แม้ว่ากรีซ ยังคงอยูในยูโรโซน แม้จะมีปัญหาทางเศรษฐกิจรุมเร้าอย่างหนักหน่วงก็ตามเปรียบเหมือนเพลิงที่กำลังลุกไหม้ ผู้นำในยูโรโซน กังวลว่า กรีซอาจจะออกจากยูโรโซน แต่ผมอยากจะบอกว่า สิ่งที่ควรกังวลกว่านั้นก็คือ การที่กรีซไม่ออกจากยูโรโซนเสียมากกว่า กรีซนั้นได้แปลกแยกออกจากสมาชิกในกลุ่มนี้นานแล้ว โดยอาจยกได้ 3 เรื่อง
1. ECB ดำเนินมาตรการ QE โดยเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศในยูโรโซน 6 หมื่นล้านยูโรทุกเดือน ยกเว้น "กรีซ"
2. ประเทศในยูโรโซนปรับปรุงการคลังดีขึ้นมาระดับหนึ่ง การขาดดุลลดลงมาได้บ้าง ยกเว้น "กรีซ" ที่ยังการขาดดุลการคลังถึง 12.2% ของ GDP ในปี 2013
3. ประเทศสมาชิกยูโรโซน ล้วนมีบอนด์ยีลระยะยาว (10ปี) ลดลงระดับหนึ่งเมื่อมีข่าวก่อนหน้านี้ว่า ECB จะใช้มาตรการ QE ยกเว้นเฉพาะ "กรีซ" ที่บอนด์ยีลด์กลับวิ่งขึ้นไป จนตอนนี้สูงถึง 11.4% ไปแล้ว
ดังนั้น สรุปได้ว่า ตลาดเงินตลาดทุนนั้นได้ประเมินมานานแล้วว่า กรีซ ไม่ได้อยู่ในยูโรโซนแล้ว จะไม่สามารถชำระคืนเงินต้นเป็น "ยูโร" ได้เต็มจำนวนเป็นแน่
เรื่องนี้ขอให้นึกถึง สมรภูมิผาแดงในสมัยสามก๊ก โดยกองเรืองยูโรนั้นมีอยู่ 19 ลำ โดยมีอยู่ลำหนึ่งคือ "เรื่อกรีซ" ที่ไฟกำลังลุกโชน มีหนทางเลือกอยู่ 3 ทาง
1. พยายามดับไฟให้ได้ : ซึ่งได้พยายามทำมาแล้วถึง 5 ปี กลับพบว่า กรีซขาดความสามารถในการแข่งขันอยู่ดีภายใต้ระบบเงินยูโร การว่างงานในกรีซยังสูงถึง 25.8% นับว่าสาหัสมาก และ หนี้สินภาครัฐต่อ GDP ก็สูงสุดในยูโรโซน โดยสูงถึง 175% เมื่อทางเลือกที่ 1 ไม่สำเร็จก็เหลือ 2 และ 3
2. ปล่อยให้ไฟลุกโชนต่อไป : เรื่องนี้จะเป็นปัญหาแน่ เพราะ เรือลำที่อยู่ใกล้ๆ กับ กรีซ อย่างกลุ่มประเทศ PIIGS อาจติดไฟไปด้วยก็เป็นได้ หากบอนด์ยีลด์ของกรีซ วิ่งจาก 11% ไป 20% มันจะไม่กระทบต่อบอนด์ยีลด์ของประเทศ PIIGS เลยหรือ?? โดยเฉพาะประเทศที่เสี่ยงเป็นอันดับถัดมา คือ ไซปรัส และ โปรตุเกส ที่บอนด์ยีลด์อาจวิ่งไปได้สูงกว่าระดับ 5% นั่นหมายถึง แผนการ QE ของ ECB ที่หวังจะกดดอกเบี้ยระยะยาวของยูโรโซนให้ลดลงเพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้นเสียด้วยซ้ำ
3. ตัดกรีซออกจากกองเรือ : ผมคิดว่าวิธีนี้น่าจะดีที่สุด ก็คือ Grexit เพื่อรักษาส่วนรวมเอาไว้ จำเป็นต้องรีบตัดเนื้อร้ายออกไปโดยเร็ว โดยต้องตัดโซ่ตรวนคือ "เงินยูโร" ออกจากกรีซ ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้ ไม่เพียงเป็นผลดีต่อยูโรโซน แต่ยังเป็นผลดีต่อกรีซเองด้วยเพราะ กรีซจะสามารถฟื้นตัวได้จากการบูมส่งออกและท่องเที่ยว ประเด็นสำคัญที่สุดนั้นก็คือ แต่ละประเทศจะต้องใช้ค่าเงินที่เหมาะสมกับระดับความสามารถในการแข่งขันนั่นเอง จากทฤษฎี "ปริวรรตไท้เก๊ก" ก็จะพบว่า หาก 2 ประเทศมีค่าบอนด์ยีลด์ห่างกันเกินกว่า 3% แล้วละก็ 2 ประเทศนั้นไม่ควรผูกค่าเงินไว้ด้วยกันหรือใช้เงินสกุลเดียวกัน
โจโฉได้พ่ายแพ้ยับเยินสมรภูมิผาแดง ได้รำพึงกว่า "หากกุยแกยังอยู่ด้วยเรา เราคงมิต้องเสียหายยับเยินเช่นนี้" ก็ได้แต่หวังว่าในยามนี้ ท่านผู้นำของยูโรโซนจะมียอดกุนซืออย่าง "กุยแก" อยู่ข้างกาย โดยไม่เชื่อกลลวงของ "บังทอง" ที่ได้สร้างอุบายเอาไว้ ให้ผูกเรืออย่างแน่นหนาเป็นปึกแผ่นรักษาระบบยูโรเอาไว้แบบนี้ต่อไป (แนะนำโดยนักวิชาการจากอเมริกาและเอเชีย รวมถึง ยุโรปด้วย)
หากเป็นเช่นนั้น กองเรืองยูโรโซนจะได้ไม่ต้องเสียหายยับเยินเหมือนในอดีต ดั่งโจโฉในยุคสามก๊กที่สูญทัพเรือไปในกองเพลิงแทบจะหมดสิ้น.....
