หากการไม่เข้าใจถึง "สมุทัย" แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึง "มรรค" และ "นิโรธ" กันเลย การที่ ECB มองว่าปัญหาทั้งมวลในยูโรโซน นั้นเกิดจากการขาดดุลการคลังที่สูง รวมไปถึงหนี้ภาครัฐที่สูงเกินไป นั้นเป็นการมองปัญหาที่ปลายเหตุ ตัวอย่างเช่น ทำไมสเปน ซึ่งมีหนี้ภาครัฐเพียง 69% GDP จึงมีปัญหาเศรษฐกิจที่หนักหนาสาหัสกว่า อังกฤษ (85%) อเมริกา (103%) และ ญี่ปุ่น (212%) อย่างมาก ถึงแม้จะดูที่การขาดดุลการคลัง สเปนที่ 4.5% นั้นก็ต่ำกว่าระดับ 7-8% GDP ของประเทศยักษ์ใหญ่ทั้ง 3 นั้นอยู่หลายขุม
เหตุแห่งปัญหาที่แท้จริงในยูโรโซนก็คือ "ระบบเงินยูโร" นั่นเอง ด้วยการผูกค่าเงินประเทศแข็งแรงกับประเทศอ่อนแอไว้ด้วยกัน ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศอ่อนแอ (PIIGS) ขาดดุลอย่างมาก ส่งผลให้หนี้สินต่างประเทศสะสมต่อเนื่อง เป็นลักษณะอาการเดียวกันกับ วิกฤติเตกีล่าของเม็กซิโก และ วิกฤติต้มยำกุ้งของไทย ต่างหาก
เมื่อมองเหตุแห่งปัญหาผิดๆ ก็เลยแก้ไขปัญหาแบบผิดๆ เช่น
- แทนที่จะให้ กรีซ ได้ใช้ค่าเงินที่เหมาะสม ECB กลับให้กรีซทนใช้ค่าเงินที่ไม่เหมาะสม (เงินยูโร) ต่อไป ทั้งๆที่ค่าเงินที่เหมาะสมในการสร้างสมดุลบัญชีเดินสะพัดได้ค่าเงินควรจะอ่อนกว่านี้ราว 20-25%
- แทนที่จะให้กรีซ สร้างสมดุลกับต่างประเทศได้ ปรากฏว่าการดำรงเงินยูโรไว้ ทำให้กรีซ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 9.8% GDP ในปี 2011 แม้เศรษฐกิจจะย่ำแย่มากๆ แล้วก็ตาม เมื่อดูจากการขาดดุลสะสมที่่มากกว่า 5% GDP ต่อเนื่องกัน 12 ปีแล้ว อาจกล่าวได้ว่าอาการของวิกฤติในกรีซ ดูจะย่ำแย่กว่า วิกฤติต้มยำกุ้งของไทยเสียอีก
- แทนที่จะมุ่งทำให้เศรษฐกิจกรีซฟื้นตัว กลับบังคับให้ "รัดเข็มขัดการคลัง" ทำให้เกิดการว่างงานมากขึ้นเรื่อยๆ สูงกว่าระดับ 25% ไปแล้ว และ ไม่มีวี่แววจะดีขึ้นแต่อย่างใด ประชาชนจำนวนมากต้องไปคุ้ยถังขยะเพื่อหาอาหารใส่ท้องกิน จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะมีการประท้วงอย่างรุนแรงทั่วประเทศ
"การรัดเข็มขัด" จะส่งผลให้เศรษฐกิจแย่ลง รายได้รัฐบาลลดลงไปด้วย จึงทำให้ไม่สามารถรัดเข็มขัดได้ตามแผน ซึ่งเป็นปัญหาที่เรียกว่า "ปฏิทรรศน์ของการรัดเข็มขัด" (paradox of austerity) ซึ่งเคนส์ก็ได้เตือนเรื่องแบบนี้ไว้แล้วถึง 80 ปีก่อนหน้านี้
หากจะวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมาก็คือ "โลกอยู่ในภาวะที่อันตรายอย่างยิ่ง เพราะ ปล่อยให้องค์กรที่ไม่เข้าใจถึงต้นตอปัญหาที่แท้จริง เข้ารับผิดชอบดูแลแก้ไขปัญหาที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในยุโรป การแก้ไขปัญหาจึงผิดทิศผิดทาง และ ไร้มนุษยธรรมอย่างยิ่ง"
ทางออกของเรื่องนี้คือ การใช้ทฤษฎีใหม่อย่าง "FX ไท้เก๊ก" เพื่อให้ PIIGS ได้ใช้ค่าเงินที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจของประเทศตนเอง โดยการแบ่งค่าเงินเป็น 3 ระดับ Eura Euri และ Euro ก็น่าจะเป็นเรื่องที่จะช่วยสร้างทั้ง ดุลยภาพ และ เอกภาพในยุโรปได้ ส่วน "การคลังไท้เก๊ก" ก็ควรนำมาเชื่อเพื่อให้ประเทศ กรีซ สเปน สามารถรัดเข็มขัดการคลัง ไปพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจได้ โดยใช้แนวคิด "การยืมพลัง" และ "ในนิ่งมีเคลื่อน" มาช่วย ซึ่งเรื่องนี้เป็นแนวคิดนอกกรอบของทฤษฎีเคนส์แบบเดิมๆ
สำหรับประเทศอเมริกา และ ญี่ปุ่นนั้น จำเป็นต้องรัดเข็มขัดการคลังในปี 2013 เพราะหนี้สินภาครัฐเริ่มสูงเกินไปแล้ว แม้จะไม่ถึงขั้น "หน้าผาการคลัง" (fiscal cliff) แต่ก็น่าจะเป็นระดับ "ทางลาดการคลัง" (fiscal slope) และ การรัดเข็มการคลังราว 3 แสนล้านเหรียญ สรอ. หรือราว 2% GDP ของสหรัฐอเมริกา ก็อาจผลักให้ประเทศเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรอบ 2 ได้ไม่ยาก ซึ่งก็เป็นสถานการณ์ที่ไม่ต่างกับญี่ปุ่นนัก
"วิกฤติหมูหัน" จึงเดินหน้ามาเยือนโลกของเราอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก และ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์เดิมๆ ทั้งการคลัง การเงิน อัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบันไม่สามารถต่อกรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมจึงได้คิดค้นทฤษฎีใหม่ออกมา 4 ทฤษฎี ประกอบกันขึ้นเป็นศาสตร์แขนงใหม่ของโลก "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" (Taiji-Econ.) กลายเป็นรูปเล่มแล้วด้วยการสนับสนุนของ "กรุงเทพธุรกิจ" ซึ่งหากแปล "ไท้เก๊ก" เป็นภาษาอังกฤษได้ว่า "supreme ultimate" ดังนั้น ศาสตร์ใหม่นี้ก็คือ "เศรษฐศาสตร์ขั้นสุดยอด" นั่นเอง
ผมเชื่่อมั่น 99.99% ว่า นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลเกือบทุกท่านไม่รู้จักว่า "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" คืออะไรและมีประโยชน์อะไรต่อเศรษฐกิจโลก นี่นับเป็นโอกาสซึ่งมีเพียงไม่กี่ครั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่นักศึกษาและคนไทยจะสามารถมีความรู้ทฤษฎีใหม่ๆ ที่ล้ำหน้ากว่าชาติใดๆ ในโลก โดยศาสตร์แขนงใหม่นี้อาจเป็นก้าวแรกของ "การปฏิวัติการศึกษาไทย" ก็เป็นได้ หากสนใจก็ลองหาอ่านดูนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น