วันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รู้สึกตัวบ้างไหม...เศรษฐกิจไทยขาลง

อยากถามท่านผู้อ่านและผู้บริหารประเทศครับว่า "รู้สึกตัวกันบ้างไหมว่า..ตอนนี้เศรษฐกิจไทยเป็นขาลงแล้ว" แม้ท่านนายกฯ จะได้พูดไปในสถานที่ต่างๆ ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้สดใสมากๆ อาจเติบโตได้ถึง 8% และปีหน้าน่าจะโตได้ 4% สบายๆ ในอดีตยามที่เศรษฐกิจเริ่มเป็น "ขาขึ้น" ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์จะบอกว่าให้ดู GDP แบบเทียบกับไตรมาสก่อน ซึ่งก็เป็นหลักมาตรฐานสากลจะเห็นเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวเป็น V แล้วตั้งแต่กลางปี 2009 .. แต่ยามเริ่มเป็นขาลงนี่ ท่านกลับมาใช้มาตรฐานแบบไทยๆ เน้นๆ พูดเฉพาะแบบเทียบกับปีก่อน ตัวเลขเทียบกับไตรมาสก่อนนั้นแทบไม่เคยพูดถึงอีกเลย คำตอบอยู่ตรงนี้ครับ GDP ไตรมาส 2 แบบปรับผลตามฤดูกาลแล้วนั้นนั้น -0.6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และ ไตรมาส 3 นั้น -0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเช่นกัน เห็นได้ชัดเลยว่าตัวเลขเหล่านี้เลวร้ายกว่า +9.2% และ +6.7% ตามลำดับเมื่อเทียบแบบปีต่อปีชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ (ข้อมูล :NESDB)

ดังนั้นที่แม่ค้าตามตลาดบอกว่า เศรษฐกิจไม่เห็นจะดีเลยนั่นก็เป็นความคิดเห็นที่ถูกต้องแล้ว เศรษฐกิจไทยตามมาตรฐานสากลเริ่มเข้าสู่ "ขาลง" รอบ 2 ฟอร์มเป็นตัว W แล้วตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เป็นลักษณะการฟื้นตัวที่ชะลอตัวลงอย่างเร็ว เทียบเคียงได้กับภูมิภาคที่อ่อนแอที่สุดของโลก คือ บริเวณประเทศริมขอบยูโรโซนอย่าง PIIGS กันเลยทีเดียว การที่เศรษฐกิจเติบโตติดลบ 2 ไตรมาสติดกัน นั่นหมายถึง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ดังนั้นไทย และ PIIGS จึงเป็นกลุ่มประเทศแรกๆ ที่เข้าสู่ขาลงรอบ 2 (double dip recession) ก่อนหน้าภูมิภาคอื่นๆ ในโลกซึ่งอาจตามมาติดๆ ในปีหน้า โดยที่พวกเราแทบไม่รู้สึกตัวกันเลย เพราะ ถูกตัวเลขสวยหรูของรัฐบาลหลอกตามาตลอด

หากไทยเข้าสู่ภาวะถดถอยจริง การที่ ธปท.ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ และ ชะลอเศรษฐกิจก็น่าจะเป็นความคิดที่ผิด ถ้าหากคิดได้เช่นนี้ ท่านผู้อ่านได้ยกระดับการเป็นกูรูทางเศรษฐกิจที่เหนือชั้นกว่า กนง.ไปแล้ว ทั้งธปท.และ รัฐบาลอาจกำลังเดินหลงทางกันอยู่ โดยเฉพาะเมื่อมองไปในปีหน้าแล้วเห็นความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกและไทยดังนี้