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-econ.) คือ แนวคิดที่ใช้กฎ 3 ข้อของไท้เก๊กมาช่วย ด้วยการ "รักษาสมดุล" "ยืมพลังสะท้อนพลัง" และ "ในนิ่งมีเคลื่อน ในเคลื่อนมีนิ่ง" ซึ่งจะช่วยปรับปรุงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันที่้บกพร่องให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ยูโร แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ยูโร แสดงบทความทั้งหมด
วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558
วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ทางออกสวยหรู แด่ยูโรโซน
ยูโรโซน กำลังประสบกับปัญหาครั้งใหญ่ โดยมีวิกฤติทับซ้อนกันถึง 4 เรื่อง คือ วิกฤติการคลัง วิกฤติการว่างงาน วิกฤติขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และ วิกฤติเงินยูโร แต่สิ่งที่ IMF, EU และ ECB พยายามทำอยู่ก็คือ การซื้อเวลา เท่านั้นเอง ต้นตอปัญหาที่แท้จริงยังไม่ได้แก้ไขเลยแม้แต่น้อย มันคืออะไรมาลองมาดูกันครับ
เมื่อดูตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็อาจแบ่งประเทศได้เป็น 4 กลุ่มประเทศ คือ
1. กลุ่มเกรด A เช่น เยอรมัน และ เนเธอร์แลนด์ แข่งขันได้ดีมากๆ ภายใต้ค่าเงิน "ยูโร" จึงได้ดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 5.7% และ 7.7% ของ GDP ตามลำดับ อาจกล่าวได้ว่า ค่าเงินที่เหมาะสมของ 2 ประเทศนี้ควรจะแข็งค่ากว่า "ยูโร" เพื่อให้เกิดสมดุล
2. กลุ่มเกรด B เช่น ฝรั่งเศส และ เบลเยี่ยม จะมีการได้ดุลและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่เกิน 2.5% โดย 2 ประเทศนี้ตัวเลขอยู่ที่ -2.1% และ +1.4% GDP ตามลำดับ จัดได้ว่าเป็นกลุ่มประเทศที่เหมาะสมการใช้เงิน "ยูโร" มากที่สุด
2. กลุ่มเกรด C เช่น สเปน และ อิตาลี ยังไม่แข่งขันไม่ดีนัก ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ -4.5 และ -3.3% GDP ตามลำดับ ดังนั้น ค่าเงินของ 2 ประเทศนี้ ควรอ่อนค่าลงกว่าปัจจุบัน (ยูโร) เล็กน้อย เพื่อให้เกิดสมดุล
3. กลุ่มเกรด D เช่น กรีซ และ โปรตุเกส แข่งขันแทบไม่ได้เลยกับค่าเงิน "ยูโร" โดยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ -10.5 และ -9.9% GDP ตามลำดับ ค่าเงินของ 2 ประเทศนี้ ควรอ่อนค่าลงอย่างมากๆ แทนที่จะใช้ "ยูโร" เพื่อให้เกิดสมดุลขึ้นได้
ดังนั้นการที่ IMF, ECB พยายามชี้ประเด็นว่า ปัญหาอยู่ที่วิกฤติการคลังนั้น อาจเป็นการชี้ไม่ตรงประเด็นกับต้นตอของปัญหาที่แท้จริง หากจะยืดอกยอมรับตรงไปตรงมาก็อาจกล่าวได้ว่า "เงินยูโร คือ ความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของระบบเศรษฐกิจโลก" เป็นการผูกระบบเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งแตกต่างกันอย่างมากมายเข้าไว้ด้วยกันถึง 17 ประเทศ ในที่สุดจะสร้างหนี้สินต่างประเทศกับกลุ่มประเทศอ่อนแออย่างมากมาย เพราะ ค้าขายขาดดุลตลอด และเปิดโอกาสให้ใช้เงินเกินตัวได้ด้วยค่าเงินที่แข็งเกินจริง
โดยวิกฤติที่เกิดในลักษณะนี้ได้เห็นกันมาบ้างแล้ว เช่น วิกฤติเตกีล่าในเม็กซิโก วิกฤติเศรษฐกิจในอาร์เจนติน่า และที่สำคัญก็คือ วิกฤติต้มยำกุ้งในไทย ล้วนแล้วแต่เกิดจากการปล่อยให้เกิดภาวะสัญญาณ 333 (Triple 3 Crisis Signal) ทั้งสิ้น คือ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเกินกว่า 3% เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน และ ผลตอบแทนพันธบัตรสูงกว่าค่าอ้างอิงเกินกว่า 3% โดยประเทศในเอเชียที่เกิดเหตุการณ์นี้จนน่าจับตาว่าอาจเกิดวิกฤติเศรษฐกิจได้ ก็คือ เวียดนาม สำหรับในยุโรปนั้นก็คือ กรีซ โปรตุเกส (กลุ่ม D) นั้นแน่นอนว่าเกิดวิกฤติไปแล้ว สำหรับประเทศที่กำลังมีปัญหาตอนนี้ก็คือ อิตาลี และ สเปน (กลุ่ม C)
