ยูโร คือ หมูหัน
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น...เงินยูโร นั้นเหมือนมีชะตากรรมที่เหมือนถูกสาปและต้องอายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็น เพราะ มีการถือกำเนิดแบบไม่มีตรรกะเหตุผลที่ดีพอมารองรับ  แม้ว่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุนในยูโรโซนได้เป็นอย่างดีมาช่วงเวลาหนี่งก็ตาม  อย่างไรก็ดี  ค่าเงินที่ควรจะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศกลับไม่สามารถเกิดขึ้นได้ก็เพราะ "ระบบเงินยูโร" นี่เอง
เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี  คนทั่วโลกก็เริ่มเห็น "ด้านมืด" ของเงินยูโรอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น  ประเทศที่แข็งแรง  เงินเฟ้อต่ำ  และ ประเทศที่อ่อนแอ เงินเฟ้อสูง  กลับใช้เงินสกุลเดียวกัน  ยิ่งเวลาผ่านไป  ประเทศที่อ่อนแอยิ่งไม่สามารถจะแข่งขันด้านการส่งออกได้เลย  เมื่อส่งออกได้น้อยนำเข้ามาก  ก็พบปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและติดหนี้กับต่างประเทศจำนวนมาก  โดยในปี 2008 ที่ค่าเงินยูโรเคยแข็งค่าถึงระดับ 1.60 ดอลลาร์นั้น  กรีซเคยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 15% GDP  ส่วนสเปนและโปรตุเกสอยู่ระดับ 10% GDP ดังนั้นจะเห็นได้ว่าประเทศเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขด้วยการรัดเข็มขัดการคลังเท่านั้น  เพราะ ต้นตอของปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น  ถึงจะรัดเข็มขัดจนเหลือขาดดุล 3% GDP ประเทศก็ยังไม่สามารถค้าขายให้ได้ดุลมาเพื่อลดหนี้ได้  ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ระดับอัตราแลกเปลี่ยน "ยูโร" ที่ไม่เหมาะสมกับประเทศอ่อนแอเหล่านี้ต่างหาก
ประเทศที่ประสบปัญหาจนต้องขอความช่วยเหลือก่อนเพื่อนก็คือ กรีซ (G) ถัดมาก็คือ ไอร์แลนด์ (I) และ น่าจะเป็นโปรตุเกส(P)คือรายต่อไป เมื่อเรียงลำดับอักษรจากหลังมาหน้า  ก็จะได้คำว่า "PIG"  นั่นเอง   แล้วอีก 2 ประเทศขนาดใหญ่ที่จะตามมาก็คือ สเปน (S) และ อิตาลี (I) ก็ได้เป็นคำว่า "IS" ซึ่งหาก 2 ประเทศนี้ถูกโจมตีด้วยกองทุนเฮดจ์ฟันด์อย่างได้ผลจนผลตอบแทนพันธบัตรสูงลิ่วเสียแล้วละก็  ในที่สุดก็คงถึงเวลาล่มสลายของเงิน  EURO  ดังนั้น  อาจเรียงประโยคได้ว่า "EURO IS PIG"  เงินยูโรคือ หมูหัน  ที่พร้อมถูกเชือด  นี่คือคำสาปจากสวรรค์
Paradox of Euro หมายถึง การขัดแย้งกันเองของเงินยูโร  ประเทศที่อ่อนแอ (PIIGS) ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง แถมด้วยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ค่าเงินควรอ่อนลงในระยะยาว  ขณะที่ประเทศแข็งแกร่ง (เยอรมัน) ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อต่ำ ได้ดุลบัญชีเดินสะพัด  ค่าเงินควรแข็งค่าขึ้นในระยะยาว   แต่ 2 กลุ่มประเทศกลับใช้ค่าเงินเดียวกัน  ดังนั้น ยูโรจึงควรทั้งแข็งค่า และ อ่อนค่าในระยะยาว ??   เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันขัดแย้งกันเอง  สภาพเช่นนี้จะไม่สามารถคงอยู่ได้นานนักในอนาคต  ในปี 2011 จึงควรเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของระบบเงินสกุลเดียวนี้
"หมูหัน" ยังต้องมีการผ่าแบ่งซีกด้วยเช่นเดียวกันกับ "เงินยูโร"  ทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดน่าจะเป็น การสร้างเงินอีกระบบหนึ่งขึ้นมารองรับ  เพื่อแยกประเทศในยูโรโซน ออกเป็นอย่างน้อย 2 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแข็งแรง และ กลุ่มอ่อนแอ  จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ และ ยังรักษาข้อดีของการใช้เงินสกุลร่วมกันได้ต่อไป 