1.กับดักเงินหยวน : ได้สร้างสภาพคล่องล้นเหลือในประเทศจีน สร้างฟองสบู่อสังหาฯลูกใหญ่มาก ในเขตเมืองใหญ่นั้น ราคาอสังหาริมทรัพย์สูงถึง 20 เท่าของรายได้ต่อปีของประชากร ขณะที่ตัวเลขนี้ในญี่ปุ่นอยู่ที่ระดับ 8 และ อเมริกาตอนนี้อยู่ที่ระดับ 5 เท่าเอง จีนหากปล่อยให้เงินหยวนแข็งค่าเร็วขึ้น เพื่อสร้างสมดุลการค้าโลก นั่นอาจเป็นเรื่องที่ดี อย่างไรก็ตามการขึ้นอัตราดอกเบี้ย และ อัตราการสำรองเงินของธนาคาร เพื่อชะลอสินเชื่อ รวมทั้งค่าเงินหยวนที่แข็งค่าเร็ว ก็อาจส่งผลให้ฟองสบู่อสังหาฯ แตกเร็วยิ่งขึ้น เพราะ ราคาอสังหาฯ เป็นดอลลาร์นั้นจะแพงขึ้นอีก 10-20% ซึ่งเกินกว่าดีมานด์จะวิ่งตามได้ทัน นั่นอาจทำให้ราคาอสังหาฯ เป็นหยวนดิ่งลงได้ไม่ต่ำกว่า 20% ในปีหน้าตามที่นักวิเคราะห์หลายแห่งคาดการณ์เอาไว้ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก และ ตลาดหุ้นทั่วโลกได้มาก เพราะ จีนคือ "หัวรถจักร" สำคัญในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกตอนนี้

2.กับดักเงินยูโร : จะสร้างปัญหาอย่างหนักต่อประเทศที่อ่อนแอริมขอบยูโรโซน ซึ่งไม่สามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้ เพราะ จำเป็นต้องรัดเข็มขัดการคลัง และ ยังไม่สามารถจะทำมาค้าขายได้ดุลการค้าได้เพราะ ค่าเงินผูกอยู่กับประเทศแข็งแรงอย่างเยอรมนี การที่ ECB พยายามจะยื้อรักษาระบบ Euro ให้เป็นเงินสกุลเดียวต่อไปนั้น จะส่งผลเสียหายอย่างหนักต่อไป การไม่พยายามแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดจะเพิ่มความเสียหายเป็นทวีคูณ ก่อนที่จะมีการแยกค่าเงินเป็น 2 สกุล ก็น่าจะคาดได้ว่าจะเกิดความปั่นป่วนในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนสกุล "Euro" ได้อย่างสูงในปีหน้าที่จะถึงนี้

3.กับดักเงินบาท : ธปท.เดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลค่าเงินบาทที่แข็งค่าต่อเนื่อง เมื่อรวมกับการไม่ฟื้นตัวจริงของประเทศพัฒนาแล้ว รวมๆ กับความเสี่ยงจากฟองสบู่แตกในประเทศจีน และ การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำและเงินเดือนข้าราชการในประเทศอย่างเร็ว จะส่งผลให้การส่งออกในปีหน้าเต็มไปด้วยปัญหา โดยอาจเป็นไปได้ว่ามูลค่าส่งออกคิดเป็นเงินบาทน่าจะติดลบด้วยซ้ำไป

4.กับดักการออม : สิ่งอันตรายในปีหน้าก็คือ กอช.หรือ กองทุนการออมแห่งชาติ (ผมขอเรียกว่า "กับดักการออมแห่งชาติ") นั้น รัฐบาลจะใส่เงินเข้ามาราว 2 หมื่นล้าน และ ให้ประชาชนสมทบเงินราว 3 หมื่นล้าน หากโครงการนี้สำเร็จตามที่คาดจริง อาจจะเป็นหายนะของเศรษฐกิจไทย ทำไมนะหรือ ?? เพราะ เงินของประชาชนนอกระบบนั้นมีระดับการหมุนเงินที่สูงมากอาจถึง 3 เท่าตัว การนำเงินราว 5 หมื่นล้านไปใส่ไว้ในกองทุนโดยเงินไม่หมุนเลยนั้น จะทำให้เศรษฐกิจไทยอาจมี GDP ลดลงไปถึง 1.5 แสนล้านบาท (ราว 1.5% GDP)

