ปัจจุบันโลกมี 2 สำนักเศรษฐศาสตร์ใหญ่ๆ ก็คือ 1.สำนักเคนส์ เป็นกลุ่มที่ศรัทธาใน "นโยบายการคลัง" เน้นให้รัฐบาลเข้ามามีบทบาทในการแทรกแซงกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อช่วยเหลือประชาชน แนวคิดนี้เริ่มจากอังกฤษ และ แพร่เข้าไปยังอเมริกาในส่วนที่ติดกับมหาสมุทร จึงเรียกกลุ่มนี้ว่า เศรษฐศาสตร์ "น้ำเค็ม" 2.สำนักการเงินนิยม เป็นกลุ่มที่ศรัทธาใน "นโยบายการเงิน" และ ไม่เชื่อในนโยบายการคลัง โดยคิดว่ารัฐบาลควรเข้ามาแทรกแซงยุ่งเกี่ยวกับกิจกรรมเศรษฐกิจน้อยที่สุด แนวคิดนี้เริ่มจากในอเมริกาด้านใน โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยชิคาโก้ เรียกว่าเศรษฐศาสตร์ "น้ำจืด"
คงไม่ต้องถึงกับเรียกว่า เศรษฐศาสตร์ "น้ำกร่อย" แต่ สำนักเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก ซึ่งแปลตรงๆ จากภาษาจีนได้ว่า "เศรษฐศาสตร์ขั้นสุดยอด" ใช้แนวคิดของการยืมแรงสะท้อนแรง และ นิ่งคือเคลื่อน-เคลื่อนคือนิ่ง ซึ่งประกอบด้วย 4 ทฤษฎีใหม่ที่หักล้างแนวคิดทฤษฎีการเงินและการคลังแบบเดิมๆ ประกอบไปด้วย "การคลังไท้เก๊ก" "การเงินไท้เก๊ก" "ปริวรรตไท้เก๊ก" และ "บำนาญไท้เก๊ก" น่าจะสามารถนำไปใช้เพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของโลกในอนาคตได้
ข้อเสนอของผมก็คือ หากนำเรื่องนี้บรรจุเข้าไปในหลักสูตรของมหาวิทยาลัยในประเทศไทย น่าจะเกิดผลดีต่อ 4 ฝ่ายดังนี้
1. นักศึกษา : นักศึกษาของไทยจะมีความรู้ระดับเหนือชั้นกว่านักศึกษามหาวิทยาลับ top 10 ของโลกกันเลย นี่ดูเหมือนเรื่องที่แม้แต่ฝันยังไม่กล้าจะฝันด้วยซ้ำ แต่ลองคิดดูสิว่า นักศึกษามหาวิทยาลัยชั้นนำเหล่านั้นจะรู้จัก "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" (Taiji-Econ.) บ้างไหมละครับ?? หากนักศึกษาไทยถึงแม้เรียนรู้เข้าใจในเรื่องนี้ได้เพียง 5 ส่วน แต่ก็ยังดีกว่านักศึกษาต่างชาติเหล่านั้นที่มีความรู้ในเรื่องนี้เป็นศูนย์ นี่มิได้เรียกว่า "เหนือชั้น" กว่าหรอกหรือ ??
