พวกเราคนไทยรู้จักกันดีกับ "อริยสัจ 4" ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ   "ทุกข์-สมุทัย-นิโรธ-มรรค" มีการนำไปเปรียบเทียบกับวิทยาศาสตร์อยู่บ่อยๆ   แล้วสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องอะไรกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ได้อย่างไรกัน ??
จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์  บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์มหภาค  ได้นำแนวคิดนี้   มาจนสร้าง "ทฤษฎีการคลัง" ขึ้นมา 
- กับดักสภาพคล่อง (Liquidity Trap)  ซึ่งเป็นการชี้ถึงปัญหาของนโยบายการเงิน  แม้ลดอัตราดอกเบี้ยลงจนติดดิน  ก็ไม่สามารถกระตุ้นสินเชื่อและฟื้นฟูเศรษฐกิจได้  นี่คือ "ทุกข์"  
- ความขัดแยังของการมัธยัสถ์  (Paradox of Thrift) หากบุคคลหนึ่งคนพยายามรัดเข็มขัดประหยัดอาจเป็นเรื่องที่ดี  แต่หากทุกคนพยายามประหยัดในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแล้ว  จะส่งผลให้รายได้รวมของประเทศลดลง  การค้าระหว่างประเทศก็ลดลงด้วย  สุดท้ายแล้วจะเก็บออมไม่ได้ในที่สุด  ขัดแย้งกันเองกับเป้าหมายเดิม  นี่คือ "สมุทัย" 
- การจ้างงานเต็ม (Full Employment) คือ เป้าหมายเพื่อให้เกิดการใช้ปัจจัยการผลิตเต็ม "ศักยภาพ" และ มี "ดุลยภาพ"  นี่คือ "นิโรธ" 
- ทฤษฎีการคลัง (Fiscal Theory)  โดยการใช้แนวคิด  ผลของตัวทวี (multiplier effect) เพิ่มขาดดุลการคลัง เพื่อช่วยกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนของเอกชน  ส่งให้ GDP เพิ่มได้เป็นหลายเท่าตัวจากผลนั้น   นี่คือ "มรรค"  
แนวคิดของอริยสัจ 4 ได้ช่วยให้ค้นพบ "เหรียญด้านที่ 3"  โดยพระพุทธเจ้าได้ค้นพบ  ด้านที่ "ไม่ตึงเกินไป" และ "ไม่หย่อนเกินไป" หรือ ทางสายกลางนั่นเอง  ส่วนเคนส์ ก็พบเช่นกันในการกระตุ้นอุปสงค์ด้านที่ "ไม่ใช่จากเอกชนในประเทศ" (การบริโภคและลงทุน) และ "ไม่ใช่อุปสงค์ต่างประเทศ" (การส่งออก) จึงมาเป็นคำตอบเหรียญด้านที่ 3 คือ  อุปสงค์จากการใช้จ่ายภาครัฐ อย่างไรก็ดี  ทฤษฎีเคนส์  ขาดความเป็น "อกาลิโก" 80 ปีก่อนนั้นเป็นทฤษฎีที่ยอดเยี่ยมมากจนอาจกล่าวได้ว่า "ช่วยชีวิตทุนนิยม" เอาไว้  แต่ 80 ปีให้หลัง  สิ่งนี้กลับกลายเป็นทฤษฎี "ดีแต่กู้" ที่ฝ่ายค้านนำมาโจมตีรัฐบาลทุกประเทศทุกยุคสมัย  และ สร้างปมเงื่อนปัญหาหนักจนอาจกลายมาเป็น  "ปมสังหารทุนนิยม" ได้เลย
หากเรามาลองคิดตามระบบของ ศาสดาแห่งศาสนาพุทธ  และ  ปรมาจารย์ของเศรษฐศาสตร์มหภาค  กันดูบ้าง
- กับดักเคนส์ (Keynes Trap)  เพื่อเป็นเกียรติแด่ปรมาจารย์ "เคนส์" ผมจึงคิดว่าใช้ชื่อนี้เหมาะสมยิ่งแล้ว  สิ่งนี้คือการที่หนี้ภาครัฐต่อ GDP เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ไม่ว่าจะเลือกทาง "รัดเข็มขัด" ยอมให้เศรษฐกิจตกต่ำลง หรือว่า "คลายเข็มขัดพยุงเศรษฐกิจ" สร้างหนี้ภาครัฐก้อนโดต่อไปก็ตาม  จะพบคำพูด "austerity or stimulus" มากมายใน google คือ เลือกระหว่าง "หัว หรือ ก้อย"  นักวิชาการส่วนใหญ่ก็เชื่อแบบนั้น  คือ คิดว่าเหรียญย่อมมี 2 ด้านเสมอจึงมักพบกับทางตันของปัญหา    เมื่อมีคนถามถึงปัญหาของหนี้ภาครัฐในระยะยาว  เคนส์ตอบเลี่ยงไปว่า "ในระยะยาวแล้ว  พวกเราทุกคนจะตายหมด" ซึ่งก็จริงที่ว่าคนรุ่น "เคนส์" ได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว  แต่ที่แย่ก็คือ  "วิกฤติการคลัง"  ได้เปลี่ยนจากปัญหาระยะยาว กลายมาเป็น ปัญหาเร่งด่วนของคนรุ่นเราไปเสียแล้ว  นี่คือ "ทุกข์"    
