ดัชนีหุ้นโลกเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยระยะยาว ในตลาดขนาดใหญ่ คือ อเมริกา จีน ญี่ปุ่น และ ยุโรปนั้นด้านหนึ่งก็ดูเหมือนว่าจะไม่แพงนัก อยู่ในระดับเหมาะสม แต่ในบทความนี้ผมจะนำเสนออีกด้านหนึ่งเพื่อเปรียบเทียบดู
ดัชนี S&P 500 ได้ขึ้นมาทำจุดสูงสุดอย่างแข็งแกร่งซึ่งดัชนีนี้ใช้แทนหุ้นของอเมริกาได้อย่างดี หากมองดูที่ Bond Yield 10 ปีของอเมริกาที่ 2.7% แล้ว ผลตอบแทนของ Equity Yield ก็อาจบวกเพิ่มอีก 3% เป็น 5.7% (P/E ที่เหมาะสม คือ 17.5 เท่า) ดังนั้น P/E ระดับ 17.0 เท่า ณ ปัจจุบันของดัชนี S&P ก็ยังไม่แพงนัก อย่างไรก็ดีหากมองอีกมุมหนึ่ง โดยดัชนี Nasdaq ซึ่งมีค่า P/E สูงถึง 23.7 เท่า และ ดัชนี Russell 2000 ซึ่งเป็นหุ้นขนาดเล็ก 2000 ตัวซึ่งมีค่า P/E สูงถึง 32.8 เท่า นี่อาจกล่าวได้ว่ามีฟองสบู่ที่แอบแฝงอยู่ในตลาดหุ้นของอเมริกา
เมื่อดูตลาดหุ้นยูโรป ดัชนีหุ้นเยอรมัน (DAX) มีค่า P/E 15.1 เท่า ดัชนีหุ้นฝรั่งเศส (CAC) อยู่ที่ 18.4 เท่า และ ดัชนีหุ้นอังกฤษ (FTSE) 16.6 เท่า จะเห็นว่าไม่ได้แพงเลยเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยระยะยาว ราคาหุ้นอยู่ในระดับเหมาะสม อย่างไรก็ดีเมื่อมองอีกมุมหนึ่ง ไปดูที่ตลาดหุ้นยุโรปชายขอบกลุ่ม PIIIGS ค่า P/E ของดัชนีหุ้นไอร์แลนด์ ที่ 35.5 เท่า ของหุ้นสเปนที่ 56.4 เท่า หุ้นอิตาลีน่าตกใจเพราะสูงถึง 465 เท่า และยิ่งน่าตกใจกว่านั้นเพราะ P/E ของดัชนีหุ้นโปรตุเกส และ กรีซ นั้น "ไม่มี" ซึ่งหมายถึง เมื่อรวมผลกำไรของทั้งตลาดแล้ว ผลกำไรเป็น "ตัวแดง" หรือ "ขาดทุน" นั่นเอง สรุปแล้ว ราคาหุ้นในกลุ่ม PIIGS ได้ตอบสนองการคาดการณ์ว่าจะมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างเร็ว อาจกล่าวได้ว่ามีการปั่นฟองสบู่แฝงอยู่ในตลาดหุ้นยุโรปอยู่เช่นกัน
เมื่อมาดูตลาดหุ้นตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ BRICS ดูบ้าง ด้านหนึ่งจะเห็นว่าดัชนีหุ้นรัสเซีย (MICEX) P/E ต่ำมาก 5.9 เท่า ของจีน (CSI300) ก็ต่ำที่ 11.0 เท่า อย่างไรก็ดีเมื่อมองอีกด้านหนึ่งดัชนีหุ้นแอฟริกาใต้ (TOP40) สูงถึง 21.2 และ หุ้นของบราซิล (BOVESPA) สูงถึง 56 เท่ากันเลย นั่นหมายถึงว่า มีฟองสบู่แฝงอยู่ในดัชนีตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคแอฟริกา และอเมริกาใต้
สำหรับตลาดเกิดใหม่ในเอเชียนั้น มองด้านหนึ่ง SET index มีค่า P/E 15.9 เท่า ขณะที่ดัชนีหุ้นมาเลเซีย (KCLI 17.0 เท่า) ถือว่าว่าอยู่ระดับเหมาะสมกับดอกเบี้ยระยะยาวแม้จะแพงไปเล็กน้อย แต่เมื่อมองอีกด้านหนึ่ง ดัชนีหุ้นอินเดีย (SENSEX 17.5 เท่า) อินโดนีเซีย (JCI 18.6 เท่า) ซึ่งแม้จะมีค่า P/E สูงกว่าหุ้นไทยและมาเลเซียเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อดูดอกเบี้ยระยะยาวของ 2 ประเทศนี้ซึ่งยืนที่ราว 9% แล้ว อัตราผลตอบแทนของหุ้นที่คาดหวัง (Equity Yield) ก็น่าจะยืนราว 12% ดังนั้น P/E ของตลาดหุ้นทั้ง 2 แห่งนี้ควรยืนแค่ราว 8-9 เท่าแค่นั้นเอง ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าปัจจุบันถึง 50% นี่จึงนับเป็นฟองสบู่อีกเช่นกันในตลาดหุ้นเกิดใหม่ของเอเชีย ซึ่งราคาหุ้นอาจปรับตัวลงได้อีกมาก และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องมายังตลาดหุ้นไทยได้
แล้วมาดูในตลาดหุ้นไทยเองบ้างละ มุมหนึ่ง SET index แม้ว่าจะ P/E จะยืน 15.9 เท่า ดูแพงไปเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยระยะยาวที่ 4% และ ผลตอบแทนตลาดหุ้นที่คาดหวังราว 7% ต่อปี แต่เมื่อไปดูดัชนี MAI ซึ่งค่า P/E สูงถึง 30.3 เท่า นั่นก็คือ แม้แต่ภายในตลาดหุ้นไทยเองก็มี "ฟองสบู่" แฝงตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มขนาดเล็กอยู่ด้วยนั่นเอง
สรุปก็คือว่า ตลาดหุ้นโลกแม้ดูเผินๆ อาจไม่ได้แพงอะไรนักยังดูแข็งแรงดีจากมาตรการ QE แต่จะมี "ฟองสบู่" สินทรัพย์แฝงตัวอยู่เป็นจำนวนมากเกือบแทบทุกภูมิภาคของโลก และเนื่องจากดัชนีหุ้นเป็นดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ดังนั้น นี่อาจเป็นเรื่องที่ต้องระวัง เพราะหากฟองสบู่แตกตัวลงพร้อมกันทั้งหมดแล้วละก็โลกคงจะหลีกเลี่ยงวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ไปได้ยาก และ เมื่อถึงเวลานั้นหากคนไทยยังไม่เลิกทะเลาะกันอีกละก็ นั่นอาจถึงเวลาแห่งภาวะ "ล่มสลายหายนะ" ของจริงกันละครับ
ข้อมูล : Bloomberg 15 พ.ย.56
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น