"หน้าผาทางเศรษฐศาสตร์" อาจเป็นคำศัพท์ที่ค้นหาความหมายได้ยากหน่อยใน google เพราะเป็นศัพท์ที่ผมบัญญัติขึ้นมาใหม่ แนวคิดคือ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจตามแนวทฤษฎีเดิมๆ เมื่อไปถึงจุดหนึ่่งจำเป็นจะต้องมีการกลับทิศทาง ก่อให้เกิดสภาพการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้านเศรษฐกิจ อันรวมถึง การคลัง การเงิน และ อัตราแลกเปลี่ยน
Fiscal Cliff "หน้าผาการคลัง" หมายถึง การรัดเข็มขัดการคลังอย่างเร็ว ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการหดตัวทางเศรษฐกิจได้ เรื่องนี้ทางอเมริกาเป็นห่วงมากๆ ว่าอาจเกิดขึ้นได้ในปี 2013 หลังเลือกตั้งประธานาธิบดี หากไม่เร่งรีบแก้ไขกฏหมายด้านลดหย่อนภาษีเสียก่อน
ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อทฤษฎีเคนส์ เดินหน้าไปเรื่อยๆ ขณะที่การเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ระดับต่ำเนื่องจาก โครงสร้างประชากรเปลี่ยนจาก "พีระมิด" เป็น "โอ่งน้ำ" ทำให้การเติบโตชะลอตัวลงมากโดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว หนี้สินภาครัฐต่อ GDP จะวิ่งสูงไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ต้องมีการพิจารณาจะ "รัดเข็มขัดการคลัง" อยู่ดี ขึ้นกับว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น และ ประเทศในยุโรป เช่น อังกฤษ และ ประเทศอ่อนแอในยูโรโซน (PIIGS) นั้นได้เลือกที่จะเดินตก "หน้าผาการคลัง" ไปแล้วด้วยซ้ำ โดยได้เลือกหนทางรัดเข็มขัดการคลัง และผลลัพธ์คือ เศรษฐกิจเดินหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอยรอบ 2 ไปแล้ว
วิธีแก้ไขในเรื่องนี้คือ "การคลังไท้เก๊ก" ที่ใช้แนวคิด "ยืมพลัง" และ "นิ่งคือเคลื่อน" ของกองทุนต่างๆ โดยเฉพาะกองทุนบำนาญ มาเพื่อให้เอกชนสามารถขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปได้เอง โดยพึ่งพาพลังของภาครัฐลดลง วิธีนี้จึงสามารถจะรัดเข็มขัดการคลังไปพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจได้
Monetary Cliff "หน้าผาการเงิน" หมายถึง สภาพที่ประเทศต่างๆ ได้พยายามสกัดเงินเฟ้อด้วย การขึ้นอัตราดอกเบี้ย มีการเพิ่มปริมาณเงิน (M2) มากกว่าระดับการเิติบโตทางเศรษฐกิจรวมเงินเฟ้อ (Nominal GDP Growth) ซึ่งเป็นการสร้างภาวะฟองสบู่ให้เกิดขึ้น เมื่อขึ้นดอกเบี้ยก็ยิ่งดึงดูดเงินจากต่างประเทศเข้ามาเก็งกำไรมากขึ้น แทนที่จะสกัดเงินเฟ้อ กลับยิ่งทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้นจากต้นทุนการเงินที่เพิ่ม และ จากปริมาณเงินที่ไหลเข้ามาเก็งกำไร
เมื่ออัตราดอกเบี้้ยสูงขึ้นเรื่อยๆ ไปถึงจุดหนึ่งจะเหมือนกับการนำเข็มไปจิ้มลูกโป่ง ซึ่งอันตรายมากๆ ที่มันจะแตกในที่สุด โดยทฤษฎีการเงินเดิมๆ ที่ว่า "ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ" นำมาซึ่งผลลัพธ์ของวิกฤติวาซาบิในญี่ปุ่นปี 1991 แทบไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านั้นญี่ปุ่นได้ขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก 2.5% ไปถึง 6% เพื่อหวังสกัดเงินเฟ้อ แต่ความจริงแล้วมันสกัดการเิติบโตและทำให้ฟองสบู่แตก จนต้องลดดอกเบี้ยลดอย่างเร็วเป็น "หน้าผา" แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่นัก เศรษฐกิจติดอยู่ใน "กับดักสภาพคล่อง" มาถึง 20 ปี นอกจากนี้ วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกาปี 2008 ก็เช่นเดียวกัน อเมริกาได้ขึ้นดอกเบี่้ยนโยบายจาก 1% ไปจนถึง 5.25% เพื่อหวังสกัดเงินเฟ้อ แต่ผลลัพธ์กลับเป็นการทำให้ฟองสบู่อสังหาฯ แตกลง และ วิกฤติได้ลุกลามไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบันก็ยังไม่ฟื้นตัวดีนัก
เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน QE ไปส่งผลให้ BRIC (บราซิล รัสเซีย อินเดียและีจีน) ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อในปี 2010-11 เนื่องจากการดูดซับสภาพคล่องไม่หมดจึงมีการเพิ่มของปริมาณเงิน (M2) วิ่งเร็วมาก ประเทศจีนสูงถึง 28% อินเดียสูงถึง 22% ทั้งๆที่ควรดูแลไม่ให้เกิน 12-15% เท่านั้น เมื่อ บราซิลขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปถึง 12.5% และ อินเดีย 8.5% ซึ่งเป็นระดับที่สูงเกินไปกว่าเศรษฐกิจจะรับได้ ฟองสบู่ก็แตกตัวออก การเติบโตลดลงกว่าระดับศํกยภาพอย่างเร็ว บราซิลเหลือแค่ 0.8% อินเดียเหลือแค่ 5.3% ในไตรมาสล่าสุด ทั้งๆ ที่น่าจะโตได้ระดับ 5% และ 8% ตามลำดับ หากรวมผลจากค่าเงินที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ลงไปแล้วราว 20% แปลได้ว่า GDP ของ 2 ประเทศใหญ่นี้เดินหน้าสู่ภาวะในถดถอยในรูปเงินดอลลาร์ไปแล้ว สถานการณ์อาจเลวร้ายลงกว่านี้ได้อีก โดยเศรษฐกิจ BRIC อาจชะลอตัวถึงขั้นถดถอยเมื่อรวมผลลัพธ์กับวิกฤติในยูโรโซนจะกลายเป็น "วิกฤติหมูหัน" อาจกล่าวได้ว่า BRIC กลายเป็นเหยื่อของมาตรการ QE ที่พิมพ์เงินจำนวนมากออกมาจากประเทศพัฒนาแล้ว
"หน้าผาการเงิน" จึงอันตรายยิ่งนัก การเิดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ ด้วยการขึ้นดอกเบี้ยหวังสกัดเงินเฟ้อ เป็นแนวคิดที่ผิดพลาดเพราะมันจะไม่ช่วยสกัดเงินเฟ้อแ่ต่จะสกัดการเติบโตแทน ในที่สุดแล้วจะตกหน้าผากลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจในที่สุด "การเงินไท้เก๊ก" จึงเสนอให้ลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อสกัดเงินเฟ้อ เพราะจะลดต้นทุนทางการเงินลง พร้อมๆ กับ ลดแรงจูงใจการดึงดูดเงินเก็งกำไรจากต่างชาติอีกด้วย นอกจากนี้จะต้องดูแล M2 ให้อยู่ระดับเหมาะสมไม่ให้เกิดภาวะฟองสบู่โดยตั้งมีการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อป้องกันเงินร้อนที่เข้ามาเก็งกำไรและดูดซับสภาพคล่องส่วนเกินออกไป
Forex Cliff "หน้าผาอัตราแลกเปลี่ยน" คือ เมื่อการรักษาการผูกค่าเงินคงที่ไว้ไม่ได้ เงินตราต่างประเทศไหลออกอย่า่งต่อเนื่อง จนต้องมีการลดค่าเงินจากระดับเดิม จะ่ส่งผลให้เกิดวิกฤติค่าเงิน เช่น วิกฤติเตกีล่าในเม็กซิโก และ วิกฤติต้มยำกุ้งในไทย
แนวคิดของทฤษฎีอัตราแลกเปลี่่ยนเดิมๆ คือ การพยามรักษาให้มีเสถียรภาพและคงที่ แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับทำให้เสียสมดุลของดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นอย่างมาก เพราะ การสูญเสียความสามารถในการแข่งขัน โดยเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะสูงกว่าประเทศอ้างอิง โดย กรีซ ผูกค่าเงินกับ เยอรมัน ย่อมเป็นไปไม่ได้โดยธรรมชาิติอยู่แล้ว เมื่อไปถึงจุดหนึ่งที่ทนไม่ได้ก็ต้องมีการลดค่าเงินลงอยู่ดี และ ความเีสียหายตรงนี้น่าจะถึงระดับวิกฤติ โดย GDP ของไทยนั้นลดลงไป 10% คิดเป็นเงินบาท แต่หากรวมผลกระทบจากค่าเงินที่อ่อนลง 40% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ หมายถึง GDP ไทยสูญหายไปถึง 50% เลยทีเดียวหากคิดเป็นเงินดอลลาร์ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง
Forex ไท้เก๊ก จึงเป็นทางแก้ไขโดยให้ดูแลดุลบัญชีเดินสะัพัดอย่าให้ขาดดุลเกินกว่า 3% ต่อปีติดต่อกัน 3 ปี และ ดูแลอัตราดอกเบี้ยระยะยาวไม่ให้เกิดส่วนต่าง (premium) เกินกว่า 3% กับประเทศอ้างอิง กรณีของเงินยูโรนั้น การกดอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของ อิตาลี และ สเปน ลงเพื่อให้ใช้ระบบ "ยูโร" ต่อไปโดยการยืมพลังจาก CDS นั้นอาจพอเป็นไปได้ แต่สำหรับกรีซแล้วเป็นนั่นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย การนำค่าเงิน 3 สกุลที่เหมาะสมมาใช้กับแต่ละกลุ่มประเทศ เช่น Eura Euri และ Euro ก็อาจเป็นคำตอบที่ดีกว่า
จะเห็นได้ว่าแนวคิดของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เดิมๆ นั้นไม่เพียงแต่ไม่สามารถนำพาเศรษฐกิจโลกให้เดินออกจากเขาวงกตแห่ง "กับดักเศรษฐกิจ" ได้เท่านั้น เมื่อมองย้อนอดีตดูกลับพบว่า "ป้ายบอกทาง" เหล่านั้นล้าสมัยและผิดพลาด มักจะนำพาให้ประเทศต่างๆ เดินหน้าไปสู่ "หน้าผาทางเศรษฐศาสตร์" และ ประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้งหลายหน ปัญหาจึงไม่ได้อยู่ที่คนขับซึ่งปกติมักจะมีความเชี่ยวชาญชำนาญอยู่แล้ว แต่ปัญหากลับอยู่ที่ "ป้ายบอกทาง" ต่างหาก บางทีโลกอาจต้องพิจารณาการนำทางด้วย GPS ที่ทันสมัยกว่าป้ายบอกทางแบบเดิมๆ และ "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" อาจเป็นส่วนหนึ่งของคำตอบนั้นครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น