วันจันทร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

วิกฤติครั้งใหม่นี้ อาจมีข่าวดีการศึกษาไทย

วิกฤติเศรษฐกิจโลกที่กำลังจะเกิดขึ้นครั้งใหม่ตั้งแต่ต้นปี 2013 นี้   ผมใช้ชื่อว่า "วิกฤติหมูหัน"  ซึ่งเป็นเกิดการทรุดตัวของยุโรปและจีนรวมกันเป็นหลัก   ขณะที่ ศจ.รูบินี  ตั้งชื่อไว้แล้วว่า "Perfect Storm"  และ สำนักข่าวต่างประเทศบางแห่งตั้งชื่อเตรียมไว้แล้วว่า  "วิกฤติ 3D : Double Dip Depression"

ไม่ว่าจะใช้ชื่อเช่นไร  อาการของปีหน้าน่าจะสาหัสมากๆ  เพราะ ยุโรปยังคงแก้ไขปัญหาผิดทางด้วยการมองปัญหายูโรโซนเพียงแค่ "หนี้การคลัง"  จึงบีบให้ประเทศอ่อนแอรัดเข็มขัดการคลังอย่างแรงทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อยๆ   แม้ว่าทางแก้ไขปัญหาที่ถูกต้อง ซึ่งก็คือ ยอมให้กรีซ และ PIIGS ทั้งหมดออกจากเงินยูโรเพื่อสร้างสมดุล   แต่จะกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินทุนและเศรษฐกิจอย่างรุนแรงในระยะสั้น  โดยมีการคาดการณ์ความเสียหายได้ถึง 17 ล้านล้านยูโร    สำหรับญี่ปุ่นนั้นเดินหน้าเข้าสู่ภาวะถดถอยหลังจากการมีข้อพิพาทหมู่เกาะกับจีนทำให้ดีมานด์ของสินค้าแบรนด์ญี่ปุ่นลดฮวบ    ส่วนอเมริกาก็จะมีปัญหาของ "หน้าผาการคลัง" คงตกลงด้วยการรัดเข็มขัดอยู่บ้างซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจอาจถึงขั้นถดถอยอยู่ดี   และ  จีนซึ่งส่งออกไปยัง 3 ประเทศนี้เป็นหลักก็คงหลีกหนีความเสียหายไปไม่พ้น  ดัชนีตลาดหุ้นซึ่งเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจล่วงหน้ายืนที่ระดับบริเวณต่ำสุดในรอบ 4 ปีดังนั้นส่อแววว่า จีนน่าจะ hard landing

คราวนี้มาถึงวิธีการรับมือวิกฤติ  โดยนักเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์  นั้นเชื่อในนโยบายการคลังแนะว่า รัฐบาลควรทุ่มงบประมาณเข้าไปไม่อั้น  ไม่ต้องแคร์ถึงหนี้สินภาครัฐแต่อย่างใด   กลุ่มนี้ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการรัดเข็มขัดการคลังรวมไปถึง QE ด้วย   ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์สำนักการเงินนิยมนั้นเชื่อมั่นเฉพาะในนโยบายการเงิน  แนะนำว่ารัฐบาลควรรัดเข็มขัดการคลังเพราะ เชื่อว่าไม่น่าจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจเท่าใดนัก  และ ธนาคารกลางควรคงดอกเบี้ยต่ำๆ ต่อไปพร้อมๆ กับเดินหน้าทำ QE ต่อเนื่อง

อย่างไรก็ดี  ด้วยข้อจำกัดทางนโยบายการคลังและการเงิน การจะหวังว่าวิธีการแบบเดิมๆ จะช่วยให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวกลับมาได้นั้นคงไม่ง่าย   "สำนักเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" ซึ่งเป็นสำนักเศรษฐกิจใหม่ของเอเชียบูรพา  ที่ได้นำเอาภูมิปัญญาตะวันออก (เต๋าและไท้เก๊ก)  เข้าไปผสมผสานกับ ภูมิปัญญาตะวันตก (ทุนนิยม) สร้างขึ้นมาเป็น 4 ทฤษฎีใหม่ คือ การคลังไท้เก๊ก  การเงินไท้เก๊ก  FX ไท้เก๊ก และ บำนาญไท้เก๊ก  โดย "การคลังไท้เก๊ก"  เป็นแนวคิดที่หักล้างทฤษฎีการคลังของจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ (บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์มหภาค)  แบบเดิมๆ  เป็นการเปลี่ยนเศรษฐศาสตร์มหภาคอย่างมากถึงขั้น  "การปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์"  (paradigm shift)  กันเลยทีเดียว

ผมและสำนักพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คือ ฝ่ายผลิตสำหรับองค์ความรู้ใหม่นี้   หาก กระทรวงศีกษาฯ รับหน้าที่เป็นฝ่ายการตลาด  เพื่อนำมาความรู้ใหม่ของโลกนี้เข้าบรรจุในหลักสูตรของชั้น ม.6  (ราว5 แสนคน)  และ ปริญญาตรีสายสังคมศาสตร์ปี 2  (ราว 2 แสนคน)  ก็จะทำให้นักเรียนนักศึกษาไทยได้เข้าใจถึงประเด็นที่ผิดพลาดของเศรษฐศาสตร์มหภาคที่ร่ำเรียนกันมานาน   ดังนั้น  ประเทศไทยก็อาจได้เยาวชนราว 7 แสนคนต่อปีที่จะมีความรู้ก้าวล้ำนำหน้านักศึกษาของมหาวิทยาลัยระดับท็อปเทนของโลกเสียอีก  และ ความรู้ใหม่นี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะ เกี่ยวข้องกับการแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจโลก  อันจะมีผลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชากรโลกถึง 7 พันล้านคน  ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลกเองก็แทบจะหาคำตอบดีๆ ให้กับวิกฤติเศรษฐกิจโลกไม่ได้   แต่เยาวชนไทยจะสามารถตอบได้เป็นฉากๆ  อย่างง่ายดายราวพลิกฝ่ามือ

ผมจะไม่เรียกสิ่งนี้ว่า "การปฏิรูปการศึกษา" เพื่อให้เยาวชนไทยมีความรู้วิ่งไล่ทันเพื่อนบ้านใน AEC อย่างมาเลเซีย หรือ สิงคโปร์  แต่นี่จะเป็น "การปฏิวัติการศึกษา"  เพื่อให้เยาวชนไทยมีความรู้ก้าวล้ำนำหน้ากว่า  เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น อังกฤษและอเมริกา  กลายเป็นผู้นำของโลกด้านความรู้ใหม่ทางเศรษฐศาสตร์กันเลย   ท่านผู้หลักผู้ใหญ่ของกระทรวงศึกษาฯ หากอ่านมาถึงบรรทัดนี้  ก็อาจต้องขยี้ตาแล้วกลับไปอ่านใหม่ว่ามันจะไปได้ขนาดนั้นเลยหรือ ??    "ถ้าพวกท่านบ้าพอที่คิดว่าจะพลิกโลกการศึกษาของไทยได้  บางทีพวกท่านน่าจะทำได้จริง" (ดัดแปลงจากโฆษณา Think Different ของ Apple)    ผมเชื่อว่านี่นับเป็นโอกาสทองในรอบศตวรรษที่ประเทศไทยจะเริ่มก้าวขึ้นเป็นผู้นำโลกด้านทฤษฎีความรู้ใหม่ๆ   โดยในอนาคตอาจมีเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้คิดหักล้าง 4 ทฤษฎีใหม่ที่ผมคิดค้นขึ้น  แล้วสร้างเป็นทฤษฎีใหม่ๆ อีกสัก 8 ทฤษฎีก็เป็นได้   ท่านรมว.ศึกษาฯ คงไม่ปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป  และน่าจะทำเรื่องนี้ให้เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของรัฐบาลชุดนี้เป็นแน่  หากทำสำเร็จท่านก็อาจได้รับสมญานาม "บิดาแห่งการปฏิวัติการศึกษาไทย"

แต่หากนักเรียนนักศึกษาคนใด  ไม่อยากทนรอความเชื่องช้าของระบบราชการแบบไทยๆ ซึ่งอาจใช้เวลาหลายปีเรียนจบกันไปหลายรุ่น  จากความรูัใหม่ๆ ของโลกก็อาจกลายเป็นความรู้เก่าๆ ไปเสีย  ผมขอแนะนำให้รีบไปหาอ่านหนังสือ "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก"  (Taiji-Econ. : ศาสตร์แขนงใหม่กู้วิกฤติโลก)  เพื่อนำหน้าคนอื่นอยู่สักก้าวนะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น