแสเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ได้เริ่มจากกลางเดือน พฤษภาคม และ น่าจะใช้เวลานานราว 9-12 เดือน สำหรับขาลง เมื่อเทียบกับฟองสบู่สินทรัพย์ขาขึ้นที่กินเวลานานถึง 4 ปี เป็นเงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ถึง 3.9 ล้านล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ผมยังได้นิยามศัพท์ "ตลาดตายเก่า" เอาไว้ด้วย ซึ่งหมายถึง ตลาดที่ตายมานานแล้ว เศรษฐกิจยืนๆแบบทรงๆ ทรุดๆ แทบไม่มีการเติบโตของอุปสงค์ โครงสร้างของประชากร และ โครงสร้างเศรษฐกิจ (การคลังและระบบอัตราแลกเปลี่ยน) ที่ไม่เหมาะสม จึงไม่สามารถผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างแข็งแรงได้ ดัชนีตลาดหุ้นของกลุ่มนี้แม้มีการฟื้นตัวมาบ้าง แต่ก็ยังยืนได้ไม่ถึงครึ่งของยอดสูงสุดของปี 2008 ก่อนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งก็ได้แก่ประเทศ PIIGS ในยูโรโซน ทั้ง อิตาลี สเปน โปรตุเกส ไอร์แลนด์ก็เข้าข่ายนี้ โดยที่ กรีซ นั้นแย่มากๆ ดัชนีหุ้นยังยืนไม่ถึง 1 ใน 5 ของจุดสูงสุด ขณะที่ ไซปรัส ยิ่งน่าตกใจ เพราะยังยืนไม่ได้ถึง 1 ใน 10 ของจุดสูงสุดด้วยซ้ำไป ขณะที่อีกประเทศก็คือ ญี่ปุ่นนั้น แม้ดัชนีหุ้นฟื้นตัวมาบ้าง แต่ก็ยืนอยู่ระดับแค่ 1 ใน 3 ของจุดสูงสุดเมื่อ 23 ปีที่แล้วเท่านั้นเอง
เราลองมาดูว่า ดัชนีตลาดหุ้นในรอบ 1 เดือนที่ผ่านมา....จะเห็นว่า ดัชนีหุ้นของตลาดเกิดใหม่นั้น ส่อแววเป็น "ตลาดตายใหม่" อย่างเห็นได้ชัดหากเรียง 8 อันดับแรก โดย ตุรกี (-22.4%) กรีซ (-19.8%) ฟิลิปปินส์ (-17.9%) บราซิล (-16.9%) ไทย (-15.1%) อียิปต์ (-14.7%) อินโดนีเซีย (-14.3%) และ จีน(-14.2%)
"มีเกิดก็มีตาย" "มีหยางก็มีหยิน" เมื่อสิ้นสุดของตลาดขาขึ้น (หยาง) ก็แน่นอนว่าจะเริ่มเข้าสู่ตลาดขาลง (หยิน) ดังนั้น การประเมินจากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่าดัชนี SET Index จะไปที่ 1700-1800 จุด ณ ปลายปี จึงเป็นการมองโลกในแง่ดีเกินไปอย่างมาก โดยที่ค่า P/E เฉลี่ยของตลาดเกิดใหม่ MSCI Emerging Index ยืนที่ 9.1 เท่าแค่นั้น โดยประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงๆ ก็จะมีค่า P/E ที่ต่ำมาก เช่น รัสเซียที่ 6 เท่า จีนและตุรกีที่ 10 เท่าเป็นต้น หาก SET จากลงจาก P/E 15.7 เท่าไปเป็นค่าเฉลี่ยที่ 9.1 เท่าเหมือนๆ กับตลาดเกิดใหม่ทั่วไป นั่นอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากๆ เพราะ นั่นหมายถึง SET Index อาจไปยืนที่ระดับเลข 3 หลักกันเลย
การวิ่งขึ้นของบอนด์ยีลด์อาจส่งผลในทางลบต่อเศรษฐกิจได้ถึง 4 ประเด็นดังนี้
1. ทำให้ต้นทุนการกู้ยืมสูงขึ้นสำหรับ SME : สภาพคล่องที่ดูเหมือนจะเริ่มลดลง ดอกเบี้ยระยะยาวที่สูงขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนการเข้าถึงแหล่งเงินเป็นไปได้ยากลำบากยิ่งขึ้น