ธปท.ควรจะรีบนำเอาข้อความ 2 ประโยคไปบอกกับธนาคารกลางของยูโรโซน (ECB) ดังนี้ 1.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้มานานกว่า 10 ปี มันไม่แน่ว่ามันจะดีเสมอไป  2.การยื้อพยายามรักษาระบบที่ผิดพลาดเอาไว้  จะทำให้ความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ   นี่คือการสื่อสารว่า "ระบบตะกร้าเงินบาท"ในอดีต กับ "เงินยูโร" ในปัจจุบัน  ต่างก็มีจุดบกพร่องและสมควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขโดยเร็วที่สุด  "ระบบตะกร้าเงินบาท" นั้นใช้เวลา 12 ปีกว่าจะยกเลิกไป  ขณะที่เงินยูโร ก็จะครบรอบ 12 ปีในปี 2011 เช่นกัน
หากประเทศที่แข็งแรงก็ใช้เงิน Eura ใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเช่น ขาดดุลการคลังไม่เกิน 3% GDP กลุ่มนี้จะมีเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยต่ำ  และ ค่าเงินจะแข็งค่าในระยะยาว  ส่วนประเทศอ่อนแอใช้ Euro กันต่อไป  ปรับเกณฑ์ขาดดุลการคลังให้ยืดหยุ่นขึ้นเป็น 5% GDP เบื้องต้นอาจกำหนดให้ Eura มีค่าแข็งกว่า Euro ราว 10% หลังจากนั้นก็เปิดเสรีให้ซื้อขายเป็นไปตามกลไกตลาด  อาจเป็นไปได้ว่า Euro อาจดิ่งลงอย่างเร็วเหลือแค่เท่ากับ 1 ดอลลาร์  ขณะที่ Eura อาจแข็งค่าขึ้นเป็น 1.5 ดอลลาร์  นั่นหมายถึงว่า กรีซ ซึ่งฝืนใช้ค่าเงินเดียวกับ เยอรมัน  เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง  เพราะ ค่าเงินที่เหมาะสมนั้นอาจแตกต่างกันได้ถึง 50%
กลุ่ม PIIGS จะมีเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่า  ค่าเงินจะอ่อนค่าลงในระยะยาว  ซึ่งก็จะช่วยให้ภาระหนี้สินเป็น "ยูโร"ของประเทศกลุ่ม PIIGS นั้นด้อยค่าลง  พร้อมๆ กับช่วยส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยวให้แข่งขันได้ดีขึ้น  ช่วยประเทศลูกหนี้เหล่านี้ให้ทำมาค้าขายมีกำไรเพื่อมาลดหนี้ได้  วิธีนี้จะปรับเศรษฐกิจของยุโรปเข้าสู่สมดุลในที่สุด  แม้ว่า  ประเทศเยอรมัน และประเทศเอเชียที่เป็นเจ้าหนี้ "เงินยูโร" จำนวนมาก  อาจต้องมีสินทรัพย์เงินยูโรที่ด้อยค่าลงไปบ้างก็ตาม
ในที่สุดแล้ว  ผมคิดว่าค่าเงินที่เหมาะสมสำหรับยุโรป  อาจต้องใช้เงินถึง 3 สกุลด้วยกัน  Eura,Euri และ Euro เพื่อให้ประเทศที่แข็งแรง กลางๆ และ อ่อนแอ ได้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศตนเอง   ยังมีอีก 11 ประเทศใน EU ที่ยังไม่เข้าในระบบยูโรโซน ก็อาจได้ใช้จังหวะนี้เพื่อโดดเข้าใช้เงิน "สกุลร่วม" 1 ใน 3 สกุล  ดังนั้น ทั้งยุโรปตะวันตก ตะวันออก รวมไปถึง แอฟริกาอีกหลายประเทศ  อาจเหลือเงินแค่ 3 สกุลนี้เท่านั้น  และ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการ "แตกเพื่อโต" ของยุโรป  และ ช่วยสร้างต้นแบบที่ดีให้กับค่าเงินในเอเชียด้วย
สำหรับการป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจอันเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน  เช่น วิกฤติเตกีล่าในเมกซิโก  วิกฤติต้มยำกุ้งในไทย และ วิกฤติในอาร์เจนตินาซึ่งปล่อยให้ค่าเงินแข็งเกินระดับเหมาะสมเป็นเวลานาน  ส่งผลให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องจนเกิดวิกฤตินั้น   แนวคิดของนายไกธ์เนอร์ รมว.คลังอเมริกาถือว่าดีทีเดียว  IMF และ WTO ควรมีหน้าที่เข้ามาดูแลประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งด้านได้ดุลและขาดดุลเกินกว่า  3% GDP ติดต่อกัน 3 ปี  เพื่อปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมเกิดสมดุลขึ้นได้  หากมีการเตือนภัยเช่นนี้โลกคงลดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ ไปได้มาก รวมทั้ง "วิกฤติหมูยูโร" ในครั้งนี้ด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น