นอกจากนี้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ยังได้กล่าวอีกว่า "การเมืองคือเรื่องชั่วคราว สมการสิถาวร" นั่นดูเหมือนจะเป็นจริง เพราะ สมการของนิวตันนั้นใช้มาหลายศตวรรษแล้ว และเชื่อว่าอีก 100 ปีข้างหน้า สมการของไอน์สไตน์ก็จะยังคงอยู่คู่กับโลกต่อไปอีกเป็นแน่
ถ้าหากเป็นด้านวิชาปรัชญาตะวันออกบ้างละ สมการของพระพุทธเจ้าก็อาจเป็น "ไม่ทุกข์ = ไม่สุข" หากไม่มีตัวตนเสียแล้วจะละความสุขความทุกข์ทางโลกได้ นี่คงเป็นแก่นของพุทธศาสนา ส่วนสมการของท่านเล่าจื่อเจ้าลัทธเต๋านั่นอาจเป็น "หยิน = หยาง" แล้ว สมการของท่านจางซานฟงปรมาจารย์มวยไท้เก๊กก็อาจเป็น "นิ่ง = เคลื่อน" ส่วนสมการของท่านเติ้งเสี่ยวผิง ก็คงเป็น "แมวดำ=แมวขาว" จับหนูเก่งก็ใช้ได้ เหล่านี้คือ สมการด้านปรัชญาลึกซึ้งโดยคิดย้อนแย้งกับสามัญสำนึกแต่สำคัญกับโลกมาก
แล้วถ้าเรามาเข้าเรื่องด้านเศรษฐศาสตร์กันดูบ้าง อุปสงค์ = อุปทาน คือ สมการที่เริ่มมาตั้งแต่ก่อตั้งวิชาเศรษฐศาตร์ทุนนิยมคลาสสิค โดย อดัม สมิธ เมื่อ 200 ปีก่อนและ เซย์ ก็ได้นำไปตั้งเป็น "กฏของเซย์" แต่ เคนส์ได้หักล้างสมการนี้เสียและบอกว่า บางเวลาอาจเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน หรือ อุปทานส่วนเกินได้ เมื่อเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป หรือ เศรษฐกิจตกต่ำมากๆ
ยังมีสมการที่สร้างโดยนักเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของอเมริกา เออร์วิง ฟิชเชอร์ (บิดาแห่งทฤษฎีอัตราแลกเปลี่ยน) ได้สร้างสมการที่เรียกว่า Fisher Effect ทีน่าสนใจมาก โดยได้ตั้งไว้ดังนี้ อัตราดอกเบี้ย = อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง + อัตราเงินเฟ้อที่คาดหวัง และ International Fisher Effect ที่เขียนไว้ว่า อัตราการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน = ส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย นั่นหมายถึง ประเทศที่มีอัตราเงินเฟ้อสูง ก็ควรมีอัตราดอกเบี้ยสูงด้วย และ ค่าเงินก็ควรอ่อนลงในระยะยาว
เรื่องนี้ชี้ให้เห็นถึงต้นเหตุแห่งวิกฤติเศรษฐกิจหลายครั้ง เช่น เตกีล่า และ ต้มยำกุ้ง โดยก่อนวิกฤตินั้น เม็กซิโก และ ไทย ล้วนมีเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าอเมริกา แต่ค่าเงินเปโซ และ เงินบาทดันไปผูกกับเงินดอลลาร์ไว้ ซึ่งมันเป็นการดำเนินนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบแย้งสมการเต็มๆ สุดท้ายก็ไปไม่รอด การใช้ค่าเงินที่แข็งเกินจริงทำให้ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่อง และเมื่อความเชื่อมั่นถดถอย เงินทุนไหลออก ก็จำเป็นต้องลดค่าเงินลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