2. ส่งผลลบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ : ก็ชัดเจนว่า สินเชื่อบ้านนั้นอิงอัตราเบี้ยกับ บอนด์ยีลด์ 10 ปีเป็นหลัก สำหรับสินเชื่อระยะยาวในต่างประเทศ ดังนั้น หากค่านี้วิ่งสูงขึ้นอย่างเร็ว จะกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยผู้ประกอบการมีต้นทุนที่สูงขึ้น ขณะที่ผู้จำนองบ้างกับแบงก์ก็จะมีต้นทุนดอกเบี้ย และ ภาระการผ่อนที่สูงขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน น่าจะส่งผลทั้งยอดขาย และ ราคาของอสังหาริมทรัพย์อยู่ในทิศทางลบได้
3.ส่งผลลบต่อตลาดหุ้น : เมื่อดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น ย่อมส่งผลให้ P/E ของตลาดหุ้นที่เหมาะสมมีค่าลดลงนั่นเอง และ นั่นเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
4.ส่งผลลบต่อการคลัง : โดยค่าดัชนีเรืองศิริกูลชัย (Ruang Index) นั้นจะมีค่าวิ่งสูงขึ้นมากอาจถึงระดับอันตราย เนื่องจาก ดัชนีนี้มีการนำมาค่าบอนด์ยีลด์ 10 ปีเข้าไปร่วมคำนวณด้วย ดังนั้น ประเทศพัฒนาแล้วอย่าง อเมริกา ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น กำลังมีความเสี่ยงทางการคลังที่สูงขึ้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ประเทศอย่าง อิตาลี สเปน ที่เสี่ยงมากๆ อยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีอีกประเทศหนึ่งในยูโรโซน คือ "สโลเวเนีย" ที่ค่าบอนด์ยีลด์ 10 ปีนี้สูงถึง 6.93% ซึ่งเป็นระดับอันตรายมาก โดยเชื่อกันว่า หากค่านี้สูงเกิน 7% การออกพันธบัตรรัฐบาลจะทำในตลาดการเงินปกติได้ยาก เพราะต้นทุนสูงจนเกินไป นั่นหมายถึง โอกาสที่ประเทศสโลเวเนียอาจจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจาก "ทรอยก้า" ภายใน 1-2 เดือนนี้มีอยู่สูงมาก และ นั่นอาจนำมาซึ่งความไม่เชื่อมั่นของตลาดโลกอีกครั้งหนึ่ง
และ สุดท้ายเมื่อดูการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในรอบ 1 เดือนดูบ้าง เงิน Real ของบราซิล อ่อนลง 7.9% เงินรูปีของอินเดีย 6.9% เงินเปโซของเม็กซิโก 5.6% เงิน Rand ของแอฟริกาใต้ 5.3% เงินรูเบิลของรัสเซีย 5.0% เงิน Lira ของตุรกี 4.6% เปโซฟิลิปินส์ 4.1% และเงินบาทอ่อนลง 3.5% จะเห็นได้ว่าค่าเงินของ "ตลาดเกิดใหม่" นั้น ส่อแววกลายเป็น "ตลาดตายใหม่" อย่างชัดเจน แทนที่จะแข็งค่าขึ้นจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย กลับ อ่อนค่าลงอย่างเร็ว
โดย 4 ปีผ่านมาจนถึงเดือนพฤษภาคมนั้น นักลงทุนต่างชาตินำเงินเข้ามาใน "ตลาดเกิดใหม่" เพื่อหวังกำไร 2 เด้ง คือ ราคาสินทรัพย์ (หุ้นและบอนด์ระยะยาว) ที่เพิ่มสูงขึ้น และ กำไรอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อมาถึงจุดนี้นักลงทุนต่างชาติก็กลับกังวลถึงความเสี่ยงในการขาดทุน 2 เด้งเช่นกัน คือ ราคาสินทรัพย์ทั้งหุ้นและบอนด์ที่ตกลงอย่างเร็ว และ ยังขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนอีกด้วย
