ยูโรโซน กำลังประสบกับปัญหาครั้งใหญ่  โดยมีวิกฤติทับซ้อนกันถึง 4 เรื่อง คือ วิกฤติการคลัง  วิกฤติการว่างงาน วิกฤติขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และ วิกฤติเงินยูโร    แต่สิ่งที่ IMF, EU และ ECB พยายามทำอยู่ก็คือ  การซื้อเวลา เท่านั้นเอง  ต้นตอปัญหาที่แท้จริงยังไม่ได้แก้ไขเลยแม้แต่น้อย  มันคืออะไรมาลองมาดูกันครับ
เมื่อดูตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดก็อาจแบ่งประเทศได้เป็น 4 กลุ่มประเทศ คือ 
1. กลุ่มเกรด A เช่น  เยอรมัน และ เนเธอร์แลนด์  แข่งขันได้ดีมากๆ ภายใต้ค่าเงิน "ยูโร" จึงได้ดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึง 5.7% และ 7.7% ของ GDP ตามลำดับ   อาจกล่าวได้ว่า  ค่าเงินที่เหมาะสมของ 2 ประเทศนี้ควรจะแข็งค่ากว่า  "ยูโร" เพื่อให้เกิดสมดุล
2. กลุ่มเกรด B เช่น ฝรั่งเศส และ เบลเยี่ยม   จะมีการได้ดุลและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดไม่เกิน 2.5%  โดย 2 ประเทศนี้ตัวเลขอยู่ที่ -2.1% และ +1.4% GDP ตามลำดับ  จัดได้ว่าเป็นกลุ่มประเทศที่เหมาะสมการใช้เงิน "ยูโร" มากที่สุด  
2. กลุ่มเกรด C เช่น สเปน และ อิตาลี   ยังไม่แข่งขันไม่ดีนัก  ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ -4.5 และ -3.3% GDP ตามลำดับ  ดังนั้น  ค่าเงินของ 2 ประเทศนี้  ควรอ่อนค่าลงกว่าปัจจุบัน (ยูโร) เล็กน้อย  เพื่อให้เกิดสมดุล
3. กลุ่มเกรด D เช่น กรีซ และ โปรตุเกส   แข่งขันแทบไม่ได้เลยกับค่าเงิน "ยูโร" โดยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่ -10.5 และ -9.9% GDP ตามลำดับ  ค่าเงินของ 2 ประเทศนี้  ควรอ่อนค่าลงอย่างมากๆ  แทนที่จะใช้ "ยูโร" เพื่อให้เกิดสมดุลขึ้นได้
ดังนั้นการที่ IMF, ECB พยายามชี้ประเด็นว่า  ปัญหาอยู่ที่วิกฤติการคลังนั้น  อาจเป็นการชี้ไม่ตรงประเด็นกับต้นตอของปัญหาที่แท้จริง  หากจะยืดอกยอมรับตรงไปตรงมาก็อาจกล่าวได้ว่า  "เงินยูโร คือ ความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงของระบบเศรษฐกิจโลก" เป็นการผูกระบบเศรษฐกิจที่มีความแข็งแกร่งแตกต่างกันอย่างมากมายเข้าไว้ด้วยกันถึง 17 ประเทศ   ในที่สุดจะสร้างหนี้สินต่างประเทศกับกลุ่มประเทศอ่อนแออย่างมากมาย  เพราะ ค้าขายขาดดุลตลอด  และเปิดโอกาสให้ใช้เงินเกินตัวได้ด้วยค่าเงินที่แข็งเกินจริง 
โดยวิกฤติที่เกิดในลักษณะนี้ได้เห็นกันมาบ้างแล้ว  เช่น  วิกฤติเตกีล่าในเม็กซิโก  วิกฤติเศรษฐกิจในอาร์เจนติน่า  และที่สำคัญก็คือ วิกฤติต้มยำกุ้งในไทย  ล้วนแล้วแต่เกิดจากการปล่อยให้เกิดภาวะสัญญาณ 333 (Triple 3 Crisis Signal) ทั้งสิ้น  คือ  การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเกินกว่า 3% เป็นเวลา 3 ปีติดต่อกัน  และ ผลตอบแทนพันธบัตรสูงกว่าค่าอ้างอิงเกินกว่า 3% โดยประเทศในเอเชียที่เกิดเหตุการณ์นี้จนน่าจับตาว่าอาจเกิดวิกฤติเศรษฐกิจได้ ก็คือ เวียดนาม  สำหรับในยุโรปนั้นก็คือ  กรีซ โปรตุเกส (กลุ่ม D) นั้นแน่นอนว่าเกิดวิกฤติไปแล้ว  สำหรับประเทศที่กำลังมีปัญหาตอนนี้ก็คือ อิตาลี และ สเปน (กลุ่ม C)  