- ความขัดแย้งของกองทุนบำนาญ (Paradox of Pension) นักวิชาการพยายามบอกว่าควรออมมากๆ  เพิ่มสินทรัพย์ของกองทุนบำนาญเข้าไปเพื่อรองรับสังคมสูงอายุ   ขณะเดียวกันควรลดหนี้ภาครัฐลงมา  ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันขัดแย้งกันเองในตัว  เพราะราว 70-80% ของสินทรัพย์กองทุนบำนาญ ก็คือ หนี้สินของภาครัฐ (พันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจ) นั่นเอง   การที่รัฐบาลพยายามสนับสนุนเรื่องนี้ด้วยการสมทบเงินของรัฐก็ดี  ลดหย่อนภาษีวงเงินสูงสำหรับเงินออมบำนาญก็ดี  จะทำให้การใช้จ่ายโดยรวมลดลง ขณะที่ ภาระหนี้ภาครัฐสูงขึ้นด้วย  นี่คือ  "สมุทัย" ซึ่งเป็น  ต้นเหตุของวิกฤติการคลัง
- การเติบโต "เต็มศักยภาพ" และ "มีดุลยภาพ" และ หลุดพ้นจาก "กับดักเตนส์" คือ หนี้ภาครัฐต่อ GDP ไม่เพิ่มสูงขึ้น เป็นเป้าหมาย  นี่คือ "นิโรธ"
- การคลังไท้เก๊ก (Taiji Fiscal Theory)  โดย "ยืมแรงสะท้อนแรง"  และ  "ในนิ่งมีเคลื่อน" ของกองทุนบำนาญ จะเป็นทางแก้ไขปัญหา  ยืมพลังหยางจากกองทุนบำนาญหากเศรษฐกิจเย็นเกินไป  จึงทำให้เกิดการรัดเข็มขัดการคลังพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจได้ (austerity with stimulus)  ซึ่งเป็นทางแก้ไขปัญหาแบบเหรียญด้านที่ 3
เมื่อมาดูปัญหาของ "เงินยูโร"  ซึ่งเป็นเรื่องเร่งด่วนอีกเรื่องของเศรษฐกิจโลกดูบ้าง
- กับดักยูโร (Euro Trap) คือ การที่ประเทศอ่อนแอ (PIIGS) เมื่อเข้ามาในยูโรโซน และ ออกไปไม่ได้  ขณะที่เศรษฐกิจแข่งขันด้านการส่งออกท่องเที่ยวไม่ได้   เสียสมดุลของ "ดุลบัญชีเดินสะพัด" หนี้สินต่างประเทศพอกพูน   นี่คือ "ทุกข์" 
- ความขัดแย้งของการผูกค่าเงิน (Paradox of Peg) ที่จริงแล้วโลกเคยมีบทเรียนมาแล้วเรียกว่า "กับดักดอลลาร์"  เช่น ประเทศเม็กซิโก อาร์เจนติน่า และ ไทย  ในอดีตล้วนแล้วแต่ผิดพลาดมาแล้วทั้งสิ้น  ด้วยการผูกค่าเงินกับ "ดอลลาร์" จึงเกิดความขัดแย้งกันเองในตัว  เพราะ แข่งขันด้านส่งออกไม่ได้จึงขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัดสูงต่อเนื่องหลายปี   ต้องให้อัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อดึงเงินทุนไว้  ลักษณะเศรษฐกิจเช่นนี้ปกติแล้วค่าเงินควรจะอ่อนลง  แต่ก็เกิดขึ้นไม่ได้เพราะ ผูกค่าเงินเอาไว้กับดอลลาร์ และเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันเมื่อทศวรรษ 1930 "กับดักมาตรฐานทองคำ" ด้วย  แต่ยุโรปไม่เคยเรียนรู้กับเรื่องราวในอดีต  สำหรับ  กรีซและโปรตุเกส ก็เช่นกัน  การผูกค่าเงินยูโรซึ่งตัดสินจากความแข็งแรงของเศรษฐกิจ เยอรมัน และ ฝรั่งเศส (ขนาดราวครึ่งหนึ่งของยูโรโซน) ทั้งๆที่หากประเมินระดับเงินเฟ้อ  อัตราดอกเบี้ย  และ ดุลบัญชีเดินสะพัด  แล้ว  เยอรมัน เนเธอร์แลนด์ควรมีค่าเงินแข็งขึ้น  ส่วนกรีซ โปรตุเกส  ควรมีค่าเงินที่อ่อนลงในระยะยาว แต่การผูกค่าเงิน 2 กลุ่มประเทศไว้จึงเป็นความผิดพลาดขัดแย้งกันเอง   นี่คือ "สมุทัย"  
