ปฏิทรรศน์ของ QE (Paradox of QE)  คำว่า paradox นั้นในภาษาจีนคือ "เหมาตุ้น" และ ในภาษาญี่ปุ่นคือ "มุจุง"  ตามนิทานโล่และหอกวิเศษ   โดยพ่อค้าบอกว่า โล่วิเศษสามารถป้องกันหอกแหลมได้ทุกชนิด  ขณะที่หอกวิเศษนั้นเล่าสามารถทิ่มแทงโล่ได้ทะลุหมด   นั้นจึงเป็นการ "ย้อนแย้ง" กันเอง  หรือศัพท์ทางวิชาการก็คือ "ปฏิทรรศน์"  สำหรับ QE  นั้นอาจมี "ปฏิทรรศน์" ได้ถึง 3 เรื่อง  โดยแม้จะมีเหตุมีผลทั้ง 2 ข้างแต่ย้อนแย้งกันเองดังนี้
1. ความเชื่อเดิม : มาตรการ QE จะทำให้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง   ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าไปซื้อพันธบัตรน่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวนั้นลดลง
ความเชื่อใหม่ :  แต่ผลลัพธ์ความจริงก็คือ ตลาดคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น และ เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัว  จึงเกิดแรงสะท้อนกลับ  เคลื่อนย้ายเงินออกจากตลาดพันธบัตร เข้าสู่ ตลาดหุ้นแทน  ผลลัพธ์ก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ของอเมริกาน้้นได้วิ่งจาก 1.6% ไปเป็น 2.1%  ขณะที่ของญี่ปุ่นนั้นก็กลับวิ่งจาก 0.5% ไปแตะที่ระดับ 1.0% 
QE จึงทั้งทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวทั้งต่ำลง และ สูงขึ้นด้วย  นี่คือ  ปฏิทรรศน์
2. ความเชื่อเดิม : มาตรการ QE จะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น   ตามสมการการเงิน MV = PQ  หากเพิ่มปริมาณเงิน (M) เข้าไปแล้วน่าจะมีผลต่อราคาสินค้า (P) อยู่บ้าง
ความเชื่อใหม่ :  แต่ผลลัพธ์จริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น  อัตราเงินเฟ้อของอเมริกาได้ลดลงจากระดับกว่า 2% เหลือล่าสุดเพียง 1.1% เท่านั้นเอง    และญี่ปุ่นนั้นความจริงก็ใช้ QE มากว่า 10 ปีแล้วกลับมีอัตราเงินเฟ้อระดับ ติดลบ 0.7%  ไม่ได้ใกล้เคียงกับระดับ 2% ตามที่วาดฝันไว้เลย   เหตุผลก็อาจเป็นเพราะปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นมานั้นไหลเข้าในส่วนของ stock ซึ่งเป็นตลาดเงิน ตลาดทุน และ อสังหาริมทรัพย์  และ แทบไม่ได้ไหลเข้าไปในส่วนที่เป็น flow หรือ GDP  เลย  หรืออาจเกิดจากการที่ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายขึ้นจากสภาพคล่องล้นระบบ  ขณะที่กำลังการผลิตทั้งเครื่องจักร และ กำลังคนก็เหลือเฟือ  เมื่อมีการผลิตเพิ่มจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยนั้นลดต่ำลง  ซึ่งมีผลให้เงินเฟ้อลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้น
QE จึงทำให้อัตราเงินเฟ้อทั้งสูงขึ้น และ ต่ำลง   นี่คือ "ปฏิทรรศน์"  เช่นกัน
3. ความเชื่อเดิม : มาตรการ QE จะช่วยให้ดอกเบี้ยต่ำลง  ตลาดหุ้นวิ่งดี   กระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
ความเชื่อใหม่ : แต่จะเห็นจาก 2 ข้อแรก คือ ผลลัพธ์จริงที่ว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น  ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกลับต่ำลง  และจากการเปลี่ยนแปลง 2 ค่านี้จึงได้ผลลัพธ์ว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real interest rate)  จะมีค่าสูงขึ้นมาก  โดยญี่ปุ่นนั้นอยู่ระดับ 1.6% (ดอกเบี้ยระยะยาว 0.9% อัตราเงินเฟ้อ -0.7%)  ซึ่งนับได้ว่าสูงสุดของประเทศพัฒนาแล้ว ยกเว้น PIIGS  ขณะที่อเมริกาก็เพิ่มขึ้นจากระดับติดลบกลายมาเป็น 1% แล้ว  (ดอกเบี้ยระยะยาว 2.1% อัตราเงินเฟ้อ 1.1%)   และ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงขึ้นมากนี้ิย่อมส่งผลลบต่อเศรษฐกิจแทนที่จะส่งผลบวกในระยะยาว
ดังนั้น QE จึงทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และ แย่ลง  ซึ่งก็คือ ปฏิทรรศน์ อีกเช่นกัน
ผมได้เรียกชื่อใหม่ของ QE ว่าเป็น "สเตียรอยด์การเงิน"  (Financial Steroid)  ซึ่งหมายถึงว่าเป็นยาที่ให้ผลดีในระยะสั้นๆ  แต่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะยาว  และ การหยุดยาหรือลดยาอย่างเร็วนั้น ก็จะส่งกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย 
หากคนของธนาคารกลางอเมริกา และ ญี่ปุ่นได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้อาจจะตื่นเต้นตกใจเป็นอันมาก  จนถึงกับต้องเรียกประชุมด่วน  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจาณาถึงผลลัพธ์ของมาตรการ QE  ว่าจะยังเป็นไปตามความเชื่อเดิมของทฤษฎีการเงินเดิมๆ  อยู่  หรือว่าจะได้ผลลัพธ์ออกมาตามความเชื่อใหม่ ของ "ทฤษฎีการเงินไท้เก๊ก" ซึ่งใช้แนวคิดแบบ "ย้อนแย้งสะท้อนแรง" กันแน่  ซึ่งเรื่องนี้อาจมีความสำคัญมากต่อมุมมองของมาตรการ QE  และการปรับเปลี่ยนมาตรการ QE ในอนาคตกันเลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น