การให้เงินช่วยเหลือนั้นเป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น  แต่การเดินหน้า แตกเงิน "ยูโร" เป็น 4 สกุล (อาจเป็น Euro-A, Euro-B, Euro-C และ Euro-D) ต่างหากที่น่าจะเป็นทางออกที่สวยงามและตรงประเด็น  โดยแต่ละกลุ่มประเทศก็ใช้ค่าเงินที่แตกต่างกันไป  อาจสร้างสรรค์ให้เป็นการ "แตกเพื่อโต" โดยอาจเชิญประเทศใน EU ที่ยังไม่เข้าใน "ยูโรโซน" ให้เข้ามาร่วมใช้เงินสกุลใดสกุลหนึ่ง  ก็จะเป็นการสร้างต้นแบบของเงินในเอเชียได้ด้วย โดยประเทศแข็งแรงก็จะมีค่าเงินแข็ง  ขณะที่ประเทศอ่อนแอก็จะมีค่าเงินอ่อน  ก็จะเกิดการปรับตัวทางเศรษฐกิจได้เองเพราะค่าเงินอ่อน  ย่อมส่งเสริมการค้า การท่องเที่ยวอยู่แล้ว   จะทำให้กรีซ โปรตุเกส  กลับมาได้ดุลบัญชีเดินสะพัด  และ ลดหนี้สินต่างประเทศได้อย่างเร็ว  ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรนักกับประเทศไทยในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง  ในที่สุดก็ผ่านมาได้อย่างสวยงาม
ประเด็นสำคัญตรงนี้ก็คือ  สเปน และ อิตาลี  ซึ่งมีขนาดใหญ่ติด 10 อันดับแรกของโลก  ใหญ๋เกินกว่าที่จะเข้าไปอุ้มไหว  หากมีความกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  จะมีการถอนเงินทุนออกจากประเทศที่เสี่ยงระดับเกรด C นี้    ส่วนต่าง (spread)ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี  ของสเปน และ อิตาลี  กับ Bund (พันธบัตรของเยอรมัน) เพิ่มขึ้นสู่ระดับ 3.6% และ 3.1% แล้ว  (วันที่ 20 ก.ค.)ซึ่งนั่นเป็นสัญญาณแห่งการแตกตัวของระบบ "ยูโร" ที่ชัดเจนมากๆ  เพราะค่านี้เป็นตัวชี้ว่า  สเปน และ อิตาลี  ไม่เหมาะที่จะใช้ค่าเงิน "ยูโร" เหมือนกับ เยอรมัน  อีกต่อไปนั่นเอง
หากจะสรุปแนวคิดตาม Taiji-Econ. ก็คือ "ยืมพลัง" กองทุนบำนาญมาแทน พลังงบประมาณภาครัฐ  เพื่อช่วยเปลี่ยน "นิ่งเป็นเคลื่อน" ทำให้เศรษฐกิจหมุนได้หลายรอบ  รวมถึง  รัดเข็มขัดการคลังในโครงการประเภทเงินจมในกองทุน  ก็จะกลับทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแทนที่จะแย่ลง ดังนั้นจะแก้ไขทั้งวิกฤติการคลังและวิกฤติการว่างงานไปได้   ขณะเดียวกันก็ "ยืมพลัง" อัตราแลกเปลี่ยนมาเพื่อปรับสมดุล  กระตุ้นการส่งออก  การท่องเที่ยว  ทำให้ได้ดุลบัญชีเดินสะพัด  และ กลไกสมดุลที่บกพร่องไปเพราะระบบเงินยูโรก็จะกลับสู่ภาวะปกติได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น