บิดาแห่งทฤษฎีการเงิน ก็คือ เออร์วิง ฟิชเชอร์ โดย มิลตัน ฟรีดแมน (เจ้าสำนักการนิยม) ได้กล่าวไว้ว่า "ฟิชเชอร์" เป็นนักเศรษฐศาสตร์ของอเมริกาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งผมก็เห็นด้วยตามนั้น
MV=PQ คือ สมการของฟิชเชอร์ ที่ได้ถ่ายทอดกันมาถึงกว่า 1 ศตวรรษแล้ว โดย M คือ ปริมาณเงิน V คือ การหมุนของเงิน P คือ ระดับราคา และ Q คือ ผลผลิตหรือ GDP
เมื่อ diff แล้วก็จะได้สมการ อัตราการเปลี่ยนแปลง M + อัตราการเปลี่ยนแปลง V = อัตราการเปลี่ยนแปลง P + อัตราการเปลี่ยนแปลง Q และ เมื่อสมมติฐานกำหนดให้ V คงที่จากรูปแบบการบริโภคที่เหมือนเดิม หรือ อัตราการเปลี่ยนแปลงเป็นศูนย์ ดังนัน สรุปได้ว่า อัตราการเพิ่มปริมาณเงิน เท่ากับ อัตราการเพิ่มขึ้นของ nominal GDP (real GDP+อัตราเงินเฟ้อ)
นั่นหมายถึง การลดอัตราดอกเบี้ย และ การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน จะช่วยเร่งให้ทั้ง GDP และ อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น และ จะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามหากขึ้นอัตราดอกเบี้ย และ นี่นำไปสู่ "นโยบายการเงิน" นั่นเอง
อย่างไรก็ดี ผมพบว่า V ไม่ได้คงที่ ไม่สามารถจะตั้งสมมติฐานที่ไม่มีโอกาสเกิดขึ้นได้ เป็นการตั้งสมมติฐานที่ผิด V จะลดลงโดยอัตโนมัติหากเพิ่ม M ในสมัยของ ฟิชเชอร์ อาจกล่าวได้ว่า ตลาดของสต็อก (ตลาดเงิน ตลาดทุน ตลาดอสังหาฯ เงินฝาก สินเชื่อ และ กองทุนบำนาญ) อาจมีขนาดที่เล็กกว่า GDP อยู่มาก ดังนั้น การเพิ่มปริมาณเงิน M จึงไปส่่งผลเกือบทั้งหมดที่ P และ Q โดย V แทบจะไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ดี ปัจจุบันตลาดเงินตลาดทุนใหญ่ขึ้นมาก ค่า V จะลดลงเมื่อ M เพิ่มขึ้น
ผลสรุปก็คือ การลดอัตราดอกเบี้ย หรือการเพิ่มปริมาณเงิน จะไม่ช่วยเร่งเงินเฟ้อ แม้ว่าทำให้ Q สูงขึ้นเล็กน้อยจากผลของความมั่งคั่ง (wealth effect) เมื่อ V ลดลง จึงส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อ (P) ชะลอตัวลงต่่างหาก และ ในทางตรงกันข้าม การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย หรือ การลดปริมาณเงินจะไม่สกัดเงินเฟ้อ แต่กลับทำให้ค่า P หรืออัตราเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นต่างหาก เรื่องนี้มีความสำคัญอย่างมากต่อการกำหนดนโยบายการเงินทั่วโลก
โดยประธาน ECB นายมาริโอ ดาร์กี ที่พยายามเร่งเงินเฟ้อด้วยการลดอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นการทำแบบทิศทางนั่นกลับทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงต่างหาก โดยยูโรโซนมีอัตราเงินเฟ้อต่ำที่สุดในรอบ 5 ปี และ ประเทศ PIIGS นั่นเข้าเขตอัตราเงินฝืดในเดือน กย.ที่ผ่านมา ในทางตรงกันข้าม ประเทศรัสเซีย ได้พยายามขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นว่า อัตราเงินเฟ้อของรัสเซียวิ่งไปเรื่อยๆ จนสูงสุดในรอบ 3 ปีกันเลย
แล้วผู้กำหนดนโยบายการเงินไม่เอะใจบ้างหรือ..... มันเป็นเรื่องยากที่เชื่อได้ว่า เรื่องในตำราคือสิ่งที่ผิด เหมือนักฟิสิกส์ คงจะมีน้อยคนนักที่บอกว่า สมการในตำราอย่าง F=ma ของนิวตัน หรือ E=mc^2 ของไอน์สไตน์ เป็นสมการที่ผิดพลาด อย่างไรก็ดี ทางสังคมศาสตร์ สามารถศึกษาผลลัพธ์ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหลังเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ หากสังเกตเพิ่มขึ้นอีกสักนิด ก็จะพบว่า สมการการเงินของฟิชเชอร์นั้นเริ่มมีปัญหาเสียแล้ว
แล้วเมื่อศึกษาถึงผลกระทบของ QE ก็จะพบว่า ประเทศสหรัฐฯ และ อังกฤษ ก่อนหน้านี้จะมีอัตราเงินเฟ้อระดับสูงระดับ 2-4% แต่เมื่อใช้ QE ปรากฏว่าอัตราเงินเฟ้อลดลงเหลือระดับ 1% เศษเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้เป็นไปตามทฤษฎีการเงินเดิม แต่เป็นไปตามแนวคิดของทฤษฎี "การเงินไท้เก๊ก" คือ การเพิ่มปริมาณเงินจะกลับทำให้อัตราเงินเฟ้อลดลงต่างหากไม่ใช่เพิ่มสูงขึ้น
บทสรุปตรงนี้ก็คือ โลกควรพิจารณานโยบายการเงินกันใหม่ทั่วโลก ซึ่งดูเหมือนว่าผู้กำหนดนโยบายการเงิน จะทำแบบผิดทิศผิดทางเสียแล้ว ดังนั้นอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนกันใหม่หมด
ผมขอสมัคร 2 มหาวิทยาลัย เพื่อร่วมพัฒนาทฤษฎีใหม่และพิสูจน์การหักล้างทฤษฏีการเงินการคลังเดิม ดำเนินการ "ปฏิบัติการไท้เก๊ก" เสนอข่าวต่อสื่อ รวมถึงเผยแพร่ความรู้ใหม่ต่อนักเรียนม.ปลายและนักศึกษาไทยก่อน จะนำเผยแพร่ไปสู่ระดับโลก เร่งติดต่อเข้ามานะครับ prawitruang@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น