สำหรับก่อนวิกฤติในยูโรโซนก็เช่นกัน กรีซ และ สเปน มีอัตราเงินเฟ้อ และ ดอกเบี้ยสูงกว่าประเทศเยอรมัน และ เนเธอร์แลนด์ ดังนั้นค่าเงินควรอ่อนลงในระยะยาว แต่เมื่อทั้งหมดผูกค่าเงินด้วย "ยูโร" ระบบจึงเดินหน้าไปไม่ได้ กรีซและสเปน จึงต้องพบกับวิกฤติเศรษฐกิจ ปัญหาจึงไม่ได้เกิดจากวิกฤติการคลังเป็นต้นเหตุแต่อย่างใด แต่เกิดจากใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่แย้งกับ "สมการ" นั่นเอง โดยก่อนหน้านี้ สเปน ไอร์แลนด์ นั้นมีหนี้ภาครัฐ ต่อ GDP ที่ต่ำมากอยู่แล้ว
นอกจากนี้ สมการนี้ยังชี้ว่าอย่ามองโลกในแง่ดีเกินไปนักสำหรับประเทศเกิดใหม่ หากคิดว่า อินเดีย จะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าเยอรมัน อินโดนีเซียจะวิ่งแซงอังกฤษ ภายในไม่กี่ปีละก็ควรคิดให้ดีเสียก่อนอีกรอบเพราะว่า ประเทศที่มีเงินเฟ้อสูงอย่าง อินเดีย อินโดนีเซียนั้น สมการนี้บ่งชี้ว่าในระยะยาวแล้วค่าเงินยังคงต้องอ่อนลงไปกว่านี้ได้อีกมาก นั่นหมายถึง GDP หากคิดเป็นดอลลาร์แล้วอาจไม่วิ่งเร็ววิ่งสูงอย่างที่กระแสคาดการณ์กันมาก่อนหน้านี้ก็เป็นได้
ส่วนสมการ MV = PQ ของ มิลตัน ฟรีดแมนบิดาแห่งสำนักการเงินบ้างเล่า สมการชี้ประเด็นว่า หากมีการเพิ่มปริมาณเงิน (M) ก็มีแนวโน้มที่จะทำให้ GDP (Q) สูงขึ้น และ อัตราเงินเฟ้อ (P) สูงขึ้นด้วย แต่ว่าผมไม่คิดเช่นนั้น ผมคิดว่า M ที่เพิ่มขึ้น จะทำให้การหมุนของเงิน (V) ลดลงโดยอัตโนมัติ เงินจะไหลเข้าสู่ตลาดสินทรัพย์ทีเป็น stock ไม่ได้เข้าสู่เศรษฐกิจจริงที่เป็น flow มากนัก
ผมจึงเปลี่ยนสมการการเงินเป็น อัตราการเปลี่ยนแปลงปริมาณเงิน = อัตราการเพิ่มของ GDP + อัตราเงินเฟ้อ + อัตราการไหลเข้าสุทธิในตลาดสินทรัพย์ สมการนี้จึงเป็นตัวชี้ว่าทำไม Fed ได้เพิ่มเงินถึงปีละ 1 ล้านล้านดอลล์ แต่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจอเมริกาจึงไม่แข็งแรง เงินเฟ้อก็ต่ำ แต่ตลาดบ้าน และ ตลาดหุ้นของอเมริกากลับแข็งแกร่ง
เมื่อดูอัตราการเพิ่มของปริมาณเงิน M2 อยู่ที่ 6.5% ต่อปีของสหรัฐฯ จึงเท่ากับ การเพิ่มของ GDP (1.6%) บวกด้วยอัตราเงินเฟ้อ (1.5%) ขณะที่อีก 3.4% นั้นเงินไหลสุทธิเข้าไปยังตลาดสินทรัพย์ (บ้าน และ หุ้น) จะเห็นว่าปริมาณเงินที่เพิ่มไหลเข้าไปสู่ส่วนที่เป็น stock มากกว่า flow เสียอีก ซึ่งสมการใหม่นี้จะทำให้อธิบายผลของการเปลียนแปลงปริมาณเงินได้ดีขึ้นกว่าเดิม
และก็มาเข้าถึงประเด็นสำคัญ โดยยังจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ได้สร้างสมการไว้แบบนี้ คือ การเปลี่ยนแปลงของ GDP = m * การเปลี่ยนแปลงของ G โดย m คือ ค่าตัวทวีการคลังซึ่งมีค่ามากกว่า 1 ดังนั้นหากรัฐทุ่มงบประมาณเข้าไปมากๆ และ เลือกโครงการที่มีค่าตัวทวีสูงๆ ก็จะเป็นผลบวกต่อศรษฐกิจได้มาก ซึ่งเรื่องนี้ยอดเยี่ยมเมื่อ 80 ปีก่อนในยุคที่เชื่อกันว่ารัฐบาลไม่ควรเข้ามาแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจใดๆ ปล่อยให้กลไกตลาดของภาคเอกชนทำงานไปจะดีกว่า สมการได้เปลี่ยนมุมมองของเศรษฐศาสตร์มหภาคกันเลย
