แม้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะใช้นโยบายประชานิยมสุดขั้ว อย่างการรับจำนำข้าวราคาแพงลิ่วภาระภาครัฐหลายแสนล้าน และ นโยบายรถยนต์คันแรกที่ต้องเป็นภาระรัฐบาลถึง 1 แสนล้านบาท อย่างไรก็ดี ภาระหนี้สินภาครัฐ ต่อ GDP ของไทยยังยืนที่ 47% เท่านั้น และ ไม่ได้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจด้วย
เมื่อไปดูที่ปัญหาของยูโรโซน แม้นานาชาติพยายามจะโยนบาปว่า นโยบายประชานิยม คือต้นเหตุวิกฤติเศรษฐกิจของกรีซ และ ลัทธิเปรอง คือ ลัทธิมารร้ายที่กัดกร่อนเศรษฐกิจของ อาร์เจนติน่ามาช้านาน
แต่เมื่อมาดูตัวเลขจริงๆ บ้าง กลับพบว่า ประเทศสเปน มีหนี้ภาครัฐต่อ GDP เพียง 36% ก่อนวิกฤติยูโรโซน และ เพิ่มขึ้นมาเป็น 94% เมื่อ 6 ปีต่อมา ประเทศไอร์แลนด์ หนี้ภาครัฐต่อ GDP เพียง 25% ก่อนวิกฤติยูโรโซน และ เพิ่มขึ้นมาเป็น 124% เมื่อ 6 ปีให้หลัง จะเห็นได้ว่า ก่อนการวิกฤติเศรษฐกิจนั้น หนี้สินภาครัฐต่อ GDP ยืนอยู่ระดับต่ำมาก แต่สูงขึ้นอย่างเร็วเพราะ รัฐบาลต้องใช้เงินทุนมากมายเพื่ออุ้มสถาบันการเงินและ ช่วยประชาชนในด้านประกันสังคม
และประเทศไทย มีหนี้ภาครัฐ ต่อ GDP 15% ก่อนวิกฤติเพิ่มเป็น 58% หลังเริ่มวิกฤติต้มยำกุ้งไป 4 ปี ส่วน อาร์เจนติน่าปี 1998 มีหนี้ภาครัฐต่อ GDP เพียง 38% พุ่งสูงขึ้นถึง 166% หลังเริ่มวิกฤติไป 4 ปี เช่นกัน
นั่นหมายถึงอะไร...หมายถึง นโยบายประชานิยม ไม่ได้เป็นต้นเหตุทำให้หนี้สินภาครัฐต่อ GDP วิ่งสูงขึ้นอย่างน่าตกใจ แต่เป็น วิกฤติเศรษฐกิจต่างหากที่เป็น "ต้นเหตุ" ที่ทำให้ภาครัฐต้องใช้เงินจำนวนมาก เพื่ออุ้มสถาบันการเงินที่อ่อนแอลงอย่างมาก จนก่อให้เกิด "วิกฤติการคลัง"
และ การเกิด "วิกฤติเศรษฐกิจ" ก็ไม่ได้เป็นเพราะ นโยบายประชานิยมและวิกฤติการคลัง ที่เป็นต้นเหตุ แต่เป็นเพราะการเกิด "วิกฤติขาดดุลบัญชีเดินสะพัด" แบบหนักหน่วงและต่อเนื่องต่างหากซึ่งน่าจะมีสาเหตุหลักมาจาการใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ไม่เหมาะสม โดยผมได้ตั้งชื่อว่าตัวชี้วัด Rueng Alarm ซึ่งคือ ผลรวมของการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP 3 ปีต่อเนื่องเข้าด้วยกัน โดยค่า Rueng Alarm นี้จะบอกถึงความเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ ของประเทศต่างๆ ได้เป็นอย่างดี และค่านี้จะย่ำแย่มากๆ ก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจบ่อยครั้ง
เมื่อมาดู 2 ประเทศล่าสุดที่ต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF ดูบ้าง โดยประเทศยูเครน หนี้ภาครัฐต่อ GDP ในระดับเพียง 41% (ต่ำกว่าไทยที่ 47% เสียอีก) แต่ค่า Rueng Alarm ที่ -20.7% และประเทศกาน่า ก็พบว่ามีค่าหนี้ภาครัฐต่อ GDP ในระดับเพียง 45% แล้วทำไมกาน่าจึงมีปัญหาเศรษฐกิจขณะที่ไทยยังสบายๆ เพราะค่า Rueng Alarm นั้นย่ำแย่มากๆ ระดับ -36% GDP นั่นเอง คือ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดหนักหน่วงแและต่อเนื่อง โดยมีการใช้จ่ายเงินเกินตัวอย่างมาก