การให้เงินช่วยเหลือนั้นเป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น แต่การเดินหน้า แตกเงิน "ยูโร" เป็น 4 สกุล (อาจเป็น Euro-A, Euro-B, Euro-C และ Euro-D) ต่างหากที่น่าจะเป็นทางออกที่สวยงามและตรงประเด็น โดยแต่ละกลุ่มประเทศก็ใช้ค่าเงินที่แตกต่างกันไป อาจสร้างสรรค์ให้เป็นการ "แตกเพื่อโต" โดยอาจเชิญประเทศใน EU ที่ยังไม่เข้าใน "ยูโรโซน" ให้เข้ามาร่วมใช้เงินสกุลใดสกุลหนึ่ง ก็จะเป็นการสร้างต้นแบบของเงินในเอเชียได้ด้วย โดยประเทศแข็งแรงก็จะมีค่าเงินแข็ง ขณะที่ประเทศอ่อนแอก็จะมีค่าเงินอ่อน ก็จะเกิดการปรับตัวทางเศรษฐกิจได้เองเพราะค่าเงินอ่อน ย่อมส่งเสริมการค้า การท่องเที่ยวอยู่แล้ว จะทำให้กรีซ โปรตุเกส กลับมาได้ดุลบัญชีเดินสะพัด และ ลดหนี้สินต่างประเทศได้อย่างเร็ว ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรนักกับประเทศไทยในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ในที่สุดก็ผ่านมาได้อย่างสวยงาม
ประเด็นสำคัญตรงนี้ก็คือ สเปน และ อิตาลี ซึ่งมีขนาดใหญ่ติด 10 อันดับแรกของโลก ใหญ๋เกินกว่าที่จะเข้าไปอุ้มไหว หากมีความกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะมีการถอนเงินทุนออกจากประเทศที่เสี่ยงระดับเกรด C นี้ ส่วนต่าง (spread)ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ของสเปน และ อิตาลี กับ Bund (พันธบัตรของเยอรมัน) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.6% และ 3.1% แล้ว (วันที่ 20 ก.ค.)ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแห่งการแตกตัวของระบบ "ยูโร" ที่ชัดเจนมากๆ เพราะค่านี้เป็นตัวชี้ว่า สเปน และ อิตาลี ไม่เหมาะที่จะใช้ค่าเงิน "ยูโร" เหมือนกับ เยอรมัน อีกต่อไปนั่นเอง
หากจะสรุปแนวคิดตาม Taiji-Econ. ก็คือ "ยืมพลัง" กองทุนบำนาญมาแทน พลังงบประมาณภาครัฐ เพื่อช่วยเปลี่ยน "นิ่งเป็นเคลื่อน" ทำให้เศรษฐกิจหมุนได้หลายรอบ รวมถึง รัดเข็มขัดการคลังในโครงการประเภทเงินจมในกองทุน ก็จะกลับทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแทนที่จะแย่ลง ดังนั้นจะแก้ไขทั้งวิกฤติการคลังและวิกฤติการว่างงานไปได้ ขณะเดียวกันก็ "ยืมพลัง" อัตราแลกเปลี่ยนมาเพื่อปรับสมดุล กระตุ้นการส่งออก การท่องเที่ยว ทำให้ได้ดุลบัญชีเดินสะพัด และ กลไกสมดุลที่บกพร่องไปเพราะระบบเงินยูโรก็จะกลับสู่ภาวะปกติได้
เมื่อดูตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็อาจแบ่งประเทศได้เป็น 4 กลุ่มประเทศ คือ
1. กลุ่มเกรด A เช่น เยอรมัน และ เนเธอร์แลนด์ แข่งขันได้ดีมากๆ ภายใต้ค่าเงิน "ยูโร" จึงได้ดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 5.7% และ 7.7% ของ GDP ตามลำดับ อาจกล่าวได้ว่า ค่าเงินที่เหมาะสมของ 2 ประเทศนี้ควรจะแข็งค่ากว่า "ยูโร" เพื่อให้เกิดสมดุล
2. กลุ่มเกรด B เช่น ฝรั่งเศส และ เบลเยี่ยม จะมีการได้ดุลและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่เกิน 2.5% โดย 2 ประเทศนี้ตัวเลขอยู่ที่ -2.1% และ +1.4% GDP ตามลำดับ จัดได้ว่าเป็นกลุ่มประเทศที่เหมาะสมการใช้เงิน "ยูโร" มากที่สุด
2. กลุ่มเกรด C เช่น สเปน และ อิตาลี ยังไม่แข่งขันไม่ดีนัก ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ -4.5 และ -3.3% GDP ตามลำดับ ดังนั้น ค่าเงินของ 2 ประเทศนี้ ควรอ่อนค่าลงกว่าปัจจุบัน (ยูโร) เล็กน้อย เพื่อให้เกิดสมดุล
3. กลุ่มเกรด D เช่น กรีซ และ โปรตุเกส แข่งขันแทบไม่ได้เลยกับค่าเงิน "ยูโร" โดยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ -10.5 และ -9.9% GDP ตามลำดับ ค่าเงินของ 2 ประเทศนี้ ควรอ่อนค่าลงอย่างมากๆ แทนที่จะใช้ "ยูโร" เพื่อให้เกิดสมดุลขึ้นได้