เมื่อมีการไหลออกของเงินทุนต่างชาติ ประเทศที่มีโครงสร้างอ่อนแอจะโดนก่อน ผมคิดว่า "วิกฤติไก่งวง" จะเริ่มเกิดที่ประเทศ SIT (South Africa , India และ Turkey) ซึ่งมีการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงต่อเนื่อง 3 ปีจน "สัญญาณเตือนภัยเรืองศิริกูลชัย" (Ruang Alarm) ได้ส่งเสียงเตือนอย่างแรงนั้นมีความเสี่ยงสูงมาก ประเทศเหล่านี้โครงสร้างของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ราวครึ่งหนึ่งหรือต่ำกว่านั้นของ "หนี้สินต่างประเทศ" โดยรวมอีกด้วยซึ่งเป็นโครงสร้างที่คล้ายคลึงกับไทยก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง
นี่จึงมีความเปราะบางอย่างยิ่ง หากกระแสเงินทุนไหลออกจนสร้างความกังวลไปทั้งตลาดเกิดใหม่ทั้งหมด นอกจากนี้ ยังอาจกระทบไปจนก่อให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในยูโรโซน (โดยเฉพาะ กรีซ ไซปรัส และ สโลเวเนีย) ยิ่งจีนมีสัญญาณของการขาดสภาพคล่อง และ ปัญหาหนี้เสียที่มีเค้าลางอันตรายด้วยแล้ว เหล่านี้อาจรวมตัวกันเป็น "วิกฤติหมูหัน" ในช่วงครึ่งปีหลังได้เลย
ผมเกรงว่า ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมนั้น อาจจะไม่สามารถรับมือได้กับ 2 วิกฤติใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้ เพราะ ข้อจำกัดทั้งด้านการคลัง (หนี้สินภาครัฐ ต่อ GDP สูงอยู่แล้ว และ บอนด์ยีลด์ 10 ปีก็สูงขึ้นมากด้วย) รวมไปถึง ข้อจำกัดทางการเงิน (อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำมากอยู่แล้ว ขณะที่การพิมพ์แบงก์ผ่านมาตรกร QE ก็ทำไปมากแล้วจนถึงกับต้องพิจารณาปรับลดด้วย) ของประเทศพัฒนาแล้ว
ส่วนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธซึ่งน่าจะใช้ป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจได้ดีด้วยการดำเนินนโยบายการคลังพอเพียง การเงินพอเพียง และ FX พอเพียงนั้น ก็ดูเหมือนจะล่าช้าเกินไปไม่ทันการณ์เสียแล้ว เพราะ ฟองสบู่สินทรัพย์ของ "ตลาดเกิดใหม่" ได้แตกลงจนกลายเป็น "ตลาดตายใหม่" ไปตั้งแต่ พ.ค.แล้ว และ เศรษฐกิจจริงก็น่าจะตามหลังมาหลังจากนั้นสัก 1-2 เดือน นั่นหมายถึง วิกฤติเศรษฐกิจโลกกำลังคืบคลานมาใกล้มากๆ แล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ดี โลกคงยังไม่หมดหวังเสียทีเดียว เพราะยังมีประกายความหวังเล็กๆ ที่ผมเรียกว่า "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" (Taiji-Econ.) ซึ่งใช้หลักการยืมแรงสะท้อนแรง และ นิ่งคือเคลื่อน-เคลื่อนคือนิ่ง โดยยืมพลังจากแหล่งที่ "นิ่ง" มาช่วยภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แทนที่รัฐบาลจะทุ่มเงินงบประมาณลงไปตรงๆ สิ่งนี้อาจถูกนำมาใช้เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจจากวิกฤติใหม่ทั้ง 2 นี้ได้นะครับ
ข้อมูล : Bloomberg และ www.tradingeconomics.com (วันที่ 26 มิ.ย.56)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น