การขัดแย้งจากความมัธยัสถ์ (paradox of thrift) คือ สภาพที่คนกลุ่มหนึ่งประหยัดเงินแล้ว จะไปกระทบรายได้ของคนอีกกลุ่มหนึ่งด้วย ก็วนทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงไปรายได้ลดลงจึงทำให้การออมลดลงไปด้วย ปกติแล้วการขาดดุลการคลังที่ดี โครงการนั้นๆควรมีค่าตัวทวีคูณ (multiplier) สูงกว่า 2 เท่า แต่สำหรับโครงการนี้ ตัวทวีคูณอาจอยู่ที่ระดับ -7.5 เท่า (รัฐใส่เงิน 2 หมื่นล้าน แต่เศรษฐกิจหดตัว 1.5 แสนล้าน) ซึ่งเป็นทิศทางตรงกันข้ามกับที่นโยบายการคลังที่ดีโดยสิ้นเชิง เวลา 10 ปีเต็มๆ ที่เงินก้อนนี้จะจมกับ กอช.โดยไม่หมุนก็อาจสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจไทยได้ถึง 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งสูงระดับ 30 เท่าของความเสียหายจากอุทกภัยครั้งใหญ่ที่ผ่านมา

ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น ระดับนักศึกษาในมหาวิทยาลัยก็น่าจะพอเข้าใจได้ดี เพราะ มีอยู่ในหนังสือเศรษฐศาสตร์มหภาคเกือบทุกเล่ม แต่เพราะเหตุใด กูรูด้านเศรษฐกิจ เซียนด้านการเงิน รวมไปถึง คณะรัฐมนตรี และ สส.ผู้ทรงเกียรติในสภา จึงสนับสนุนแนวคิด กอช.อย่างท่วมท้น เหตุผลหลักก็อาจอยู่ที่ว่า พวกเขาสนใจแต่เรื่องของ "แรงกิริยา" โดยใส่ใจกับ "แรงปฏิกิริยา" หรือ "แรงสะท้อนกลับ" น้อยมาก ทั้งๆที่เรื่องนี้เป็น 1 ในกฎ 3 ข้อของ "เคล็ดวิชาไท้เก๊ก" และ ยังเป็น 1 ใน 3 ของ "กฏนิวตัน" อีกด้วย การสนใจแต่ว่า กอช.จะเป็นสวัสดิการที่ช่วยให้แรงงานนอกระบบที่เกษียณอายุมีเงินใช้จ่ายได้ในอนาคต โดยไม่ได้มองแรงสะท้อนกลับอีกด้านซึ่งหมายถึง การใช้จ่ายและรายได้ที่ลดลงของประชาชนในปัจจุบัน

หากเป็นไปได้ ขอให้วิญญาณของ "เคนส์" ซึ่งเป็นศิษย์พี่ของ ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ แห่งรร.มัธยมอีตั้นชื่อดังก้องโลก ช่วยไปเข้าฝันศิษย์น้องหน่อยเถอะ ช่วยแนะว่าโครงการ กอช.นั้นไม่น่าจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาล แต่มันน่าจะเป็นผลงานชิ้นโบดำเสียมากกว่า ผมจึงขอเรียกร้องให้การพิจารณา พรบ.กอช.วาระต่อไปในสภานั้น โปรดพิจารณาถึงผลดีผลเสียของโครงการนี้อย่างรอบคอบถี่ถ้วน เพื่อป้องกันความเสียหายใหญ่หลวงที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ตอนนี้ทั้งรัฐบาล และ ธปท.ต่างก็บอกว่า "พวกเรากำลังมาถูกทางแล้ว" แต่ระวังหน่อยนะครับ มันอาจเป็นทางไปสู่หุบเหวก็ได้ และเศรษฐกิจปีหน้าที่คาดกันไว้ว่าจะโต 4% นั่นอาจเป็นได้แค่ฝันกลางวันของคนไทย เพราะ เศรษฐกิจไทยอาจถูก "กับดักเศรษฐกิจ"ทั้ง 4 ตรึงแขนขาทั้ง 4 ข้างเอาไว้จนไม่อาจขยับได้เลยแม้แต่คืบเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น