แต่ปัจจุบันประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายตั้งแต่ อเมริกา ญี่ปุ่น ยูโรโซน ล้วนแล้วแต่ติด "กับดักเคนส์" คือ ไม่ว่าจะเลือกทาง "รัดเข็มขัด" หรือ "คลายเข็มขัด" เศรษฐกิจก็ไม่เติบโตมากพอจะทันกับหนี้สินภาครัฐที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นั่นก็คือ หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP ยังคงวิ่งขึ้นไปอย่างต่อเนื่องนั่นเอง
ผมคิดว่าสาเหตุหลักที่ทำให้ทฤษฎีเคนส์ต้องติด "กับดักเคนส์" ก็คือ "โครงสร้างประชากร" ที่เปลี่ยนจาก "พีระมิด" เป็น "โอ่งน้ำ" โดยที่รัฐต้องแบกรับภาระของผู้สูงอายุมากขึ้นทั้งด้านเงินบำนาญ และ ประกันสุขภาพ ขณะที่เด็กรุ่นใหม่มีน้อยลงทำให้ประชากรที่ก้าวเข้าสู่วัยทำงานน้อยลง รัฐจึงเก็บภาษีได้จากประชากรกลุ่มที่เล็กลงนั่นเอง
ผมจึงได้คิดสมการขึ้นมาใหม่บ้าง นั่นก็คือ การเปลี่ยนแปลงของ GDP = m * การเปลี่ยนแปลงของ Gp โดยที่ Gp คือ G pension เป็นส่วนหนึ่งของ G ที่ใช้เพื่อสมทบเงินเข้ากองทุนบำนาญ และ การให้หักลดหย่อนภาษีสำหรับเงินออมบำนาญ และ m (ตัวทวี) มีค่าติดลบ นี่คือ การเปิดช่องให้ประเทศพัฒนาแล้วที่มีวิกฤติการคลัง จะสามารถรัดเข็มขัดไปพร้อมๆ กับทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้
ท่านผู้นำของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น รวมไปถึงท่านผู้นำของยูโรโซน หากได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้คงจะตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เพราะ แนวทางการดูแลวิกฤติการคลังไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วยนั้นอาจอยู่ที่สมการข้างต้นนี่เอง โดยเฉพาะสหรัฐฯ นั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้เจรจาแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในเรื่องเพดานหนี้ได้เลย โดยแนวคิดแบบย้อนแย้งนี้จะไม่สามารถทำได้เลยในโลกเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นสำนักเคนส์ หรือ สำนักนีโอคลาสสิกก็ตาม นี่มิได้เป็นการ "เปลี่ยนโลกเศรษฐศาสตร์" หรอกหรือ ??
ท่านผู้นำของสหรัฐฯ ญี่ปุ่น รวมไปถึงท่านผู้นำของยูโรโซน หากได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้คงจะตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เพราะ แนวทางการดูแลวิกฤติการคลังไปพร้อมๆ กับเศรษฐกิจที่ดีขึ้นด้วยนั้นอาจอยู่ที่สมการข้างต้นนี่เอง โดยเฉพาะสหรัฐฯ นั้นสามารถนำมาประยุกต์ใช้เจรจาแก้ไขปัญหาเร่งด่วนในเรื่องเพดานหนี้ได้เลย โดยแนวคิดแบบย้อนแย้งนี้จะไม่สามารถทำได้เลยในโลกเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นสำนักเคนส์ หรือ สำนักนีโอคลาสสิกก็ตาม นี่มิได้เป็นการ "เปลี่ยนโลกเศรษฐศาสตร์" หรอกหรือ ??
แล้วท่านผู้อ่านละ....มีสมการที่จะใช้เปลี่ยนโลกบ้างหรือเปล่าครับ ??
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น