วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ฟีนิกซ์ไท้เก๊ก : ทฤษฎีเด็ดใช้ปฏิวัติการศึกษาไทย

หลังจากที่ผมได้คิดค้น 4 ทฤษฎีด้านเศรษฐศาสตร์ คือ การคลังไท้เก๊ก  การเงินไท้เก๊ก  FX ไท้เก๊ก และ บำนาญไท้เก๊ก จนประกอบกันเป็นศาสตร์แขนงใหม่ "เศรษฐศาสตร์ไทเ้ก๊ก" เรียบร้อยแล้ว   ผมกลับได้พบรูปแบบของการสร้างทฤษฎีใหม่  ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการศึกษาของประเทศไทย  ผมให้ชื่อมันว่า "ทฤษฎีฟีนิกซ์ไท้เก๊ก"  (Taiji Phoenix Thoery)  โดยอาจกล่าวได้ว่าเป็นนี่คือ ทฤษฎีเพื่อสร้างทฤษฎีใหม่

หากคิดว่านี่เป็นการเลียนแบบ "ภาคีนกฟีนิกซ์" ในเรื่องแฮรี่ พอตเตอร์ ละก็  คิดผิดแล้วครับ  เพราะว่า ผมและเพื่อนๆ ได้จัดตั้งกลุ่มฟีนิกซ์  มีเป้าหมายเพื่อพิชิต "ข้อสอบเอ็นทรานซ์" มาตั้งแต่สมัยเตรียมอุดมฯ เมื่อ 30 ปีก่อนแล้ว  เค้าโครงเรื่องคล้ายๆ กันนี้เกิดก่อน  เจ.เค.โรลลิ่ง จะสร้างพล็อตเรื่องให้การรวมกลุ่ม "ภาคีนกฟีนิกซ์"  เพื่อหาทางพิชิตเจ้าแห่งศาสตร์มืดลอร์ดโวลเดอร์เมอร์นานหลายปีทีเดียว

แนวคิดของทฤษฎีนี้ก็คือ  จากกรอบแนวคิดของคนธรรมดา  ประกอบไปด้วย 4 จุดสร้างเป็นสี่เหลี่ยม  หากเราลากเส้นทแยงมุมเชื่อมความสัมพันธ์แบบย้อนแย้ง  ทะลุกรอบแนวคิดเดิมๆ  วาดเป็น "ปีกนกฟีนิกซ์" ขึ้นมา  จึงอาจไม่ใช่การเปลี่ยนกระบวนทัศน์  (paradigm shift)   แต่เป็นการติดปีกให้กับกรอบความรู้เดิม   สร้างเป็นองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้  

ยกตัวอย่างเช่น  คนธรรมดาจะคิดว่า "สุขคือไม่ทุกข์ และ ไม่สุขคือทุกข์"  นี่คือกรอบแนวคิดปกติ  หากเราลากเส้นทแยงมุมตีทะลุกรอบเดิม  สร้างเป็น "ปีกนกฟีนิกซ์" ขึ้นมา  ก็จะได้ว่า  "สุขคือทุกข์ และ ไม่สุขคือไม่ทุกข์"  นี่ืคือ ความรู้ใหม่ในยุคสมัยนั้น  พระพุทธเ้จ้าได้้ค้นพบ  โดยเป็นการกล่าวถึงลักษณะของจิตใจที่กระเพื่อมหรือว่านิ่งๆ   ความรู้ใหม่นี้เองได้กลายมาเป็น "ศาสนาพุทธ" ในปัจจุบัน