ดังนั้นผมขอเรียกร้องให้ IMF เร่งรีบออกมายอมรับว่า "นโยบายประชานิยม" และ "หนี้สินภาครัฐ" ไม่ใช่ต้นเหตุของวิกฤติเศรษฐกิจแต่อย่างใด แต่เป็น การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่างหาก โดยควรเผยแพร่แนวคิดของ Rueng Alarm ไปทั่วโลก และออกกฏไปเลยว่า "ห้ามไม่ให้ประเทศใดมีค่า Rueng Alarm ที่ย่ำแย่กว่า -15%" มิเช่นนั้น IMF จะเข้าไปจัดการดูแลระบบตั้งแต่ต้นมือ เชื่อว่าด้วยวิธีนี้ประเทศต่างๆ ที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจจนต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF จะลดลงอย่างมากจนแทบไม่เหลือเลยก็เป็นไปได้
"ตุรกี" (Rueng Alram ที่ -23.6%) คือประเทศใหญ่ที่อาจจะเป็นปัญหาได้มากที่สุด ณ เวลานี้ โดยขนาดเศรษฐกิจของตุรกียังใหญ่กว่าการรวม 4 ประเทศของยูโรโซน คือ ไอร์แลนด์ โปรตุเกส กรีซ และ ไซปรัส เข้าด้วยกันเสียอีก นี่จึงอาจเป็นปัญหาใหญ่และภาระหนักที่ IMF อาจต้องเข้ามาดูแลในที่สุด โดยปัญหาจะยิ่งใหญ่ขึ้นอีกหากวิกฤติได้ลามไปสู่ประเทศตลาดเกิดใหม่อื่นๆที่ค่า Rueng Alarm ย่ำแย่อย่าง แอฟริกาใต้ บราซิล โคลัมเบีย และอินโดนีเซีย
สำหรับประเทศไทย ควรเลิกโยนบาปให้ "นโยบายประชานิยม" เช่นเดียวกัน แม้ว่าสิ่งนี้ไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะ ทำให้หนี้สินภาครัฐสูงขึ้นบ้างแถมยังเปิดช่องให้ทุจริตได้ แต่ก็ไม่ได้แย่มากถึงขั้นนำไปสู่วิกฤติเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับ "นโยบายประชาไม่นิยม" อย่างการขึ้นภาษี VAT เป็น 8% ของญี่่ปุ่นเสียอีกที่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรงในไตรมาส 2 ปีนี้ที่ผ่านมา
สำหรับประเทศไทยควรเผยแพร่ Rueng Alarm ออกไป จับตาดูค่านี้ทั้งในประเทศไทยเอง และ ประเทศเพื่อนบ้านใน AEC เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับสัญญาณเตือนภัยและระมัดระวังการเกิดฟองสบู่ที่จะก่อให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ โดยปัจจุบันมี 2 ประเทศใน AEC ที่ส่งสัญญาณไม่ดีเลย โดยค่า Rueng Alarm ระดับ -21.4% คือ ประเทศกัมพูชา แต่ที่หนักหนากว่านั้้นก็คือ ประเทศลาว มีค่า Rueng Alarm ที่ -73.8% ซึ่งเป็นระดับที่เหลือเชื่อมาก แทบจะไม่เคยพบเห็นมาก่อน คงเป็นเพราะการเร่งรัดพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดดของลาวนั่นเอง
และสุดท้ายคือ ไทยควรนำเอา "นโยบายประชาชมชอบ" มาใช้ สิ่งนี่จะแตกต่างจาก "นโยบายประชานิยม" เพราะว่ารัฐบาลไม่ต้องสร้างหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ใช้การ "ยืมพลัง" แทนเพื่อทำให้ประชาชนกลุ่มใหญ่พอใจและชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
และสุดท้ายคือ ไทยควรนำเอา "นโยบายประชาชมชอบ" มาใช้ สิ่งนี่จะแตกต่างจาก "นโยบายประชานิยม" เพราะว่ารัฐบาลไม่ต้องสร้างหนี้ภาครัฐเพิ่มขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่ใช้การ "ยืมพลัง" แทนเพื่อทำให้ประชาชนกลุ่มใหญ่พอใจและชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น