ดอกเบี้ย และ เงินเฟ้อ : ความเชื่อผิดๆ  
 ธนาคารกลางทั่วโลกมีความเชื่อคล้ายๆ กันว่า  การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะช่วยสกัดเงินเฟ้อ และ การลดอัตราดอกเบี้ยลงจะช่วยกระตุ้นเงินเฟ้อเพิ่มนั้น....แท้ที่จริงแล้วเป็นความเชื่อที่ผิด  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น.....
 เหตุผลก็คือ  แรงกิริยาที่เกิดจาการลด หรือ ขึ้นดอกเบี้ย   จะช่วยกระตุ้น หรือชะลอสินเชื่อเพื่อการบริโภคและการลงทุนนั้น  แท้ที่จริงแล้ว  ยังมีแรงปฏิกิริยาสะท้อนกลับในทางตรงข้ามถึง 5 แรง  ซึ่งผมได้ตั้งชื่อให้ว่า  Taiji-Econ.'s Five Forces  ดังนี้
1. ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น : หากขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น  เงินเฟ้อจึงสูงขึ้น  แทนที่จะชอลตัวลง
2. ผลตอบแทนเงินฝาก : หากขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้วจะส่งผลให้คนระดับนายทุน  มีรายได้จากดอกเบี้ยรับสูงขึ้น  เพิ่มกำลังซื้อขึ้น  จึงทำให้เกิดเงินเฟ้อสูงขึ้นแทนที่จะชะลอตัวลง
3. ผลตอบแทนค่าเช่า :  การขึ้นอัตราดอกเบี้ย  จะเป็นการเพิ่ม yield ของค่าเช่าทางอ้อม  ทำให้เจ้าที่ดินเจ้าของอสังหาริมทรัพย์  มีผลตอบแทนค่าเช่าที่สูงขึ้น  ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ
4. เงินทุนต่างชาติไหลเข้าเพิ่ม : ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น  จะดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาหาผลตอบแทนที่ดีกว่า  ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อ
5. เงินทุนไหลออกลดลง : ดอกเบี้ยที่สูงขึ้น  จะทำให้เงินทุนที่ควรจะไหลออกเพื่อไปลงทุนต่างประเทศนั้น  ลดลงกว่าระดับที่ควรจะเป็น  กระแสเงินในประเทศจึงเหลือมาก  เงินจึงเฟ้อ
เมื่อมีผลกระทบในทางตรงกันข้ามกับแนวคิดเดิม   การที่ธนาคารกลางในประเทศกำลังพัฒนาขึ้นอัตราดอกเบี้ย  จึงส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อเพิ่มแทนที่จะชะลอเงินเฟ้อ   และ การที่ธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้ว  ลดอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น (ดอกเบี้ยมาตรฐาน)  และ ดอกเบี้ยระยะยาว (มาตรการ QE)  ลง  ก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อลดลงหรือเงินฝืด  แทนที่จะเร่งอัตราเงินเฟ้อขึ้น
มี 4 ปัจจัยที่ทำให้แรงกิริยาแบบเดิมๆ นั้นส่งผลน้อยลง  ขณะที่แรงสะท้อนกลับส่งผลแรงยิ่งขึ้น  ทำให้ทฤษฎีการเงินแบบเดิมๆ ไม่ได้ผลตามคาด   แต่กลับส่งผลในทางตรงกันข้ามแทน  โดยเฉพาะเกิดขึ้นในประเทศพัฒนาแล้ว   ผมตั้งชื่อ 4 ปัจจัยนี้ว่า LOAD factors 
1. L (Liberalisation)  การเงินเสรี รวมไปถึงการค้าการลงทุนเสรีนั้น  ทำให้การลดอัตราดอกเบี้ยลง  แทนที่จะไปเพิ่มสินเชื่อเพื่อการลงทุน  เพิ่มการจ้างงาน   เงินทุนเหล่านั้นกลับหนีออกไปยังต่างประเทศเพื่อหาผลตอบแทนที่สูงกว่า  
2. O (Overcapacity)   มีกำลังการผลิตล้นเหลือแทบจะทุกภาคส่วนของโลก  ดังนั้น  การลดอัตราดอกเบี้ยลง จึงไม่ไปเพิ่มการลงทุนโดยตรง  ไม่เพิ่มการจ้างงาน ไม่เพิ่มเงินเฟ้อ  มีแต่จะไปเพิ่มในส่วนของการลงทุนในหุ้นและพันธบัตรแทน
