วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ปรองดองไท้เก๊ก

หลังจากที่ผมได้คิดค้นทฤษฎีการคลังไท้เก๊ก  ซึ่งนับเป็น1 ใน 4 ทฤษฎีใหม่ของ "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก"  สิ่งใหม่นี้สามารถจะแก้ปมเงื่อนตายของทฤษฎีเคนส์  หรือ"กับดักเคนส์" ได้   และ ผมคิดว่าเราน่าจะประยุกต์สิ่งนี้มาใช้เพื่อแก้ปมเงื่อนตายของการเมืองไทย หรือ "กับดักเหลืองแดง" ได้ด้วยเช่นกัน  เนื่องจาก ไท้เก๊ก แปลเป็นอังกฤษว่า "supreme ultimate"  ดังนั้น "ปรองดองไท้เก๊ก"  อาจแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า  "ทฤษฎีสุดยอดปรองดอง"  ซึ่งนี่นับเป็น 1 ใน 4 ทฤษฎีใหม่ของ "รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก" ซึ่งผมอาจจะได้นำเสนอทฤษฎีที่เหลือต่อไปในอนาคต

ก่อนอื่นผมขอยืนยันว่าไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลย  แต่มีความมุ่งหวังในฐานะคนไทยคนหนึ่งที่ต้องการเห็นประเทศชาติเดินไปข้างหน้าได้โดยมีความขัดแย้งความอาฆาตพยาบาทลดลงโดยใช้หลักการของไท้เก๊กมาช่วย    แนวคิดแบบปกติสามัญแล้ว  "นิ่งก็คือนิ่ง"  "เคลื่อนก็คือเคลื่อน"  แต่ในแนวคิดของไท้เก๊กจะเพิ่มมาอีก 2 แนวทาง นั่นก็คือ "นิ่งคือเคลื่อน" และ "เคลื่อนคือนิ่ง"   แทนที่จะมี 2 แนวทาง จึงเพิ่มได้เป็น 4 แนวทาง  ดังนั้น  "การคลังไท้เก๊ก"  ซึ่งใช้แนวคิด "นิ่งคือเคลื่อน" จึงทำให้สามารถรัดเข็มขัดการคลังไปพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจได้ด้วยการยืมพลัง   โดยที่ทฤษฎีการคลังแบบเคนส์จะทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้เลย

สิ่งนี้แม้จะคล้ายคลึงกับ "วิถีแมนเดลา" หรือ "ทางเลือกที่ 3"  ซึ่งชี้แนะว่า เราควรเลือกทางตรงกลาง ไม่ใช่ ประตูซ้ายหรือประตูขวาที่ปิดตาย  แต่แนวคิดนี้จะทำให้มีทางเลือกทั้งหมด 4 ทางด้วยกัน  ไม่เลือกทั้งประตูซ้ายและขวา  แต่ควรเลือก "ช่องบน" หรือ "ขอบล่าง"  ประตูต่างหากเป็นทางออก

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเมืองไทย ??   หากคิดแบบสามัญ  การเลือกแนวทางสีแดง  ก็จะทำให้ขัดใจ "คนเสื้อเหลือง"  เช่น  การเดินหน้าพรบ.ปรองดองนิรโทษกรรม  แต่ หากจะเลือกแนวทางสีเหลือง   แช่แข็งนักการเมือง ล้มรัฐบาล  ขอพระราชทานนายกฯ ม.7  ก็จะขัดใจ  "คนเสื้อแดง"    ดังนั้น การเลือกแนวทางการเมืองแบบ "เหลือง-แดง" ย่อมขัดใจกลุ่มคนฝั่งตรงข้ามเสมอ  และ นั่นจะนำมาซึ่งความขัดแย้งในสังคมไทย   โดยเหลืองเน้นการอนุรักษ์  ส่วนแดงเน้นการเปลี่ยนแปลง  ยากที่จะมาบรรจบกันได้  แต่ไม่ใช่ว่าการเปลี่ยนแปลงจะดีกว่าเดิมเสมอไป    (การเปลี่ยนแปลงบางอย่างผิดทิศทางหรือเร็วเกินไป  เช่น การจำนำข้าวทุกเมล็ดราคาสูงลิ่ว  หรือ ค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ  ก็ดูเหมือนจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจมากกว่าผลดี)  

