Dollar Index คือ ดัชนีวัดค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1973 โดยถ่วงน้ำหนัก ด้วยเงิน 6 สกุลหลัก โดยเงินยูโรที่ 57.6% เงินเยนที่ 13.6% และ เงินปอนด์ที่ 11.9% ที่เหลือคือ เงินดอลล์แคนาดา เงินโครนาสวีเดน และ เงินฟรังก์ของสวิส
ขณะที่่เขียนอยู่นี้ Dollar Index ยืนอยู่ระดับ 84 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบปี มีผลทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งล้วนแต่กำหนดราคาเป็นเงินดอลลาร์ สรอ.ทั้งสิ้น มีราคาตกต่ำลงทั้ง ทองคำ เงิน ทองแดง น้ำมัน รวมไปถึงสินค้าเกษตร เช่น ยาง ข้าวสาลี กาแฟ เป็นต้น
การที่ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินทำให้ค่าเงินเยนอ่อนลงมาระดับ 102 เยน คือ ต่ำลง 24% จากไตรมาส 4 ปีก่อนไปแล้วนั้น ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะสามารถเติบโตได้อย่างดี 2% และ ทำเงินเฟ้อได้ตามฝันที่ 2% ก็ตาม แต่มองในมุมของโลกแล้ว GDP ของญี่ปุ่นกลับลดลงถึง 20% (คิดตามเงินดอลลาร์) จากระดับ 6 ล้านล้านดอลลาร์ อาจเหลือเพียง 4.8 ล้านล้านดอลลาร์ คือหายไปถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ หรือราวๆ GDP ของประเทศไทยถึง 3 ประเทศ นั่นหมายถึง การที่ G7 ยอมให้เงินเยนอ่อนค่าลงไปได้เรื่อยๆ ได้นั้นอาจแปลได้ว่า อนุญาตให้ญี่ปุ่นดึงเศรษฐกิจโลกให้เข้าใกล้ภาวะถดถอย (ในรูปเงินดอลลาร์) นั่นเอง ยิ่งหากมีเงินยูโรที่อ่อนค่าลงก็ช่วยกันดึง GDP ของยูโรโซน (คิดเป็นดอลลาร์) ลงไปอีก
เมื่อย้อนดูอดีตโดยปกติแล้วค่าเงินดอลลาร์จะยืนอ่อนค่าเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็พบว่า Dollar Index มีการปรับเป็นขาขึ้น 2 ช่วงใหญ่ๆ คือ ปี 1980-1985 โดยวิ่งจาก 85 ไปราว 165 และ ปี 1995-2000 โดยวิ่งจาก 80 ไปราว 120 แล้วเกิดปัญหาอะไรกับไทยในช่วงนั้นบ้าง...
คำตอบก็คือ เงินบาทของไทยที่ผูกกับเงินดอลลาร์นั้น เปรียบเสมือนกับ เด็กๆ ที่ต้องวิ่งตามคนโตยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาที่มีกำลังวังชาดีโดยเขาแทบไม่มีปัญหาอะไรในการปีนขึ้นเขา แต่ประเทศเด็กๆ เล็กๆ อย่างไทยต้องวิ่งตามไปให้ทันเพราะ ผูกค่าเงินกันไว้ หากดอลลาร์เป็นช่วงลงเขานี่เงินบาทของไทยเราเกาะตามไปสบายมากๆ แต่เมื่อเป็นขาขึ้นเขาของ Dollar Index แล้วละก็ ผลลัพธ์ก็คือเงินบาทจะวิ่งตามไปไม่ไหว หมดแรงเป็นลม ล้มกลิ้งลงมาจนได้รับบาดเจ็บหนัก โดยในปี 1984 ไทยต้องลดค่าเงินบาทลงราว 15% และ ปี 1997 ก็เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ค่าเงินบาทต้องอ่อนค่าลงมาถึงกว่า 50%
ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนเกมการเงินโลกใหม่ทั้งหมด แทนที่จะให้อเมริกาเป็นประเทศเดียวที่สามารถจะพิมพ์เงินไม่จำกัด เพื่อให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลช่วย GDP ของโลกโดยรวม เพราะ สินค้าเกือบทุกอย่างวัดค่าเป็นเงินดอลล์กันทั้งนั้น ญี่ปุ่นมีเป้าหมายในการเพิ่มฐานเงินขึ้นถึง 2 เท่าภายใน 2 ปี จาก 135 ล้านล้านเยน เป็น 270 ล้านล้านเยน ซึ่งก็น่าฉงนอย่างมาก เพราะ นั่นคือ การฉีกกฏกติกาการเงินระหว่างประเทศโดยสิ้นเชิง เพราะ ทุนสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่นซึ่งควรจะมีเพียงพอเพื่อใช้หนุนหลัง "ฐานเงิน" นั้นกลับมีอยู่เพียง 1.26 ล้านล้านดอลล์เท่านั้นเอง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่พอแน่ๆ
ในรอบนี้ไทยถูกมองว่าเป็น "ดาวรุ่ง" จึงได้รับเกียรติ (แบบไม่สมัครใจ) ให้วิ่งนำหน้า สหรัฐอเมริกาเสียอีก ในรอบขาขึ้นของ Dollar Index ครั้งนี้ โดยที่เศรษฐกิจหลักอื่นๆ ล้วนมีค่าเงินที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ทั้งสิ้น นับตั้งแต่ ญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ ออสเตรเลีย เป็นต้น เมื่อมาดูที่เอเชีย ไม่เพียงแต่เศรษฐกิจอันดับ 2 อย่างญี่ปุ่นที่ค่าเงินอ่อนลงมากเท่านั้น อันดับที่ 3-5 คือ อินเดีย เกาหลีใต้ และ อินโดนีเซีย ก็มีค่าเงินที่อ่อนลงด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกับ 2 ครั้งก่อน หากค่าเงินดอลล์ยังแข็งค่าไปเรื่อยๆ อาจวิ่งสู่่ระดับสูงกว่า 90 จุดก็เป็นได้ เมื่อนั้น ธปท.ควรแสดงจุดยืนชัดเจนว่าพร้อมทำวิถีทางเพื่อให้เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ไม่ใช่แค่ประคองยืนๆไว้ที่ 29-30 บาท แต่พร้อมจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปที่ระดับ 32 บาทกันเลย เพื่อให้สอดคล้องและแข่งขันได้กับเศรษฐกิจส่วนอื่นๆ ของโลก
ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าแค่การลดอัตราดอกเบี้ยลงเล็กน้อย และ การสกัดเงินร้อนระยะสั้นอาจเพียงพอแค่สกัดการแข็งค่าของเงินบาทเท่านั้น แต่การยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ เพื่อปั๊มเงินออก ตามแนวคิดของ "เงินบาทไท้เก๊ก" น่าจะช่วยให้บาทอ่อนสู่เป้าหมาย 32 บาท มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงกว่านะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น