วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ยุทธศาสตร์888 : เศรษฐกิจไทยโตได้ 8%


ความจริงแล้ว ผมได้เตรียมยุทธศาสตร์888 นี้ไว้เพื่อโค่นพรรคขนาดยักษ์อย่าง "เพื่อไทย" ที่ได้ทรยศต่อเสียงของประชาชนในกรณี พรบ.นิรโทษกรรม  อย่างไรก็ดี  พรรคใหญ่อีกพรรคที่ไม่ลงต่อสู้ในศึกเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย  ดังนั้น ณ เวลานี้คงไม่ใช่เวลาที่จะคิดช่วยพรรคใด เพราะ การช่วยประเทศไทยต่างหากที่สำคัญ

ยุทธศาสตร์นี้คือ  8 นโยบายทางเศรษฐกิจ  ที่จะทำให้ ศก.ไทยโตได้ 8%  โดยมีขนาดใหญ่กว่านโบบายเดิมของคุณทักษิณ 8 เท่าตัว   แค่อ่านหัวเรื่องเท่านี้ท่านผู้อ่านก็คงคิดว่า "เพ้อเจ้อ" อย่างแน่นอน  แค่สถานการณ์บ้านเมืองปกติก็ยากที่จะทำได้อยู่แล้ว  ตอนนี้สถานการณ์การเมืองแตกแยกขัดแย้งกันอย่างรุนแรง  ซึ่งกระทบต่อการบริโภค การท่องเที่ยว และ การลงทุนอีกมากมายอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก

ถ้าคิดว่าผมได้คาดหวังจากการเบิกจ่ายงบโครงสร้างพื้นฐาน พรบ.2 ล้านล้านบาท และ การบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านนะหรือ  นั่นไม่ใช่หรอกครับ  ดูเหมือนว่า2เรื่องนี้อาจจะไม่ง่ายนักเสียแล้ว  หรือหากคิดว่า ผมคาดหวังจากเศรษฐกิจโลกที่จะฟื้นตัวอย่างเร็ว จนการส่งออกรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก  นั่นก็ไม่ใช่เลย

ถ้าหากจะทำให้โจทย์นี้ยากขึ้นอีกด้วยการบอกว่า  นโยบายเหล่านี้จะไม่เพิ่ม "ภาระการคลัง" ให้กับภาครัฐเลยแม้แต่น้อย  นี่จึงนับเป็นโจทย์ที่ยากอย่างยิ่งปีนี้ 8% จะทำได้อย่างไรกัน  เพราะขนาดอัดงบจำนำข้าวไปถึง 6-7 แสนล้านบาท โครงการรถยนต์คันแรกใช้เงินภาษีไปถึง 1 แสนล้าน  เศรษฐกิจไทยปีนี้ยังเติบโตเพียง 3% เท่านั้นเอง  โจทย์ยากขนาดนี้เชื่อว่า ไม่เพียงแต่นักเศรษฐศาสตร์ของทั้งภาครัฐและเอกชนเท่านั้น  แม้แต่รัฐมนตรีเศรษฐกิจหลายท่านก็คง "งุนงง" อย่างมากว่ามันจะทำได้จริงๆ นะหรือ เราลองมาดูกันครับ  นโยบายทั้ง 8 ที่ว่านี้ก็คืออะไรกันบ้าง

1.สินเชื่อไท้เก๊ก : ด้วยการยอมให้ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม  สมาชิก กบข. สมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ ผู้ถือหน่วย RMF LTF สามารถยืมเงินผ่านแบงก์รัฐ  โดยองค์กรที่บริหารเงินบำนาญเป็นผู้ค้ำประกันสินเชื่อได้  โดยอัตราดอกเบี้ยก็อาจกำหนดไว้ราว 9% โดย 6% จ่ายให้กับแบงก์รัฐ 2% เป็นเงินภาษีรัฐ และ 1% เป็นค่าค้ำประกัน  ดังนั้น  คาดว่าจะมีผู้ได้ประโยชน์ราว 8 ล้านคน  สร้างสินเชื่อเฉลี่ยหัวละ 8 หมื่นบาท  เป็นเงินถึง 6.4 แสนล้าน ซึ่งวงเงินนี้ใหญ่กว่ากองทุนหมู่บ้านของพรรคไทยรักไทยถึง 8 เท่าตัว   ประชาชนจากเดิมที่เคยผ่อนสินเชื่อเงินด่วนทั้งในและนอกระบบเดือนละ 3% ก็อาจเหลือแค่ 1% ของยอดสินเชื่อ ทำให้ประหยัดไปได้ 24% ต่อปีเป็นเงิน 1.5 แสนล้านบาท  ประเมินค่าตัวทวีที่ 2 เท่าจะเพิ่ม GDP ได้ 3 แสนล้านบาท  และ รัฐบาลได้ภาษีเพิ่ม 1.3 หมื่นล้าน

2. RMF-LTF ไท้เก๊ก : ลดวงเงินการหักลดหย่อนภาษีของเงิน 2 กองนี้ลงมาจาก 5 แสนบาทเหลือแค่ 1 แสนบาทต่อปี  ด้วยวิธีนี้จะทำให้เงินที่เคยไหลเข้าราว 4 หมื่นล้านต่อปีก็จะกลับไปใช้จ่ายแทนที่จะไหลเข้าลงทุนในตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น  ซึ่งจะไปหมุนสร้าง GDP ได้ 8 หมื่นล้านบาท  และ รัฐบาลได้ภาษีเพิ่ม 1 หมื่นล้าน