3. A (Aging Society)   สังคมผู้สูงอายุ  ทำให้การบริโภคลดลง  ด้วยคนเกษียณมีรายได้ที่ลดลง  พร้อมๆ ไปกับวิถีชีวิตที่บริโภคลดลงตามวัยด้วย  การลดอัตราดอกเบี้ยลง  กลับทำให้รายรับจากดอกเบี้ยเงินฝากของคนกลุ่มนี้ลดลง  ทำให้กำลังซื้อ และ เงินเฟ้อของประเทศชะลอตัว
4. D (Deleveraging)  ประเทศพัฒนาแล้วมีการสร้างหนี้อย่างมากในอดีต  จำเป็นต้องมีการลดภาระหนี้สินลง  ดังนั้น  การลดดอกเบี้ยลงเพื่อหวังกระตุ้นสินเชื่อจึงหวังได้ยาก
LOAD factors นี้เอง ทำให้ผลของทฤษฎีการเงินแบบเดิมๆ ไม่เห็นผล  แต่แรงสะท้อนกลับยิ่งส่งผลที่มากขึ้น  ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางทั่วโลกเป็นสิ่งที่ผิดพลาดทั้งหมด
นี่เป็นการค้นพบว่า “โลกกลม” ในทางเศรษฐศาสตร์หรือไม่  ขณะที่คนของธนาคารกลางทั่วโลก  เห็นว่า “โลกแบน”  ที่จริงแล้วคงไม่ถึงขนาดนั้น.... เพราะว่า  ระดับเด็กประถม หรือ ชาวบ้านธรรมดาก็เข้าใจได้อย่างถูกต้องและง่ายดาย   ลองไปถามดูสิครับว่า  “หากแม่ค้าต้องจ่ายดอกเบี้ยให้กับนายทุนนอกระบบสูงขึ้น   ข้าวของในตลาดจะแพงขึ้นหรือว่าถูกลง”   ผมเชื่อว่า  แทบจะทุกคนตอบได้อย่างสบาย  และ สำหรับเด็กประถมศึกษา  ดูจากสมการ  อัตราดอกเบี้ย (nominal rate)  = อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real rate) + เงินเฟ้อ (infloation)    ดังนั้น  การขึ้นอัตราดอกเบี้ย....นั่นหมายถึง  เงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั่นเอง  เรื่องง่ายๆ เด็กๆ 
แล้วทำไมเรื่องง่ายๆ ที่ชาวบ้านก็เข้าใจได้ถูกต้อง  แต่ระดับผู้บริหารธนาคารกลางจึงเข้าใจผิดไปได้   ประเด็นอยู่ที่ “ตำราเศรษฐศาสตร์” ไงครับ  พวกท่านเหล่านั้นเรียนตำราเล่มเดียวกัน  จึงบริหารตาม “ภูมิปัญญาตำรา” ของเศรษฐศาสตร์การเงินที่บกพร่อง  ขณะที่ “ภูมิปัญญาชาวบ้าน” นั้นถูกต้องดีอยู่แล้ว   ในอนาคตของเนื้อหาบทความนี้ถูกไปเสริมในทฤษฎีการเงินมหภาคก็อาจจะช่วยให้เข้าใจได้ถูกต้องยิ่งขึ้น
ทางแก้ไขก็คือ  ธนาคารกลางทั่วโลกต้องรีบดำเนินนโยบายแบบ “ย้อนศร” กับแบบเดิม   ประเทศพัฒนาแล้วอย่าง ญี่ปุ่น  อเมริกา  ซึ่งพยายามลดดอกเบี้ยมาหลายปี  แต่อัตราเงินเฟ้อก็ต่ำมากๆ  ต้องรีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อเร่งเงินเฟ้อ  และ  ขายพันธบัตรที่ธนาคารกลางสะสมเอาไว้จำนวนมาก (Anti-QE)  อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นในระยะสั้นและยาว   จะไปเพิ่มต้นทุนทางการเงิน  กระตุ้นเงินเฟ้อ  จะดึงดูดเงินต่างชาติเข้ามา และเงินจะไหลออกลดลง   ส่วนประเทศกำลังพัฒนาอย่าง อินเดีย และ เวียดนาม  ซึ่งขึ้นดอกเบี้ยมาเป็นปีแล้ว  แต่เงินเฟ้อก็ยังสูงระดับ 8-9% มาตลอดเช่นกัน   ต้องรีบลดอัตราลงมาเพื่อลดต้นทุนการเงิน  ลดเงินเฟ้อลง   ชะลอเงินไหลเข้าจากต่างชาติ   
เรื่องแบบนี้อาจดูขัดกับความรู้สึกของผู้กำหนดนโยบาย  แต่เป็นเรื่องธรรมดามากๆ ของชาวบ้าน  น่าสงสัยว่าจะมีธนาคารกลางของประเทศใดบ้าง  ที่จะเปลี่ยนความเชื่อแบบผิดๆ แบบเดิมๆ ทิ้งเสีย   เดินหน้านโยบาย “ย้อนศร” กับของเดิม  เพื่อนำพาเศรษฐกิจโลกไปยังทิศทางที่ถูกต้องได้..... ขอเรียกร้องให้  ธปท.เริ่มก่อนเลยดีไหมครับ ???
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น