วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

ประชาธิปไตยไท้เก๊ก

"ประชาธิปไตยไท้เก๊ก"คืออะไร??  เรื่องนี้สรุปสั้นๆ ได้ว่า คือ ประชาธิปไตยแบบที่ ยืมพลัง "ประชามติ"  เพื่อให้อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือประชาชนที่แท้จริง  ไม่ใช่ อยู่ในมือของ นายทุนพรรค หรือ อำมาตย์ หรือว่า ผบ.เหล่าทัพ  ตามระบอบทักษิณ  ระบอบสุเทพ หรือ ระบอบรัฐประหาร

ขณะที่คนเสื้อแดง พยายามสู้เพื่อให้เกิดการเลือกตั้งแบบเดิมๆ  ได้ สส.หน้าเดิมๆ เป็นไปตาม "ระบอบ ทักษิณ" ที่นายทุนพรรคสามารถสั่งการได้   ขณะที่คนเสื้อเหลือง พยายามโค่นระบอบทักษิณ และใช้ "ระบอบสุเทพ" ที่สภาประชาชนถูกคัดเลือกมาจาก คุณสุเทพและพวก

แนวทางทั้ง 2 นี้ล้วนไม่ใช่คำตอบของชาติ  เพราะว่า จากแบบสำรวจพบว่า คนเสื้อแดงในประเทศมีราว 20% คนเสื้อเหลือง 20% ขณะที่คนอีก 60% ที่เหลือนั้นเป็นคนเสื้อขาว  ดังนั้น การพยายามต่อสู้เพื่อให้ระบอบทักษิณชนะ หรือ ระบอบสุเทพชนะ ก็จะได้รับการสนับสนุนเพียงแค่ 20%  แต่ได้รับการต่อต้านถึง 80%  หรือเป็นอัตราส่วนสนับสนุน : ต่อต้านที่ 2:8  ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อประเทศชาติและไม่ใช่คำตอบของชาติ  แต่ยังมีอีกทางเลือกหนึ่งคือ ทางออกแบบเสื้อเขียวหรือ "ระบอบรัฐประหาร" นี่ยิ่งแล้วใหญ่  คนสนับสนุนน่าจะไม่ถึง 10% ของประชากรด้วยซ้ำ

คำตอบสุดท้าย ซึ่งผมฝันว่าวิญญาณของ อจ.ปรีดี พนมยงค์ ได้ปรบมือชื่นชมยินดีกับแนวคิดนี้เป็นอย่างมากที่ได้สานต่อเจตนารมย์ของท่านในการทำให้ประชาธิปไตยของไทยนั้นกลายเป็น ประชาธิปไตยที่แท้จริงเสียที   หลังจากล้มลุกคลุกคลานมานานถึง 82 ปี   สลับเปลี่ยนมือของอำนาจไปเรื่อยระหว่าง  อำมาตย์ ทหาร และ นายทุนพรรค  ผมคาดหวังว่าแนวคิดนี้จะได้รับการสนับสนุน : ต่อต้านราว 8:2  โดยคนเสื้อขาว+เหลืองอ่อน และ แดงอ่อน  น่าจะสนับสนุนแนวคิดนี้   ซึ่งน่าจะเป็น "ทางออกแบบเสื้อขาว" และเป็นคำตอบสุดท้ายให้กับประเทศชาติได้

แนวคิดนี้ยังคงอิงตามกรอบรัฐธรรมนูญเดิม แต่เพิ่มไปอีก 3 เรื่อง คือ 1.สส.ใหม่จะต้องทำสัตยาบันว่าจะโหวตตามผลประชามติเท่านั้้น ไม่ใช่ตามใจนายทุนพรรค   2.จะมีการทำประชามติทุกๆ 6 เดือนเป็นประจำในเรื่องสำคัญๆ  3. หากมีเรื่องเร่งด่วนและสำคัญมากๆ สามารถจัดทำประชามติได้เลยเร็วที่สุด ดังนั้นหากเป็นเรื่่องไม่สำคัญ สส.ดำเนินการไปได้เลย  นี่จึงเป็นการผสมระหว่าง ประชาธิปไตยทางตรง และ ทางอ้อม เข้าด้วยกัน  เมื่อ สส.ถูกลดบทบาทอำนาจลง  กปปส.ควรเปิดทางให้เลือกตั้งได้ราบรื่นเปิดสภาฯ และจัดตั้งรัฐบาลได้โดยเร็ว