- การเติบโตอย่างมี "ดุลยภาพ" ของดุลบัญชีเดินสะพัด  และ แข่งขันได้ตาม "ศักยภาพ" คือ เป้าหมาย  นี่คือ "นิโรธ"
- Fx ไท้เก๊ก หรือ Sanfeng333  โดยการจัดระบบให้ประเทศที่แข็งแรงใกล้เคียงกันใช้เงินสกุลเดียวกันได้  แต่หากมีประเทศซึ่งแข่งขันไม่ไหว คือ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากกว่า 3% ติดต่อกัน 3 ปี และ มีส่วนต่างดอกเบี้ย (spread) สูงกว่า 3% ก็ควรจะต้องเปลี่ยนไปใช้เงินระบบอื่น  วิธีนี้จะรักษาทั้ง "เอกภาพ" และ "ดุลยภาพ" เอาไว้ได้
โดยเหรียญด้านที่ 1 พยายามรักษาระบบ "ยูโร" ทั้ง 17 ประเทศเอาไว้ เป็นการรักษา "เอกภาพ" ไว้  แต่ระบบจะขาด "ดุลยภาพ"  เหรียญด้านที่ 2 คือ ตัดหางปล่อยวัด ประเทศกรีซ โปรตุเกส ออกไปใช้เงินสกุลเดิมตามยถากรรม  วิธีนี้แม้รักษา "ดุลยภาพ" ของประเทศอ่อนแอไว้ได้  แต่จะขาดซึ่ง "เอกภาพ" ของยุโรป    ส่วนทางออกแบบเหรียญด้านที่ 3 คือ การจัดระบบการแตกตัวอย่างสร้างสรรค์  แม้จะเสียประเทศที่อ่อนแอไปจากยูโรโซน  ก็ควรเชื้อเชิญประเทศที่แข็งแรงเช่น  สวีเดน  นอร์เวย์  เดนมาร์ก และ สวิตเซอร์แลนด์  ซึ่งตอนนี้ใช้เงินสกุลตนเองนั้นมาร่วมใช้  "Euro" ด้วย เพราะเป็นประเทศเกรด A  ส่วนประเทศพื้นฐานกลางๆ อย่าง  อิตาลี  สเปน  ไอร์แลนด์ ก็อาจเชิญชวน  อังกฤษ  เพื่อมาเป็นพี่เบิ้มของเงินสกุลใหม่ "Euri" ก็น่าจะเหมาะสม  และ สุดท้ายประเทสอ่อนแอ  กรีซ โปรตุเกส  ก็ควรไปรวมค่าเงินกับยุโรปตะวันออก เช่น  รัสเซีย  ตุรกี  โปแลนด์  รวมถึงหลายประเทศในแอฟริกา   กลายเป็นเงินสกุลใหม่  "Eura" ด้วยวิธีนี้ค่าเงินของยุโรปก็จะเหลือแค่ 3 สกุลเท่านั้น  เป็นการ "แตกเพื่อโต" อย่างมีระบบ  โดย Euri และ Eura ควรใช้ระบบ Crawling Peg (เกาะค่าเงินไว้แต่ยอมให้อ่อนค่าลงทีละน้อย) กับ Euro  วิธีนี้จะทำให้ประเทศสมาชิกในกลุ่ม EU เข้าสู่สมดุลและเติบโตตาม "ศักยภาพ" ได้  จะมีทั้ง "เอกภาพ" และ "ดุลยภาพ" ไปได้พร้อมๆ กัน   โดย ECB ที่ดูแลนโยบายการเงินทั้ง 3 สกุลนี้  ขนาดเศรษฐกิจใหญ่มากเทียบเท่ากับ 2 ยักษ์ใหญ่ อเมริกา และ จีน รวมกันหรือราวๆ  20 ล้านล้านเหรียญ สรอ.จะเป็นขั้วอำนาจที่สำคัญยิ่งกว่าเดิม  นี่คือ "มรรค" นั่นเอง
"อริยสัจ 4 แสงส่องชี้  เหรียญด้านที่ 3" กลอนสั้นๆ บทนี้หากนำไปใช้สอนเด็กและเยาวชน  จะช่วยส่งเสริมความรู้ด้านพุทธศาสนา (ซึ่งเป็นจุดแข็งของไทย) เชื่อมโยงกับ "มุมมองที่แตกต่าง"  ไม่แน่ว่าเด็กและเยาวชนไทยจะคิดสร้างความรู้ใหม่ๆ  นวัตกรรมใหม่ๆ  ให้แก่โลกได้จำนวนมากพร้อมๆกับการเป็นคนดีมีความสุข   อันเป็นความภาคภูมิใจและอนาคตของประเทศชาติต่อไป   นี่อาจเป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของ  "การปฏิรูปการศึกษาไทย" นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น