ดังนั้นการที่ IMF, ECB พยายามชี้ประเด็นว่า ปัญหาอยู่ที่วิกฤติการคลังนั้น อาจเป็นการชี้ไม่ตรงประเด็นกับต้นตอของปัญหาที่แท้จริง หากจะยืดอกยอมรับตรงไปตรงมาก็อาจกล่าวได้ว่า "เงินยูโร คือ ความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของระบบเศรษฐกิจโลก" เป็นการผูกระบบเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งแตกต่างกันอย่างมากมายเข้าไว้ด้วยกันถึง 17 ประเทศ ในที่สุดจะสร้างหนี้สินต่างประเทศกับกลุ่มประเทศอ่อนแออย่างมากมาย เพราะ ค้าขายขาดดุลตลอด และเปิดโอกาสให้ใช้เงินเกินตัวได้ด้วยค่าเงินที่แข็งเกินจริง
โดยวิกฤติที่เกิดในลักษณะนี้ได้เห็นกันมาบ้างแล้ว เช่น วิกฤติเตกีล่าในเม็กซิโก วิกฤติเศรษฐกิจในอาร์เจนติน่า และที่สำคัญก็คือ วิกฤติต้มยำกุ้งในไทย ล้วนแล้วแต่เกิดจากการปล่อยให้เกิดภาวะสัญญาณ 333 (Triple 3 Crisis Signal) ทั้งสิ้น คือ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเกินกว่า 3% เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน และ ผลตอบแทนพันธบัตรสูงกว่าค่าอ้างอิงเกินกว่า 3% โดยประเทศในเอเชียที่เกิดเหตุการณ์นี้จนน่าจับตาว่าอาจเกิดวิกฤติเศรษฐกิจได้ ก็คือ เวียดนาม สำหรับในยุโรปนั้นก็คือ กรีซ โปรตุเกส (กลุ่ม D) นั้นแน่นอนว่าเกิดวิกฤติไปแล้ว สำหรับประเทศที่กำลังมีปัญหาตอนนี้ก็คือ อิตาลี และ สเปน (กลุ่ม C)
การให้เงินช่วยเหลือนั้นเป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น แต่การเดินหน้า แตกเงิน "ยูโร" เป็น 4 สกุล (อาจเป็น Euro-A, Euro-B, Euro-C และ Euro-D) ต่างหากที่น่าจะเป็นทางออกที่สวยงามและตรงประเด็น โดยแต่ละกลุ่มประเทศก็ใช้ค่าเงินที่แตกต่างกันไป อาจสร้างสรรค์ให้เป็นการ "แตกเพื่อโต" โดยอาจเชิญประเทศใน EU ที่ยังไม่เข้าใน "ยูโรโซน" ให้เข้ามาร่วมใช้เงินสกุลใดสกุลหนึ่ง ก็จะเป็นการสร้างต้นแบบของเงินในเอเชียได้ด้วย โดยประเทศแข็งแรงก็จะมีค่าเงินแข็ง ขณะที่ประเทศอ่อนแอก็จะมีค่าเงินอ่อน ก็จะเกิดการปรับตัวทางเศรษฐกิจได้เองเพราะค่าเงินอ่อน ย่อมส่งเสริมการค้า การท่องเที่ยวอยู่แล้ว จะทำให้กรีซ โปรตุเกส กลับมาได้ดุลบัญชีเดินสะพัด และ ลดหนี้สินต่างประเทศได้อย่างเร็ว ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรนักกับประเทศไทยในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ในที่สุดก็ผ่านมาได้อย่างสวยงาม
ประเด็นสำคัญตรงนี้ก็คือ สเปน และ อิตาลี ซึ่งมีขนาดใหญ่ติด 10 อันดับแรกของโลก ใหญ๋เกินกว่าที่จะเข้าไปอุ้มไหว หากมีความกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จะมีการถอนเงินทุนออกจากประเทศที่เสี่ยงระดับเกรด C นี้ ส่วนต่าง (spread)ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ของสเปน และ อิตาลี กับ Bund (พันธบัตรของเยอรมัน) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.6% และ 3.1% แล้ว (วันที่ 20 ก.ค.)ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแห่งการแตกตัวของระบบ "ยูโร" ที่ชัดเจนมากๆ เพราะค่านี้เป็นตัวชี้ว่า สเปน และ อิตาลี ไม่เหมาะที่จะใช้ค่าเงิน "ยูโร" เหมือนกับ เยอรมัน อีกต่อไปนั่นเอง
หากจะสรุปแนวคิดตาม Taiji-Econ. ก็คือ "ยืมพลัง" กองทุนบำนาญมาแทน พลังงบประมาณภาครัฐ เพื่อช่วยเปลี่ยน "นิ่งเป็นเคลื่อน" ทำให้เศรษฐกิจหมุนได้หลายรอบ รวมถึง รัดเข็มขัดการคลังในโครงการประเภทเงินจมในกองทุน ก็จะกลับทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแทนที่จะแย่ลง ดังนั้นจะแก้ไขทั้งวิกฤติการคลังและวิกฤติการว่างงานไปได้ ขณะเดียวกันก็ "ยืมพลัง" อัตราแลกเปลี่ยนมาเพื่อปรับสมดุล กระตุ้นการส่งออก การท่องเที่ยว ทำให้ได้ดุลบัญชีเดินสะพัด และ กลไกสมดุลที่บกพร่องไปเพราะระบบเงินยูโรก็จะกลับสู่ภาวะปกติได้
วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
ยูโร คือ หมูหัน
ยูโร คือ หมูหัน
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น...เงินยูโร นั้นเหมือนมีชะตากรรมที่เหมือนถูกสาปและต้องอายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็น เพราะ มีการถือกำเนิดแบบไม่มีตรรกะเหตุผลที่ดีพอมารองรับ แม้ว่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุนในยูโรโซนได้เป็นอย่างดีมาช่วงเวลาหนี่งก็ตาม อย่างไรก็ดี ค่าเงินที่ควรจะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศกลับไม่สามารถเกิดขึ้นได้ก็เพราะ "ระบบเงินยูโร" นี่เอง
เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี คนทั่วโลกก็เริ่มเห็น "ด้านมืด" ของเงินยูโรอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ประเทศที่แข็งแรง เงินเฟ้อต่ำ และ ประเทศที่อ่อนแอ เงินเฟ้อสูง กลับใช้เงินสกุลเดียวกัน ยิ่งเวลาผ่านไป ประเทศที่อ่อนแอยิ่งไม่สามารถจะแข่งขันด้านการส่งออกได้เลย เมื่อส่งออกได้น้อยนำเข้ามาก ก็พบปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและติดหนี้กับต่างประเทศจำนวนมาก โดยในปี 2008 ที่ค่าเงินยูโรเคยแข็งค่าถึงระดับ 1.60 ดอลลาร์นั้น กรีซเคยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 15% GDP ส่วนสเปนและโปรตุเกสอยู่ระดับ 10% GDP ดังนั้นจะเห็นได้ว่าประเทศเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขด้วยการรัดเข็มขัดการคลังเท่านั้น เพราะ ต้นตอของปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ถึงจะรัดเข็มขัดจนเหลือขาดดุล 3% GDP ประเทศก็ยังไม่สามารถค้าขายให้ได้ดุลมาเพื่อลดหนี้ได้ ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ระดับอัตราแลกเปลี่ยน "ยูโร" ที่ไม่เหมาะสมกับประเทศอ่อนแอเหล่านี้ต่างหาก
ประเทศที่ประสบปัญหาจนต้องขอความช่วยเหลือก่อนเพื่อนก็คือ กรีซ (G) ถัดมาก็คือ ไอร์แลนด์ (I) และ น่าจะเป็นโปรตุเกส(P)คือรายต่อไป เมื่อเรียงลำดับอักษรจากหลังมาหน้า ก็จะได้คำว่า "PIG" นั่นเอง แล้วอีก 2 ประเทศขนาดใหญ่ที่จะตามมาก็คือ สเปน (S) และ อิตาลี (I) ก็ได้เป็นคำว่า "IS" ซึ่งหาก 2 ประเทศนี้ถูกโจมตีด้วยกองทุนเฮดจ์ฟันด์อย่างได้ผลจนผลตอบแทนพันธบัตรสูงลิ่วเสียแล้วละก็ ในที่สุดก็คงถึงเวลาล่มสลายของเงิน EURO ดังนั้น อาจเรียงประโยคได้ว่า "EURO IS PIG" เงินยูโรคือ หมูหัน ที่พร้อมถูกเชือด นี่คือคำสาปจากสวรรค์
Paradox of Euro หมายถึง การขัดแย้งกันเองของเงินยูโร ประเทศที่อ่อนแอ (PIIGS) ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง แถมด้วยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ค่าเงินควรอ่อนลงในระยะยาว ขณะที่ประเทศแข็งแกร่ง (เยอรมัน) ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อต่ำ ได้ดุลบัญชีเดินสะพัด ค่าเงินควรแข็งค่าขึ้นในระยะยาว แต่ 2 กลุ่มประเทศกลับใช้ค่าเงินเดียวกัน ดังนั้น ยูโรจึงควรทั้งแข็งค่า และ อ่อนค่าในระยะยาว ?? เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันขัดแย้งกันเอง สภาพเช่นนี้จะไม่สามารถคงอยู่ได้นานนักในอนาคต ในปี 2011 จึงควรเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของระบบเงินสกุลเดียวนี้
"หมูหัน" ยังต้องมีการผ่าแบ่งซีกด้วยเช่นเดียวกันกับ "เงินยูโร" ทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดน่าจะเป็น การสร้างเงินอีกระบบหนึ่งขึ้นมารองรับ เพื่อแยกประเทศในยูโรโซน ออกเป็นอย่างน้อย 2 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแข็งแรง และ กลุ่มอ่อนแอ จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ และ ยังรักษาข้อดีของการใช้เงินสกุลร่วมกันได้ต่อไป
ธปท.ควรจะรีบนำเอาข้อความ 2 ประโยคไปบอกกับธนาคารกลางของยูโรโซน (ECB) ดังนี้ 1.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้มานานกว่า 10 ปี มันไม่แน่ว่ามันจะดีเสมอไป 2.การยื้อพยายามรักษาระบบที่ผิดพลาดเอาไว้ จะทำให้ความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ นี่คือการสื่อสารว่า "ระบบตะกร้าเงินบาท"ในอดีต กับ "เงินยูโร" ในปัจจุบัน ต่างก็มีจุดบกพร่องและสมควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขโดยเร็วที่สุด "ระบบตะกร้าเงินบาท" นั้นใช้เวลา 12 ปีกว่าจะยกเลิกไป ขณะที่เงินยูโร ก็จะครบรอบ 12 ปีในปี 2011 เช่นกัน
หากประเทศที่แข็งแรงก็ใช้เงิน Eura ใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเช่น ขาดดุลการคลังไม่เกิน 3% GDP กลุ่มนี้จะมีเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยต่ำ และ ค่าเงินจะแข็งค่าในระยะยาว ส่วนประเทศอ่อนแอใช้ Euro กันต่อไป ปรับเกณฑ์ขาดดุลการคลังให้ยืดหยุ่นขึ้นเป็น 5% GDP เบื้องต้นอาจกำหนดให้ Eura มีค่าแข็งกว่า Euro ราว 10% หลังจากนั้นก็เปิดเสรีให้ซื้อขายเป็นไปตามกลไกตลาด อาจเป็นไปได้ว่า Euro อาจดิ่งลงอย่างเร็วเหลือแค่เท่ากับ 1 ดอลลาร์ ขณะที่ Eura อาจแข็งค่าขึ้นเป็น 1.5 ดอลลาร์ นั่นหมายถึงว่า กรีซ ซึ่งฝืนใช้ค่าเงินเดียวกับ เยอรมัน เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะ ค่าเงินที่เหมาะสมนั้นอาจแตกต่างกันได้ถึง 50%
กลุ่ม PIIGS จะมีเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่า ค่าเงินจะอ่อนค่าลงในระยะยาว ซึ่งก็จะช่วยให้ภาระหนี้สินเป็น "ยูโร"ของประเทศกลุ่ม PIIGS นั้นด้อยค่าลง พร้อมๆ กับช่วยส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยวให้แข่งขันได้ดีขึ้น ช่วยประเทศลูกหนี้เหล่านี้ให้ทำมาค้าขายมีกำไรเพื่อมาลดหนี้ได้ วิธีนี้จะปรับเศรษฐกิจของยุโรปเข้าสู่สมดุลในที่สุด แม้ว่า ประเทศเยอรมัน และประเทศเอเชียที่เป็นเจ้าหนี้ "เงินยูโร" จำนวนมาก อาจต้องมีสินทรัพย์เงินยูโรที่ด้อยค่าลงไปบ้างก็ตาม
ในที่สุดแล้ว ผมคิดว่าค่าเงินที่เหมาะสมสำหรับยุโรป อาจต้องใช้เงินถึง 3 สกุลด้วยกัน Eura,Euri และ Euro เพื่อให้ประเทศที่แข็งแรง กลางๆ และ อ่อนแอ ได้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศตนเอง ยังมีอีก 11 ประเทศใน EU ที่ยังไม่เข้าในระบบยูโรโซน ก็อาจได้ใช้จังหวะนี้เพื่อโดดเข้าใช้เงิน "สกุลร่วม" 1 ใน 3 สกุล ดังนั้น ทั้งยุโรปตะวันตก ตะวันออก รวมไปถึง แอฟริกาอีกหลายประเทศ อาจเหลือเงินแค่ 3 สกุลนี้เท่านั้น และ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการ "แตกเพื่อโต" ของยุโรป และ ช่วยสร้างต้นแบบที่ดีให้กับค่าเงินในเอเชียด้วย
สำหรับการป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจอันเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน เช่น วิกฤติเตกีล่าในเมกซิโก วิกฤติต้มยำกุ้งในไทย และ วิกฤติในอาร์เจนตินาซึ่งปล่อยให้ค่าเงินแข็งเกินระดับเหมาะสมเป็นเวลานาน ส่งผลให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องจนเกิดวิกฤตินั้น แนวคิดของนายไกธ์เนอร์ รมว.คลังอเมริกาถือว่าดีทีเดียว IMF และ WTO ควรมีหน้าที่เข้ามาดูแลประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งด้านได้ดุลและขาดดุลเกินกว่า 3% GDP ติดต่อกัน 3 ปี เพื่อปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมเกิดสมดุลขึ้นได้ หากมีการเตือนภัยเช่นนี้โลกคงลดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ ไปได้มาก รวมทั้ง "วิกฤติหมูยูโร" ในครั้งนี้ด้วย
ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น...เงินยูโร นั้นเหมือนมีชะตากรรมที่เหมือนถูกสาปและต้องอายุสั้นกว่าที่ควรจะเป็น เพราะ มีการถือกำเนิดแบบไม่มีตรรกะเหตุผลที่ดีพอมารองรับ แม้ว่าจะถูกสร้างขึ้นเพื่อสนับสนุนการค้า การลงทุนในยูโรโซนได้เป็นอย่างดีมาช่วงเวลาหนี่งก็ตาม อย่างไรก็ดี ค่าเงินที่ควรจะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจของแต่ละประเทศกลับไม่สามารถเกิดขึ้นได้ก็เพราะ "ระบบเงินยูโร" นี่เอง
เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี คนทั่วโลกก็เริ่มเห็น "ด้านมืด" ของเงินยูโรอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น ประเทศที่แข็งแรง เงินเฟ้อต่ำ และ ประเทศที่อ่อนแอ เงินเฟ้อสูง กลับใช้เงินสกุลเดียวกัน ยิ่งเวลาผ่านไป ประเทศที่อ่อนแอยิ่งไม่สามารถจะแข่งขันด้านการส่งออกได้เลย เมื่อส่งออกได้น้อยนำเข้ามาก ก็พบปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและติดหนี้กับต่างประเทศจำนวนมาก โดยในปี 2008 ที่ค่าเงินยูโรเคยแข็งค่าถึงระดับ 1.60 ดอลลาร์นั้น กรีซเคยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 15% GDP ส่วนสเปนและโปรตุเกสอยู่ระดับ 10% GDP ดังนั้นจะเห็นได้ว่าประเทศเหล่านี้ไม่สามารถแก้ไขด้วยการรัดเข็มขัดการคลังเท่านั้น เพราะ ต้นตอของปัญหาไม่ได้อยู่ตรงนั้น ถึงจะรัดเข็มขัดจนเหลือขาดดุล 3% GDP ประเทศก็ยังไม่สามารถค้าขายให้ได้ดุลมาเพื่อลดหนี้ได้ ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ระดับอัตราแลกเปลี่ยน "ยูโร" ที่ไม่เหมาะสมกับประเทศอ่อนแอเหล่านี้ต่างหาก
ประเทศที่ประสบปัญหาจนต้องขอความช่วยเหลือก่อนเพื่อนก็คือ กรีซ (G) ถัดมาก็คือ ไอร์แลนด์ (I) และ น่าจะเป็นโปรตุเกส(P)คือรายต่อไป เมื่อเรียงลำดับอักษรจากหลังมาหน้า ก็จะได้คำว่า "PIG" นั่นเอง แล้วอีก 2 ประเทศขนาดใหญ่ที่จะตามมาก็คือ สเปน (S) และ อิตาลี (I) ก็ได้เป็นคำว่า "IS" ซึ่งหาก 2 ประเทศนี้ถูกโจมตีด้วยกองทุนเฮดจ์ฟันด์อย่างได้ผลจนผลตอบแทนพันธบัตรสูงลิ่วเสียแล้วละก็ ในที่สุดก็คงถึงเวลาล่มสลายของเงิน EURO ดังนั้น อาจเรียงประโยคได้ว่า "EURO IS PIG" เงินยูโรคือ หมูหัน ที่พร้อมถูกเชือด นี่คือคำสาปจากสวรรค์
Paradox of Euro หมายถึง การขัดแย้งกันเองของเงินยูโร ประเทศที่อ่อนแอ (PIIGS) ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อสูง แถมด้วยขาดดุลบัญชีเดินสะพัด ค่าเงินควรอ่อนลงในระยะยาว ขณะที่ประเทศแข็งแกร่ง (เยอรมัน) ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อต่ำ ได้ดุลบัญชีเดินสะพัด ค่าเงินควรแข็งค่าขึ้นในระยะยาว แต่ 2 กลุ่มประเทศกลับใช้ค่าเงินเดียวกัน ดังนั้น ยูโรจึงควรทั้งแข็งค่า และ อ่อนค่าในระยะยาว ?? เมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นไม่ได้เพราะมันขัดแย้งกันเอง สภาพเช่นนี้จะไม่สามารถคงอยู่ได้นานนักในอนาคต ในปี 2011 จึงควรเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของระบบเงินสกุลเดียวนี้
"หมูหัน" ยังต้องมีการผ่าแบ่งซีกด้วยเช่นเดียวกันกับ "เงินยูโร" ทางแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดน่าจะเป็น การสร้างเงินอีกระบบหนึ่งขึ้นมารองรับ เพื่อแยกประเทศในยูโรโซน ออกเป็นอย่างน้อย 2 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแข็งแรง และ กลุ่มอ่อนแอ จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ และ ยังรักษาข้อดีของการใช้เงินสกุลร่วมกันได้ต่อไป