ด้วยหลักของไท้เก๊กจึงมีอีก 2 แนวทางที่เพิ่มขึ้นมา คือ "สีดำ"  "สีขาว" โดย "สีดำ" เป็นแนวทางที่ขัดใจทั้งคนเสื้อเหลืองและเสื้อแดง  เช่น การกระทำของชายชุดดำ  ที่มุ่งกระทำผิดกฎหมายโดยได้รับการจ้างวานมา  เพื่อก่อวินาศกรรม และ ลอบสังหาร เมื่อถึงจุดที่ฝ่ายต้านรัฐบาลหมดหวังจะเจรจาอย่างสันติ  การต่อสู้กับภาครัฐก็อาจเดินมาถึงแนวทาง "สีดำ"  ได้  แม้แต่ เนลสัน แมนเดลา  รัฐบุรุษของโลกผู้ได้รางวัลโนเบลสันติภาพ  ก็ยังเคยเดินเส้นทางนี้  ด้วยการก่อวินาศกรรมในประเทศตนเองเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลเหยียดผิวมาแล้วเช่นกัน

ดังนั้นทางออกสู่ความปรองดองที่แท้จริง จึงน่าจะเป็น "สีขาว"  หากเราเติมสีขาวเข้าไปมากๆ เข้า  เหลืองเข้มก็จะกลายเป็นเหลืองอ่อน  แดงเข้มก็จะกลายเป็นแดงอ่อน  ไม่ถึงกับ "สลายสี"  แต่เป็นการ "เจือจางสี"  ต่างหาก  โดยโพลล่าสุดในเรื่องการอภิปรายไม่ไว้วางใจ   ประชาชนที่ไม่เชียร์ทั้ง 2 ฝ่ายมีถึง 56%  นับเป็นสัญญาณที่ดีว่าคนไทยส่วนใหญ่เลือก "สีขาว"  ไม่ต้องการเป็นคู่ขัดแย้ง  และผมก็เป็น 1 ในนั้นด้วย

หากดำเนินกิจกรรมการเมืองให้คนเสื้อขาวพอใจ  ส่วนคนเสื้อเหลืองและเสื้้อแดง พอยอมรับได้ ....  มันมีวิธีการแบบนั้นด้วยหรือ ??   หาก ดช.นปช. ชกต่อยกับ ดช.ปชป.ก็ดี   ดช.พท.ชกต่อยกับ ดช.อพส.ก็ดี ในโรงเรียนจนเจ็บทั้งคู่ และ ข้าวของเสียหายอย่างมาก   เราควรจะแก้ไขปัญหาอย่างไร ....  แทนที่จะไปค้นหาความจริงว่า  ใครออกกี่หมัด  เตะไปกี่ครั้ง  มีการใช้เข่าและศอกด้วยไหม??   ทางแก้ไขดีๆของโรงเรียนคือจะถือว่าผิดทั้งคู่  ให้ต่างฝ่ายต่างขอโทษ และ ให้อภัยกัน และ ขอโทษต่อโรงเรียนด้วย   ส่วนโรงเรียนก็ลงโทษตามกฎแต่ก็พร้อมจะให้อภัยทั้งคู่

หากมองในแง่ "ยืมพลัง"  เราน่าจะยืมพลังความนิยมของละครยอดฮิต "บ่วง" และ "แรงเงา" ก็จะเห็นว่า การล้างแค้นเอาคืนแบบ "ตาต่อตาฟันต่อฟัน" ไม่สามารถจะแก้ไขปัญหาความขัดแย้งให้หมดไปได้   สิ่งที่ทำแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้เบ็ดเสร็จนั้น คือ "การอโหสิกรรม"  ต่างหาก   การขออภัยและการให้อภัยต่อฝ่ายตรงข้าม  ขออภัยต่อประชาชน และ ขออภัยต่อประเทศชาติ   เป็นสิ่งที่ควรจะได้กระทำอย่างเป็นรูปธรรมในสิ่งที่ผิดพลาดถึง 6 ปีที่ผ่านมา  แน่นอนว่าสิ่งนี้จะแตกต่างจาก "การนิรโทษกรรม"  โดยแต่ละบุคคลต้องรับโทษตามกฎหมายกันไป  แต่การลดความโกรธความเกลียดความพยาบาทในจิตใจของคนไทยคงสักครึ่ง  เป็นเรื่องที่ควรเร่งรีบกระทำ