สิ่งนี้จะดีกว่า "ระบอบทักษิณ" เดิมอย่างไรบ้าง  ลองมาดูกัน 3 เรื่อง

1. พรบ.นิรโทษกรรมเหมาเข่ง : ระบอบทักษิณ จะเห็นว่า สส.ฝ่ายรัฐบาลยกมือกันเต็มสภา  ทั้งๆที่หากใช้ระบอบไท้เก๊ก แล้วด้วยผลประชามติที่ราว 90% ของคนไทยไม่เห็นด้วย  เรื่องแบบนี้ไม่มีทางผ่านสภาผู้แทนฯ มาได้เลย

2. การไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี : ระบอบทักษิณ จะให้การไว้วางใจรัฐมนตรีทุกคนที่ดูเหมือนว่าแม้จะโกงก็ตาม เพราะ จำนวนมือของ สส.ฝ่ายรัฐบาลที่มากกว่านั่นเอง   แต่หากใช้ ระบอบไท้เก๊ก  ด้วยการยืมพลังประชามติ  รัฐมนตรีเหล่านี้มีโอกาสสูงที่จะกระเด็นไปจากเก้าอี้ได้ง่ายๆ

3. นโยบายเสียหายอย่างจำนำข้าว :  ระบอบทักษิณ ยังยื้อนโยบายที่ขาดทุนไปถึง 4 แสนล้านบาทมาได้ยาวนานถึง 4 ฤดูกาลผลิต  หากเป็นระบอบไท้เก๊ก  ด้วยประชามติที่ประชาชนราาว 80% คัดค้านเสียแล้ว  ก็คงขัดขวางนโยบายแบบนี้ได้ตั้งแต่ฤดูแรกแล้ว  เสียหายเพียง 1 แสนล้านบาท  ประหยัดงบความเสียหายจากการทุจริตไปได้ถึง 3 แสนล้านบาท

จาก 3 เรื่องข้างต้น  คงจะเห็นแล้วว่า "ระบอบไท้เก๊ก" นั้นดีกว่า "ระบอบทักษิณ" อย่างไร  นี่เป็นการลดบทบาทอำนาจของ สส.ลงนั่นเอง (เสื้อเหลืองมีเฮ)  ขณะที่ก็น่าจะลดบทบาทและอำนาจขององค์กรอิสระลงด้วย (เสื้อแดงมีเฮ)  ดังนั้น เป็นไปได้ว่าจะได้รับการสนับสนุนทั้งจากคนเสื้อขาว  เสื้อเหลืองอ่อน และ แดงอ่อน อย่างท่วมท้นถึง 80% ของประชากรกันเลยทีเดียว  และ ส่วนการปฏฺิรูปใดๆ ก็ให้ผ่านเสียง "ประชามติ" แล้วโหวตกันในสภาฯ ตามผลลัพธ์นั้นๆ  เรื่องก็จะเดินไปเร็วมาก

ขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ท้า กำนันสุเทพ ให้ลองมาทำ "ประชามติ" กันดูไหมว่า คนไทยจะเอา สภาฯ ผู้แทนตามระบอบทักษิณ หรือว่า สภาประชาชนตามระบอบสุเทพ  กันแน่  กำนันสุเทพผู้กล้าหาญกลับไม่กล้าพอที่จะรับคำท้านี้  แต่ผมขอท้ากลับไปทั้ง 2 ฝ่ายเลยว่า เพิ่มตัวเลือก สภาไท้เก๊ก ตามระบอบไท้เก๊ก เข้าไปด้วยได้หรือไม่??  จัดทำไปพร้อมๆ กับ การเลือกตั้ง สว.ทั่วประเทศได้เลย  งบฯที่ใช้คงเพิ่มน้อยมาก ผมเชื่อว่าระบอบใหม่หรือ "ประชาธิปไตยไท้เก๊ก" นี้จะชนะด้วยผล "ประชามติ" แน่และ การชนะนี้จะหมายถึงเป็นการชนะของประเทศไทยในการหาทางออกแบบสันติวิธีไปด้วย

สุดท้ายหากเรื่องนี้สามารถพัฒนาต่อยอดจนเป็นทางออกการเมืองของไทยได้แล้ว  คงต้องยกเครดิตความดีงามนี้ให้แก่ ท่านจางซานฟง  ปรมาจารย์มวยไท้เก๊ก  มหาบุรุษผู้ค้นพบว่า ทางออกไม่ได้มีแค่ 2 ทางแบบ "นิ่งคือนิ่ง" และ "เคลื่อนคือเคลื่อน" เท่านั้น  แต่ยังมี "เคลื่อนคือนิ่ง" และ "นิ่งคือเคลื่อน" อีกด้วยรวมเป็น 4 ทางด้วยกัน  และ "ประชาธิปไตยไท้เก๊ก" ก็คือ การประยุกต์มาจากแนวทางนี้นั่นเอง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น