ธปท.ควรจะรีบนำเอาข้อความ 2 ประโยคไปบอกกับธนาคารกลางของยูโรโซน (ECB) ดังนี้ 1.ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้มานานกว่า 10 ปี มันไม่แน่ว่ามันจะดีเสมอไป 2.การยื้อพยายามรักษาระบบที่ผิดพลาดเอาไว้ จะทำให้ความเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ นี่คือการสื่อสารว่า "ระบบตะกร้าเงินบาท"ในอดีต กับ "เงินยูโร" ในปัจจุบัน ต่างก็มีจุดบกพร่องและสมควรจะต้องมีการปรับเปลี่ยนแก้ไขโดยเร็วที่สุด "ระบบตะกร้าเงินบาท" นั้นใช้เวลา 12 ปีกว่าจะยกเลิกไป ขณะที่เงินยูโร ก็จะครบรอบ 12 ปีในปี 2011 เช่นกัน
หากประเทศที่แข็งแรงก็ใช้เงิน Eura ใช้กฎเกณฑ์ที่เข้มงวดเช่น ขาดดุลการคลังไม่เกิน 3% GDP กลุ่มนี้จะมีเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยต่ำ และ ค่าเงินจะแข็งค่าในระยะยาว ส่วนประเทศอ่อนแอใช้ Euro กันต่อไป ปรับเกณฑ์ขาดดุลการคลังให้ยืดหยุ่นขึ้นเป็น 5% GDP เบื้องต้นอาจกำหนดให้ Eura มีค่าแข็งกว่า Euro ราว 10% หลังจากนั้นก็เปิดเสรีให้ซื้อขายเป็นไปตามกลไกตลาด อาจเป็นไปได้ว่า Euro อาจดิ่งลงอย่างเร็วเหลือแค่เท่ากับ 1 ดอลลาร์ ขณะที่ Eura อาจแข็งค่าขึ้นเป็น 1.5 ดอลลาร์ นั่นหมายถึงว่า กรีซ ซึ่งฝืนใช้ค่าเงินเดียวกับ เยอรมัน เป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะ ค่าเงินที่เหมาะสมนั้นอาจแตกต่างกันได้ถึง 50%
กลุ่ม PIIGS จะมีเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่า ค่าเงินจะอ่อนค่าลงในระยะยาว ซึ่งก็จะช่วยให้ภาระหนี้สินเป็น "ยูโร"ของประเทศกลุ่ม PIIGS นั้นด้อยค่าลง พร้อมๆ กับช่วยส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยวให้แข่งขันได้ดีขึ้น ช่วยประเทศลูกหนี้เหล่านี้ให้ทำมาค้าขายมีกำไรเพื่อมาลดหนี้ได้ วิธีนี้จะปรับเศรษฐกิจของยุโรปเข้าสู่สมดุลในที่สุด แม้ว่า ประเทศเยอรมัน และประเทศเอเชียที่เป็นเจ้าหนี้ "เงินยูโร" จำนวนมาก อาจต้องมีสินทรัพย์เงินยูโรที่ด้อยค่าลงไปบ้างก็ตาม
ในที่สุดแล้ว ผมคิดว่าค่าเงินที่เหมาะสมสำหรับยุโรป อาจต้องใช้เงินถึง 3 สกุลด้วยกัน Eura,Euri และ Euro เพื่อให้ประเทศที่แข็งแรง กลางๆ และ อ่อนแอ ได้เลือกใช้ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจของประเทศตนเอง ยังมีอีก 11 ประเทศใน EU ที่ยังไม่เข้าในระบบยูโรโซน ก็อาจได้ใช้จังหวะนี้เพื่อโดดเข้าใช้เงิน "สกุลร่วม" 1 ใน 3 สกุล ดังนั้น ทั้งยุโรปตะวันตก ตะวันออก รวมไปถึง แอฟริกาอีกหลายประเทศ อาจเหลือเงินแค่ 3 สกุลนี้เท่านั้น และ นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการ "แตกเพื่อโต" ของยุโรป และ ช่วยสร้างต้นแบบที่ดีให้กับค่าเงินในเอเชียด้วย
สำหรับการป้องกันวิกฤติเศรษฐกิจอันเกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน เช่น วิกฤติเตกีล่าในเมกซิโก วิกฤติต้มยำกุ้งในไทย และ วิกฤติในอาร์เจนตินาซึ่งปล่อยให้ค่าเงินแข็งเกินระดับเหมาะสมเป็นเวลานาน ส่งผลให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่องจนเกิดวิกฤตินั้น แนวคิดของนายไกธ์เนอร์ รมว.คลังอเมริกาถือว่าดีทีเดียว IMF และ WTO ควรมีหน้าที่เข้ามาดูแลประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งด้านได้ดุลและขาดดุลเกินกว่า 3% GDP ติดต่อกัน 3 ปี เพื่อปรับระบบอัตราแลกเปลี่ยนให้เหมาะสมเกิดสมดุลขึ้นได้ หากมีการเตือนภัยเช่นนี้โลกคงลดปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจต่างๆ ไปได้มาก รวมทั้ง "วิกฤติหมูยูโร" ในครั้งนี้ด้วย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)