3.สลากไท้เก๊ก : หลังจากรัฐบาลได้เงินภาษีเพิ่มมาจาก 2 แหล่งข้างต้นเป็นเงินถึง 2.3 หมื่นล้าน ก็นำมาจัดทำเป็น "สลากไท้เก๊ก"  ออกเลขท้าย 2 ตัว รางวัลละ 2 พันบาท และ เลขท้าย 3 ตัวรางวัลละ 2 หมื่นบาท ทุกเดือนตามเลขท้ายบัตรประชาชนของคนไทยที่มีสิทธิเลือกตั้งราว 48 ล้านคน  นี่จะสร้าง GDP เพิ่ม 5 หมื่นล้านบาท

4.แทนคุณไท้เก๊ก : ในระบบประกันสังคมมีเงินกองทุนเหลือถึงกว่า 1 ล้านล้านบาท  ขณะที่ผู้ประกันตนนั้นมีหลายคนที่มีภาระให้เงินแก่บิดามารดาทุกเดือน  หาก สปส.จ่ายเงินให้กับบิดามารดาผู้ประกันตนซึ่งอายุเกิน 60 ปีคนละ 1 พันบาททุกเดือน  ก็อาจดูแลได้ถึง 3 ล้านคน  ตกเป็นเงิน 3.6 หมื่นล้านต่อปี ไม่มากเลยแม้เทียบกับเงินกองทุนของระบบประกันสังคม และเรื่องนี้ไม่เป็นภาระการคลังเลยแม้แต่น้อย  แต่หมุน GDP เพิ่มได้ 7 หมื่นล้านบาท

5. เลี้ยงบุตรไท้เก๊ก : เพิ่มอายุจาก 0-6 ปี  กลายเป็น 0-12 ปี  ของผู้ประกันตน  จ่ายเดือนละ 400 บาท  ดังนั้นรัฐไม่ต้องใช้เงินเลย แต่นำเงินจากกองทุนประกันสังคมเพิ่มอีกปีละ 5 พันล้านบาท  จะหมุน GDP ได้ราว 1 หมื่นล้านบาท

6. แทรกแซงไท้เก๊ก : กำหนดให้กองทุนบำนาญทั้งหลายต้องลงทุนในสัญญาซื้อเกษตรล่วงหน้าของประเทศไทยโดยเฉพาะ ข้าว และ ยาง  เป็นสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 5% ของสินทรัพย์  เรื่องนี้จะทำให้เกิดการแทรกแซงสินค้าเกษตรเป็นเงินถึง 2 แสนล้านบาท   ทำให้ข้าว และ ยางมีราคาดีขึ้น  โดยที่กองทุนบำนาญให้เงินลงทุนเพียงเล็กน้อยราว 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น  แต่เพิ่มกำลังซื้อได้ถึง 20 เท่าผ่านตลาดล่วงหน้า  เรื่องนี้น่าจะเพิ่มราคาสินค้าเกษตรได้ไม่ต่ำกว่า 10% ดังนั้นเป็น GDP เพิ่มราว 1 แสนล้านบาท

7. ตลาดหุ้นไท้เก๊ก : กำหนดให้กองทุนบำนาญ (ซึ่งมี 4 ล้านล้านบาท จำเป็นต้องลงทุนในหุ้นไทยไม่ต่ำกว่า 15% ของสินทรัพย์  ซึ่งเรื่องนี้จะช่วยพยุงตลาดหุ้นได้อย่างดี  อาจมีเงินไหลเข้าตลาดหุ้นได้ถึง 2 แสนล้านบาทในปี 2557 ทดแทนการขายออกของต่างชาติได้อย่างดี   อาจเพิ่ม GDP ได้อีก 1 แสนล้านบาท  

8.ข้าวกล่องไท้เก๊ก : เรื่องนี้จำเป็นต้องใช้เงินภาครํฐ  แต่เนื่องจาก GDP ที่เพิ่มมา 7 รายการรวมแล้ว 7 แสนล้าน (หรือราว 6% GDP)  รัฐจึงมีรายรับจากภาษีเพิ่มขึ้นราว 1.2 แสนล้านบาท (17% ของ GDP ที่เพิ่ม)  สามารถนำมาทำโครงการนี้ได้สบายๆ คือ การทำข้าวกล่องแจก 8 แปดหมื่นหมู่บ้านๆ ละ 100 กล่องทุกวัน  หรือราวๆ 8 ล้านกล่องทุกวัน  เป็นข้าวแบบพื้นๆ เช่น ข้าวไข่เจียว ข้าวกระเพราไก่ เป็นต้น  โดยอาจแจกให้คนละ 2 กล่องทุกวัน  วิธีนี้จะช่วยคนจนโดยตรงได้ถึง 4 ล้านคนต่อวัน  ชาวบ้านก็จะประหยัดค่าอาหาร 2 กล่องไปได้ราววันละ 50 บาท หรือเดือนละ 1500 บาท  ต้นทุนในการจัดโครงการนี้น่าจะตกราว 5 หมื่นล้านบาทต่อปี  แต่ก็ช่วยลดสต็อกข้าวในโกดังลงไปได้บ้างพอสมควร  จะหมุน GDP ได้ราว 1 แสนล้านบาท

เมื่อรวมทั้ง 8 นโยบายจะเห็นว่าสามารถเพิ่ม GDP ได้ถึง  8 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นราว 6.5% GDP และ เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในระดับต่ำๆ ปกติคือ 2% ต่อปีอยู่แล้ว  ดังนั้น  เป้าหมายที่เติบโตสูงได้ถึง 8% ต่อปีจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ไม่ยาก  และ ที่สำคัญก็คือ ด้วยนโยบายเหล่านี้หนี้สินภาครัฐไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยแม้แต่บาทเดียวครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น