การพยายามเร่งประเทศอ่อนแอให้รัดเข็มขัดปฏิรูปการคลัง รวมไปการอัดฉีดเงินผ่าน EFSF และ ESM เพื่อช่วยเหลือแบงก์ในสเปนก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น ต้นเหตุที่แท้จริงยังไม่ได้รับการแก้ไขแต่อย่างใดเลย สิ่งที่ยูโรโซนจะต้องทำก็คือ "การปฏิรูปเงินยูโร" ต่างหาก
ก่อนอื่นต้องยอมรับเสียก่อนว่า "เงินยูโร" คือต้นเหตุของวิกฤติในยูโรโซน โดยการผูกค่าเงินประเทศแข็งแรงไว้กับประเทศอ่อนแอนั้น จะทำให้ประเทศอ่อนแอ (PIIGS่) มีเศรษฐกิจที่ออกห่างจากจุดดุลยภาพออกไปเรื่อยๆ ยิ่งทิ้งไว้นายยิ่งเป็นปัญหา การผูกค่าเงินโดยหวังให้ค่าเงินมั่นคงมีเสถียรภาพนั้น ในระยะยาวแล้วกลับทำให้เศรษฐกิจเสียดุลยภาพและขาดเสถียภาพต่างหาก ผมตั้งชื่อให้ว่า Paradox of Peg (ความขัดแย้งของการผูกค่าเงิน)
International Fisher Effect คือ ทฤษฎีการเงินระหว่างประเทศที่ชี้ว่า ในระยะยาวประเทศที่มีเงินอัตราเงินเฟ้อสูงกว่า (กรีซ) ค่าเงินจะต้องชดเชยลงด้วยการอ่อนลงของค่าเงิน แต่การผูกค่าเงินกับประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อต่ำ (เยอรมัน) เป็นเงินยูโร ทำให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่ได้ การใช้เงินยูโรหากเป็นแค่ 2-3 ปีแรกจะไม่มีปัญหาอะไรนัก แต่เมื่อเวลายิ่งผ่านไปเกิน 10 ปี PIIGS จะเสียดุลยภาพมากขึ้นเรื่อยๆ หากประเมินอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย 12 ปีของกรีซอยู่ที่ 3% ขณะที่เยอรมัน 1.5% หมายถึง ข้าวของในกรีซมีราคาสูงขึ้นเร็วกว่าในเยอรมันไปแล้วราว 20% ในช่วงเวลา 12 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินของกรีซ ควรจะอ่อนลงด้วยอัตราเดียวกัน ค่าเงินที่เหมาะสมกับกรีซ ควรอ่อนค่ากว่าปัจจุบัน 20% เช่นกัน .... แต่ "ยูโร" เป็นตัวบีบไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นตามทฤษฎีนี้
โดยปกติเมื่อเศรษฐกิจถดถอย ประเทศต่างๆ จะปรับตัว การนำเข้าจะลดลงทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเข้าสู่สมดุล หรือ เป็นบวก แต่นั่นไม่ใช่กับประเทศ PIIGS ซึ่งแม้ ศก.จะเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว แต่ค่าเงินที่ปรับตัวลดลงไม่ได้ ยังคงผูกกับ "ยูโร" จึงทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดติดลบหนักๆ ต่อไป โดย กรีซ โปรตุเกส สเปน และ อิตาลี ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด 9.8% 6.4% 3.5% และ 3.2% ตามลำดับในปี 2011 ซึ่งนั่นหมายถึง แม้ประเทศเหล่านี้พยายามรัดเข็มขัดการคลังจนเศรษฐกิจถดถอย การว่างงานสูงกว่า 20% แล้วก็ตาม PIIGS ยังคงใช้จ่ายเงินเกินตัวอยู่อย่างมาก หนี้สินต่างประเทศยังคงเพิ่มอย่างต่อเนื่อง นับเป็นเรื่องน่ากังวลมากๆ เพราะ ประเทศเหล่านี้ยังพึ่งพามากขึ้น ยังยืนบนเงินกู้ของประเทศแข็งแรงมากขึ้น แทนที่จะพยายามหาวิธียืนบนขาของตนเองให้ได้
การปล่อยเงินกู้ไม่ว่าจะมาจาก ECB, IMF, EFSF หรือ ESM ก็ตาม ก็เหมือนการใช้ "พลังเงิน" จำนวนมาก เพื่อนำช้อนมาคนน้ำและน้ำมันเข้าด้วยกัน แล้วใช้วาทกรรมว่า "พวกเรายังคงเป็นหนึ่งเดียว" เรื่องแบบนี้คงหลอกคนในยูโรโซนและคนทั่วโลกได้อีกไม่นานนักเป็นแน่
สิ่งที่ดีกว่าก็คือ การรีบแก้ไขในสิ่งผิด ยอมรับว่า "ยูโร" คือ สิ่งผิดพลาดและเป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง ทำให้ PIIGS ใช้เงินเกินตัว ขาดดุลบัญชีเดินสะพัด สร้างหนี้่ต่างประเทศจำนวนมาก มีการปล่อยกู้จนเกิดฟองสบู่แตก ภาครัฐจึงต้องเข้าไปรับหนี้แทนภาคเอกชนด้วยการเพิ่มทุนเข้าไปในแบงก์ พร้อมๆ กับประคองเศรษฐกิจไว้ด้วย การขาดดุลการคลังและหนี้สินภาครัฐจึงพองตัวขึ้น เมื่อความเชื่อมั่นถดถอยลง เงินไหลออกนอกประเทศ ดอกเบี้ยพันธบัตรจึงวิ่งขึ้นสูงลิ่ว เศรษฐกิจก็ถดถอยต่อเนื่อง เมื่อไม่สามารถลดค่าเงินลงได้ ทุกอย่างจึงมืดมิดยิ่งนัก เหมือนเดินเข้าสู่อุโมงค์โดยไม่มีหวังเห็นแสงสว่าง
"การปฏิรูปเงินยูโร" จึงเป็นทางออกสุดท้าย ด้วยการแตกเงินยูโรเป็น 3 สกุล เพื่อรองรับกลุ่มประเทศอ่อนแอ กลางๆ และแข็งแรง โดยอาจใช้ชื่อเป็น Eura Euri และ Euro ซึ่งเป็นแนวทางให้ PIIGS หยุดใช้เงินยูโร โดยใช้เงินที่อ่อนค่าลงเพื่อฟื้นเศรษฐกิจและดึงดุลยภาพกลับมาได้ แต่ประเทศเหล่านี้ยังคงอยู่ในยูโรโซนต่อไป โดย ECB ดูแลค่าเงินทั้ง 3 สกุล นอกจากนี้ก็พยามยามชวนประเทศใน EU ที่อยู่นอกยูโรโซนอีก 10 ประเทศ มาเลือกใช้ค่าเงินสกุลร่วมที่เหมาะสม 1 ใน 3 สกุลนั้น ก็จะทำให้ "ยูโรโซน" มีขนาดที่ใหญ่ขึ้นแทนที่จะเล็กลง ผมคิดว่ามีแต่วิธีแบบนี้เท่านั้น จึงจะทำให้ยุโรปกลับมามีเสถียรภาพ มีดุลยภาพ และ มีเอกภาพได้อีกครั้งหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น