นอกจากนี้  คนธรรมดาจะคิดว่า "นิ่งคือนิ่ง เคลื่อนคือเคลื่อน"  นี่่คือกรอบแนวคิดปกติ  จนกระทั่งปรมาจารย์จางซานฟง  ได้ค้นพบความรู้ใหม่ว่า "นิ่งคือเคลื่อน  เคลื่อนคือนิ่ง"  (อาจแปลได้ว่า  ในนิ่งมีเคลื่อน  ในเคลื่อนมีนิ่ง)   และ ได้กลายมาเป็น "มวยไท้เก๊ก" ที่โด่งดังตั้งแต่ 800 ปีก่อนจนถึงปัจจุบัน  ที่จริงแล้วท่านน่าจะได้รับการยกย่องให้เป็น   บิดาแห่งวิชาฟิสิกส์  ด้วยซ้ำ   มิใช่ กาลิเลโอ หรือว่า นิวตัน  เนื่องจากวางรากฐานของการหยุดนิ่งการเคลื่อนที่  การยืมแรงสะท้อนแรง  เอาไว้ทั้งหมด   และ เล่าจื๊อ ก็ได้กลายมาเป็น "ปรมาจารย์แห่งเต๋า" ก็เพราะได้ค้นพบว่า  "หยินคือหยาง หยางคือหยิน" นั่นเอง

คนธรรมดาจะคิดว่า "สสารคือสสาร และ พลังงานคือพลังงาน"  นี่คือ กรอบแนวคิดปกติ   จนกระทั่ง  อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์  ได้ค้นพบว่า "สสารคือพลังงาน   พลังงานคือสสาร"  ท่านจึงได้กลายเป็น บิดาแห่งฟิสิกส์นิวเคลียร์ไป  และ สมการอันโด่งดังนั้นก็ัยังคงยืนยงมาถึงปัจจุบัน

ทางด้านเศรษฐศาสตร์   กรอบความรู้เดิมคือ "หากรัดเข็มขัดการคลังเศรษฐกิจจะแย่ลง   หากทุ่มงบประมาณไปเศรษฐกิจจะดีขึ้น"   การใช้แนวคิดแบบย้อนแย้งแบบ จึงเกิดเป็น "การคลังไท้เก๊ก" ที่สามารถจะรัดเข็มขัดการคลัง พร้อมๆ กับทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้โดยการยืมพลังจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะ กองทุนบำนาญ   ความรู้ใหม่ชี้ว่า  สำนักเคนส์บอกว่า ค่าตัวทวีสูงกว่า 1 นั้นเป็นจริง เพราะ ในอดีต 80 ปีก่อนนั้นกองทุนบำนาญต่างๆ ไม่มี  จึงไม่มีตัวดูดพลังของนโยบายการคลัง  และ สำนักนีโอคลาสสิคที่บอกว่า ค่าตัวทวีอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1 นั้นก็เป็นจริงอีก เพราะ ปัจจุบันกองทุนบำนาญต่างๆ มีมากมาย  รัฐบาลใส่เงินทั้งสมทบโดยตรง  สมทบอ้อม (หักลดหย่อนภาษี)  หรือ การจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตร ก็ล้วนทำให้เงินเหล่านั้นเปลี่ยนสภาพเป็นนิ่งในกองทุน  ไม่ได้มาหมุนเศรษฐกิจแต่อย่างใด   การค้นพบว่าบางโครงการนั้นมีค่าตัวทวี "ติดลบ" กันเลย  การรัดเข็มขัดในโครงการเหล่านี้จึงช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจได้

ผมใช้เวลาถึง 8 ปีกว่าจะคิดค้น "การคลังไท้เก๊ก"  ออกมาได้ (แต่ยังมีนักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลหลายท่านที่ยังเดินวนๆ อยู่ในกรอบความรู้ของเคนส์อยู่เลย)  หากผมรู้เรื่องราวของ "ฟีนิกซ์ไท้เก๊ก" มาก่อน  ก็คงไม่ต้องหลงทางไปนานขนาดนั้น   อาจย่นระยะเวลาเหลือแค่ 8 วินาทีเท่านั้นเอง