2. มหาวิทยาลัย : 3 ปีที่ผ่านมาจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยของ QS พบว่า จุฬาฯ อันดับแย่ลงไปราว 100 อันดับตกไปอยู่อันดับที่ 239 ของโลก หากมหาวิทยาลัยไทยได้มีการสอนในวิชาที่แทบไม่มีที่ใดในโลกจัดการเรียนการสอนกัน แต่เป็นแนวคิดที่มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจโลกเป็นอย่างมาก นี่มิใช่เป็นการสร้างความแตกต่างอย่างโดดเด่นหรอกหรือ ?? มหาวิทยาลัยที่มีสำนักเศรษฐศาสตร์ล้วนแล้วแต่ติดอันดับ top 10 ทั้งสิ้นอย่าง ฮาร์วาร์ด เคมบริดจ์ พริ้นซ์ตัน หรือ ชิคาโก้ เผลอๆ มหาวิทยาลัยไทยอาจวิ่งดีขึ้นอย่างเร็วจนติดอันดับ top 100 ก็เป็นได้
3.ประเทศไทย : หากมองย้อนหลังกลับไปหลายทศวรรษที่ผ่านมา เคยมีสักวันไหมที่ประเทศไทยจะก้าวล้ำนำหน้าประเทศพัฒนาแล้วในเอเชีย 3 ประเทศอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ สิงคโปร์
เมื่อดูด้านคมนาคม : ไทยอาจสร้างรถไฟความเร็วสูง 4 สายเสร็จได้ใน 7 ปี ใช้เงินลงทุนถึง 8 แสนล้านบาท แต่นั่นก็เป็นการเดินตามหลังญี่ปุ่นถึง 55 ปี อย่างไรก็ดี ผมยังสนับสนุนให้สร้างอยู่ดี เพราะการรอไปอีก 45 ปีแล้วสร้างนั้น คนรุ่นลูกอาจไปบอกรุ่นหลานว่า "ดีใจไหมที่ไทยมีรถไฟความเร็วสูงเสียที ลงทุนไปหลายล้านล้านบาท แถมเดินตามหลังญี่ปุ่นแค่ 100 ปีเอง"
เมื่อดูด้านการสื่อสาร : การลงทุน 3G 4G อาจใช้เงินเป็นแสนล้านบาท แต่คงไม่ต้องเทียบกับญี่ปุ่น หรือ เกาหลีใต้ เพราะไทยเรายังตามหลังประเทศลาวด้วยซ้ำไป
เมื่อดูด้านการศึกษา : คงไม่ต้องไปเทียบอะไรกับ 3 ประเทศนั้น ใช้งบกระทรวงศึกษาฯ ถึงปีละ 5 แสนล้านบาทแต่ไทยยังคงเหนื่อยกับการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้านในอินโดจีนอยู่เลย
แต่สำหรับเรื่องนี้ หากมีการบรรจุ "สำนักเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" เข้าไปในหลักสูตรวิชาเศรษฐศาสตร์แล้วละนี่จะแตกต่างอย่างแน่นอน เพราะ 3 ประเทศนั้นไม่ได้มีสำนักเศรษฐศาสตร์ของประเทศตนเองเลย ตอนนี้ก็ยังคงใช้แนวคิดของสำนักเคนส์ และ สำนักการเงินนิยม กันอยู่ ดังนั้นจึงอาจแปลได้ว่า ไทยได้เดินนำหน้าญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ สิงคโปร์ ไปแล้วอย่างน้อยก็ 1 ก้าว โดยแทบไม่ต้องใช้เงินลงทุนอะไรเลยด้วยซ้ำ น่าทึ่งไหมละครับ ??
4. โลก : เนื่องจาก "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" เป็นความรู้ใหม่ของโลกซึ่งน่าจะนำไปใช้เพื่อปลดล็อก 4 กับดักเศรษฐกิจพิษร้ายแรงของโลกคือ "กับดักเคนส์" "กับดักเงินเฟ้อ" "กับดักยูโร" และ "กับดักประกันสังคม" ได้ หากทำได้สำเร็จนี่นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากๆ ต่อโลกของเรา
ผมจึงขอเรียนเชิญท่านคณบดีเศรษฐศาตร์ และท่านผู้บริหารมหาวิทยาลัยในประเทศไทยผู้มีวิสัยทัศน์ชั้นยอดมาร่วมกันสานฝันอันยิ่งใหญ่นี้ เพื่อเปลี่ยนประเทศไทยและเปลี่ยนโลกไปด้วยกัน ลองติดต่อเข้ามานะครับ prawitruang@gmail.com
สุดท้ายผมขอฝากคำพูดอมตะของ สตีฟ จ็อบส์ไว้ตรงนี้ "กลุ่มคนที่บ้าพอจะเชื่อว่าสามารถเปลี่ยนโลกได้ คือพวกที่่จะทำได้จริง"
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น