วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

Dollar Index อาจไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

Dollar Index คือ ดัชนีวัดค่าของเงินดอลลาร์ สรอ. ซึ่งเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1973 โดยถ่วงน้ำหนัก ด้วยเงิน 6 สกุลหลัก  โดยเงินยูโรที่ 57.6%   เงินเยนที่ 13.6% และ เงินปอนด์ที่ 11.9%  ที่เหลือคือ เงินดอลล์แคนาดา  เงินโครนาสวีเดน และ  เงินฟรังก์ของสวิส

ขณะที่่เขียนอยู่นี้  Dollar Index ยืนอยู่ระดับ 84  ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบปี   มีผลทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ  ซึ่งล้วนแต่กำหนดราคาเป็นเงินดอลลาร์ สรอ.ทั้งสิ้น  มีราคาตกต่ำลงทั้ง ทองคำ เงิน ทองแดง น้ำมัน  รวมไปถึงสินค้าเกษตร เช่น ยาง ข้าวสาลี  กาแฟ เป็นต้น

การที่ญี่ปุ่นดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินทำให้ค่าเงินเยนอ่อนลงมาระดับ 102 เยน คือ ต่ำลง 24%  จากไตรมาส 4 ปีก่อนไปแล้วนั้น  ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะสามารถเติบโตได้อย่างดี 2%  และ ทำเงินเฟ้อได้ตามฝันที่ 2% ก็ตาม  แต่มองในมุมของโลกแล้ว GDP ของญี่ปุ่นกลับลดลงถึง 20% (คิดตามเงินดอลลาร์)  จากระดับ 6 ล้านล้านดอลลาร์  อาจเหลือเพียง 4.8 ล้านล้านดอลลาร์  คือหายไปถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์  หรือราวๆ GDP ของประเทศไทยถึง 3 ประเทศ   นั่นหมายถึง  การที่ G7  ยอมให้เงินเยนอ่อนค่าลงไปได้เรื่อยๆ  ได้นั้นอาจแปลได้ว่า  อนุญาตให้ญี่ปุ่นดึงเศรษฐกิจโลกให้เข้าใกล้ภาวะถดถอย (ในรูปเงินดอลลาร์) นั่นเอง  ยิ่งหากมีเงินยูโรที่อ่อนค่าลงก็ช่วยกันดึง GDP ของยูโรโซน (คิดเป็นดอลลาร์) ลงไปอีก

เมื่อย้อนดูอดีตโดยปกติแล้วค่าเงินดอลลาร์จะยืนอ่อนค่าเป็นส่วนใหญ่  แต่ก็พบว่า Dollar Index มีการปรับเป็นขาขึ้น 2 ช่วงใหญ่ๆ คือ ปี 1980-1985  โดยวิ่งจาก 85 ไปราว 165  และ ปี 1995-2000  โดยวิ่งจาก 80 ไปราว 120  แล้วเกิดปัญหาอะไรกับไทยในช่วงนั้นบ้าง...

คำตอบก็คือ  เงินบาทของไทยที่ผูกกับเงินดอลลาร์นั้น  เปรียบเสมือนกับ เด็กๆ ที่ต้องวิ่งตามคนโตยักษ์ใหญ่อย่างอเมริกาที่มีกำลังวังชาดีโดยเขาแทบไม่มีปัญหาอะไรในการปีนขึ้นเขา  แต่ประเทศเด็กๆ เล็กๆ อย่างไทยต้องวิ่งตามไปให้ทันเพราะ ผูกค่าเงินกันไว้    หากดอลลาร์เป็นช่วงลงเขานี่เงินบาทของไทยเราเกาะตามไปสบายมากๆ  แต่เมื่อเป็นขาขึ้นเขาของ Dollar Index แล้วละก็  ผลลัพธ์ก็คือเงินบาทจะวิ่งตามไปไม่ไหว หมดแรงเป็นลม   ล้มกลิ้งลงมาจนได้รับบาดเจ็บหนัก  โดยในปี 1984 ไทยต้องลดค่าเงินบาทลงราว 15% และ ปี 1997 ก็เกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง  ค่าเงินบาทต้องอ่อนค่าลงมาถึงกว่า 50%

ญี่ปุ่นได้เปลี่ยนเกมการเงินโลกใหม่ทั้งหมด  แทนที่จะให้อเมริกาเป็นประเทศเดียวที่สามารถจะพิมพ์เงินไม่จำกัด  เพื่อให้ดอลลาร์อ่อนค่าลง  ซึ่งจะส่งผลช่วย GDP ของโลกโดยรวม เพราะ สินค้าเกือบทุกอย่างวัดค่าเป็นเงินดอลล์กันทั้งนั้น   ญี่ปุ่นมีเป้าหมายในการเพิ่มฐานเงินขึ้นถึง 2 เท่าภายใน 2 ปี  จาก 135 ล้านล้านเยน เป็น 270 ล้านล้านเยน ซึ่งก็น่าฉงนอย่างมาก เพราะ นั่นคือ การฉีกกฏกติกาการเงินระหว่างประเทศโดยสิ้นเชิง  เพราะ  ทุนสำรองระหว่างประเทศของญี่ปุ่นซึ่งควรจะมีเพียงพอเพื่อใช้หนุนหลัง "ฐานเงิน" นั้นกลับมีอยู่เพียง  1.26 ล้านล้านดอลล์เท่านั้นเอง  ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่พอแน่ๆ

ในรอบนี้ไทยถูกมองว่าเป็น "ดาวรุ่ง" จึงได้รับเกียรติ (แบบไม่สมัครใจ)  ให้วิ่งนำหน้า สหรัฐอเมริกาเสียอีก  ในรอบขาขึ้นของ Dollar Index ครั้งนี้  โดยที่เศรษฐกิจหลักอื่นๆ  ล้วนมีค่าเงินที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์ทั้งสิ้น  นับตั้งแต่ ญี่ปุ่น  ยูโรโซน  อังกฤษ  ออสเตรเลีย   เป็นต้น   เมื่อมาดูที่เอเชีย  ไม่เพียงแต่เศรษฐกิจอันดับ 2 อย่างญี่ปุ่นที่ค่าเงินอ่อนลงมากเท่านั้น   อันดับที่ 3-5 คือ  อินเดีย  เกาหลีใต้ และ อินโดนีเซีย ก็มีค่าเงินที่อ่อนลงด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเพื่อไม่ให้ซ้ำรอยกับ 2 ครั้งก่อน  หากค่าเงินดอลล์ยังแข็งค่าไปเรื่อยๆ อาจวิ่งสู่่ระดับสูงกว่า 90 จุดก็เป็นได้  เมื่อนั้น ธปท.ควรแสดงจุดยืนชัดเจนว่าพร้อมทำวิถีทางเพื่อให้เงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์  ไม่ใช่แค่ประคองยืนๆไว้ที่ 29-30 บาท  แต่พร้อมจะทำให้เงินบาทอ่อนค่าลงไปที่ระดับ 32 บาทกันเลย  เพื่อให้สอดคล้องและแข่งขันได้กับเศรษฐกิจส่วนอื่นๆ ของโลก

ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าแค่การลดอัตราดอกเบี้ยลงเล็กน้อย และ การสกัดเงินร้อนระยะสั้นอาจเพียงพอแค่สกัดการแข็งค่าของเงินบาทเท่านั้น   แต่การยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ เพื่อปั๊มเงินออก  ตามแนวคิดของ "เงินบาทไท้เก๊ก"  น่าจะช่วยให้บาทอ่อนสู่เป้าหมาย 32 บาท  มีโอกาสเกิดขึ้นได้สูงกว่านะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น