ดังนั้น  "พิธิอโหสิกรรมแห่งชาติ" คือ สิ่งที่ควรรีบจัดขึ้นก่อนสิ้นปีเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่แด่คนไทยก็น่าจะเหมาะสม  นิมนต์พระท่านมาเทศน์เรื่องความสำคัญของการอโหสิกรรม   เชิญตัวละครสำคัญระดับแกนนำของพันธมิตรฯ   นปช.  และ 2 พรรคการเมืองใหญ่  มาแลกดอกไม้สีขาวกันคนละดอก  และ สวมเสื้อขาวลายธงไตรรงค์ทับเสื้อเดิมๆ   สำหรับ  "คนที่คุณก็รู็ว่าใคร" ซึ่งอยู่ต่างแดนนั้น  ช่วยส่งวีดีโอลิงก์ และ ลูกๆ มาเป็นตัวแทนด้วยก็ดีนะครับ

ผมเชื่อว่าบริษัทจัดอีเวนต์พร้อมจะทำพิธีกรรมนี้ให้ซึ้งมากๆ  จนคนไทยน้ำตานองท่วมแผ่นดิน  ควรเผยแพร่ภาพนี้ออกไปทั่วโลก  เพื่อประกาศว่าคนไทยพร้อมเดินก้าวแรกสู่การปรองดองที่แท้จริง  และ   หากเราเดินก้าวแรกได้อย่างถูกต้องงดงาม   ก็น่าจะหวังได้ว่าก้าวต่อๆ ไปน่าจะเป็นเส้นทางที่สดใสกว่าปัจจุบัน

สิ่งที่รัฐบาลควรทำก็คือ
1. ไม่ทำในสิ่งที่ัขัดใจ "คนเสื้อขาว" การทำเช่นนั้นจะทำให้ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเพิ่มขึ้นอย่างมาก
2. พยายามจัดกิจกรรม "สีขาว" ให้มากขึ้น  เช่น  การร่วมแสดงความจงรักภักดีพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศในวันเฉลิมฯก็เป็นหนึ่งในนั้น   พิธีอโหสิกรรมแห่งชาติก็เป็นหนึ่งในนั้น  นิมนต์พระเทศน์ออกรายการโทรทัศน์ถึงประโยชน์ของการอโหสิกรรมและความสามัคคีก็เป็นหนึ่งในนั้น  หากคิดไม่ค่อยออกจริงๆ ก็ควรจัดประกวดเรียงความ "เราจะปรองดองกันได้อย่างไร ??"  ในระดับนักเรียน นักศึกษา และ ประชาชนทั่วไป   ก็น่าจะได้ไอเดียดีๆ นับร้อย   ยืมพลังสมองของคนทั้งประเทศมาช่วย
3. เปิดประตูการเจรจาเพื่อสันติอยู่ตลอดเวลา   เพราะ  หากปิดประตูนี้เสียแล้ว  นั่นหมายถึง การผลักให้ฝ่ายต้านรัฐบาลเลือกเดินเส้นทาง "สีดำ" ด้วยการก่อการร้าย  วินาศกรรม หรือ  ลอบสังหาร

แนวคิดนี้อาจประยุกต์นำไปใช้กับสถานการณ์ 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้ด้วย  ไทยได้เสียงบประมาณถึง 1.8 แสนล้านบาทเพื่อดูแลความสงบ  แต่ก็ยังมีความสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก  มันจะดีกว่าไหมหากนำเงินนั้นไปพัฒนาพื้นที่ให้เจริญ  อยู่กันอย่างสันติ   โดยอาจจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ  เขตวัฒนธรรมพิเศษ หรือแม้แต่เขตปกครองพิเศษ  ก็คงจะดีกว่ามาก  และอาจ  "ยืมพลัง" ความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจมาเลเซียมาร่วมพัฒนาด้วยก็น่าจะดีมากๆ นะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น