"ฟีนิกซ์ไท้เก๊ก"  จึงเป็นเรื่องสำคัญเพราะ  หากบทความนี้ได้เผยแพร่ออกไปจะทำให้ย่นระยะเวลาการคิดทฤษฎีใหม่ๆ ลงได้มาก    ภายใน 1 ปีก็อาจมีคนไทยคิดค้นทฤษฎีใหม่ๆ ให้กับโลกได้เป็นร้อยทฤษฎี   บางคนอาจกำลังเรียนอยู่ระดับมัธยมหรือเป็นนักศึกษาด้วยซ้ำ  ไม่เพียงแต่ทำให้ไทยได้เป็นผู้นำด้านความรู้วิชาการในกลุ่มประเทศ AEC เท่านั้น   แต่ยังนำหน้าประเทศจีนและญี่ปุ่นอีกด้วย

นอกจากนี้  วิทยาการด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์พื้นฐาน (ฟิสิกส์ เคมี ชีวะฯ)   วิทยาศาสตร์ประยุกต์ (แพทยศาสตร์  วิศวกรรมศาสตร์ เภสัชศาสตร์)  รวมไปถึงด้านสังคมศาสตร์ (เศรษฐศาสตร์  รัฐศาสตร์  นิติศาสตร์)  ชาวตะวันตกได้ก้าวหน้าอย่างมากและถ่ายทอดให้กับเอเชียมาหลายร้อยปี    โดยอาจเริ่มมาตั้งแต่สมัยกาลิเลโอ (บิดาแห่งวิทยาศาตร์ยุคใหม่) ได้ทำการทดลองโยนก้อนหินที่หอเอนปิซ่าเมื่อ 500 ปีก่อนหน้านี้   ไม่แน่ว่าไทยอาจเปลี่ยนสถานะจากการเป็นลูกศิษย์หลานศิษย์ของฝรั่ง  กลายมาเป็น  อาจารย์เพื่อถ่ายทอดวิทยาการให้แก่ชาวตะวันตกบ้างก็เป็นได้

ความคิดที่ไม่ได้ไปสู่การกระทำนั้นบางทีมันก็ไร้ประโยชน์  นั่นก็อาจจะจริง  แต่ลองมองย้อนไปดูเราจะพบว่า  คนเรียนเศรษฐศาสตร์ทุกคนรู้จัก จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ในฐานะ "บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์มหภาค"  ขณะที่คนนำทฤษฎีเคนส์ไปใช้คนแรกนั้นน่าจะเป็น  อดีต รมว.คลังของญี่ปุ่น สามารถฟื้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นในยุคนั้นภายในปีเดียว เขาได้รับฉายา "เคนส์แห่งญี่ปุ่น"  แต่มีคนเรียนเศรษฐศาสตร์รู้จักชื่อของเขากี่คน .....   คนเรียนฟิสิกส์ทุกคนรู้จัก  อัลเบิร์ต ไอสไตน์  ในฐานะ "บิดาแห่งฟิสิกส์นิวเคลียร์" แต่ถามว่ามีกี่คนที่รู้จักชื่อของคนสร้างระเบิดนิวเคลียร์ และ เตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ??   โลกให้เครดิตแก่ "นักคิด" หรือ "นักทำ" มากกว่ากันละครับ ??

การศึกษาไทยที่ปฏิรูปอย่างไรก็ไม่สำเร็จเสียที  หายใจรวยรินใกล้สิ้นชีพ  ก็อาจฟื้นชีวิตขึ้นมาใหม่กลายเป็น "นกฟีินิกซ์" ที่สดใสได้อย่างเหลือเชื่อ  นี่อาจเป็นก้าวแรกของการเปลี่ยนการศึกษาโดยสิ้นเชิง เพราะ ความรู้เก่าๆ เดิมๆ นั้นหาได้จาก google และ youtube หมดแล้ว   นี่ไม่ใช่การปฏิรูปการศึกษาเพื่อให้ไทยวิ่งตามหลังเพื่อนบ้านได้ทัน  แต่เป็นการ "ปฏิวัติการศึกษา" เพื่อให้ไทยขึ้นไปอยู่ระดับแนวหน้าด้านวิทยาการของโลกกันเลยทีเดียว  ......  ฝันไกลไปหน่อยไหมครับ ??

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น