วันจันทร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ปฏิทรรศน์ของ QE

ปฏิทรรศน์ของ QE (Paradox of QE)  คำว่า paradox นั้นในภาษาจีนคือ "เหมาตุ้น" และ ในภาษาญี่ปุ่นคือ "มุจุง"  ตามนิทานโล่และหอกวิเศษ   โดยพ่อค้าบอกว่า โล่วิเศษสามารถป้องกันหอกแหลมได้ทุกชนิด  ขณะที่หอกวิเศษนั้นเล่าสามารถทิ่มแทงโล่ได้ทะลุหมด   นั้นจึงเป็นการ "ย้อนแย้ง" กันเอง  หรือศัพท์ทางวิชาการก็คือ "ปฏิทรรศน์"  สำหรับ QE  นั้นอาจมี "ปฏิทรรศน์" ได้ถึง 3 เรื่อง  โดยแม้จะมีเหตุมีผลทั้ง 2 ข้างแต่ย้อนแย้งกันเองดังนี้

1. ความเชื่อเดิม : มาตรการ QE จะทำให้อัตราดอกเบี้ยต่ำลง   ด้วยการอัดฉีดเงินเข้าไปซื้อพันธบัตรน่าจะทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวนั้นลดลง

ความเชื่อใหม่ :  แต่ผลลัพธ์ความจริงก็คือ ตลาดคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น และ เศรษฐกิจน่าจะฟื้นตัว  จึงเกิดแรงสะท้อนกลับ  เคลื่อนย้ายเงินออกจากตลาดพันธบัตร เข้าสู่ ตลาดหุ้นแทน  ผลลัพธ์ก็คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี ของอเมริกาน้้นได้วิ่งจาก 1.6% ไปเป็น 2.1%  ขณะที่ของญี่ปุ่นนั้นก็กลับวิ่งจาก 0.5% ไปแตะที่ระดับ 1.0%

QE จึงทั้งทำให้อัตราดอกเบี้ยระยะยาวทั้งต่ำลง และ สูงขึ้นด้วย  นี่คือ  ปฏิทรรศน์

2. ความเชื่อเดิม : มาตรการ QE จะทำให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น   ตามสมการการเงิน MV = PQ  หากเพิ่มปริมาณเงิน (M) เข้าไปแล้วน่าจะมีผลต่อราคาสินค้า (P) อยู่บ้าง

ความเชื่อใหม่ :  แต่ผลลัพธ์จริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น  อัตราเงินเฟ้อของอเมริกาได้ลดลงจากระดับกว่า 2% เหลือล่าสุดเพียง 1.1% เท่านั้นเอง    และญี่ปุ่นนั้นความจริงก็ใช้ QE มากว่า 10 ปีแล้วกลับมีอัตราเงินเฟ้อระดับ ติดลบ 0.7%  ไม่ได้ใกล้เคียงกับระดับ 2% ตามที่วาดฝันไว้เลย   เหตุผลก็อาจเป็นเพราะปริมาณเงินที่เพิ่มขึ้นมานั้นไหลเข้าในส่วนของ stock ซึ่งเป็นตลาดเงิน ตลาดทุน และ อสังหาริมทรัพย์  และ แทบไม่ได้ไหลเข้าไปในส่วนที่เป็น flow หรือ GDP  เลย  หรืออาจเกิดจากการที่ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงินได้ง่ายขึ้นจากสภาพคล่องล้นระบบ  ขณะที่กำลังการผลิตทั้งเครื่องจักร และ กำลังคนก็เหลือเฟือ  เมื่อมีการผลิตเพิ่มจะทำให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยนั้นลดต่ำลง  ซึ่งมีผลให้เงินเฟ้อลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้น

QE จึงทำให้อัตราเงินเฟ้อทั้งสูงขึ้น และ ต่ำลง   นี่คือ "ปฏิทรรศน์"  เช่นกัน

3. ความเชื่อเดิม : มาตรการ QE จะช่วยให้ดอกเบี้ยต่ำลง  ตลาดหุ้นวิ่งดี   กระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น

ความเชื่อใหม่ : แต่จะเห็นจาก 2 ข้อแรก คือ ผลลัพธ์จริงที่ว่า อัตราดอกเบี้ยระยะยาวสูงขึ้น  ขณะที่อัตราเงินเฟ้อกลับต่ำลง  และจากการเปลี่ยนแปลง 2 ค่านี้จึงได้ผลลัพธ์ว่า อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (real interest rate)  จะมีค่าสูงขึ้นมาก  โดยญี่ปุ่นนั้นอยู่ระดับ 1.6% (ดอกเบี้ยระยะยาว 0.9% อัตราเงินเฟ้อ -0.7%)  ซึ่งนับได้ว่าสูงสุดของประเทศพัฒนาแล้ว ยกเว้น PIIGS  ขณะที่อเมริกาก็เพิ่มขึ้นจากระดับติดลบกลายมาเป็น 1% แล้ว  (ดอกเบี้ยระยะยาว 2.1% อัตราเงินเฟ้อ 1.1%)   และ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงที่สูงขึ้นมากนี้ิย่อมส่งผลลบต่อเศรษฐกิจแทนที่จะส่งผลบวกในระยะยาว

ดังนั้น QE จึงทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น และ แย่ลง  ซึ่งก็คือ ปฏิทรรศน์ อีกเช่นกัน

ผมได้เรียกชื่อใหม่ของ QE ว่าเป็น "สเตียรอยด์การเงิน"  (Financial Steroid)  ซึ่งหมายถึงว่าเป็นยาที่ให้ผลดีในระยะสั้นๆ  แต่ส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจในระยะยาว  และ การหยุดยาหรือลดยาอย่างเร็วนั้น ก็จะส่งกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

หากคนของธนาคารกลางอเมริกา และ ญี่ปุ่นได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้อาจจะตื่นเต้นตกใจเป็นอันมาก  จนถึงกับต้องเรียกประชุมด่วน  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจาณาถึงผลลัพธ์ของมาตรการ QE  ว่าจะยังเป็นไปตามความเชื่อเดิมของทฤษฎีการเงินเดิมๆ  อยู่  หรือว่าจะได้ผลลัพธ์ออกมาตามความเชื่อใหม่ ของ "ทฤษฎีการเงินไท้เก๊ก" ซึ่งใช้แนวคิดแบบ "ย้อนแย้งสะท้อนแรง" กันแน่  ซึ่งเรื่องนี้อาจมีความสำคัญมากต่อมุมมองของมาตรการ QE  และการปรับเปลี่ยนมาตรการ QE ในอนาคตกันเลยทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น