แน่นอนว่าสำหรับประเทศไทยเวลานี้ การเมืองยังคงร้อนระอุ การเลือกตั้ง 2 กพ.ที่ผ่านไป แม้ไม่มีเรื่องราวปะทะกันมากนัก แต่ก็ยังมีบางส่วนโดยเฉพาะภาคใต้ที่ไม่สามารถเปิดคูหาให้ลงคะแนนได้ สรุปก็คือมีราว 89.2% ของหน่วยเลือกตั้งที่เปิดให้ลงคะแนนได้ และ 45.8% คือสัดส่วนของประชากรที่มาใช้สิทธิเลือกตั้ง ปัญหาก็คือ ยังคงต้องมีการเลือกตั้งซ่อมเสริม อีกหลายครั้งเพื่อให้ได้ สส.ครบตามจำนวน และ เปิดสภา และ เลือกนายกฯ ได้ซึ่งอาจกินเวลาอีกหลายเดือน
อย่างไรก็ดี ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้ ได้สอดแทรกเข้ามา "วิกฤติไก่งวง" คือ ชื่อที่ผมตั้งขึ้นเองครึ่งปีก่อนหน้าวิกฤติจริงนี้ เป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่จะเริ่มต้นจากประเทศ "ตุรกี" (อันดับ 17 ของโลก) โดยวัดจากระดับสัญญาณเตือนภัย "Ruang Alarm" ที่มีค่าย่ำแย่ที่สุดใน 40 ประเทศใหญ่ของโลก โดยค่านี้เกิดจากผลรวมของ ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP 3 ปีรวมเข้าด้วยกัน ตุรกีมีค่านี้อยู่ที่ -22.4% ซึ่งย่ำแย่พอๆ กับ ไทยในวิกฤติต้มยำกุ้ง (-21.2%) แม้จะดีกว่า กรีซ (-44%) และ ไซปรัส (-34%) ในช่วงก่อนวิกฤติยูโรอยู่บ้างก็ตาม
แม้อาร์เจนติน่า ดูว่าจะมีปัญหาจากค่าเงินที่อ่อนลงอย่างเร็ว แต่ความจริงแล้วประเทศนี้มีค่าเงินแบบเป็น ทางการ และ ตลาดมืด ซึ่งอยู่ที่ระดับ 8 และ 13 เปโซต่อ 1 ดอลลาร์ตามลำดับ "ตลาดมืด" นั้นปกติแล้วสะท้อนอุปสงค์และอุปทานที่แท้จริง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยหากอัตราเงินเฟ้อที่สูงระดับ 28% ของอาร์เจนตินา จะทำให้ระดับค่าเงินแบบเป็นทางการ หากมีการผ่อนปรนค่าจำกัดในการซื้อเงินตราต่างประเทศ จะอ่อนค่าลงไปเรื่อยๆ จากระดับ 8 เปโซไปใกล้เคียงกับ ระดับของ "ตลาดมืด"
ปัญหาของเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่จริงๆ จึงอยู่ที่ "ตุรกี" นั่นเอง ที่กังวลต่อการไหลออกของเงินทุน จึงประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ย Repo แรงมากจากระดับ 4.5% ไป 10% ซึ่งเป็นระดับที่ช็อกผู้ประกอบการอย่างมาก เพื่อรักษาเงินทุนไว้ไม่ให้ไหลออก อย่างไรก็ดี ประเทศตุรกี ตกอยู่ในสภาพที่ "ฟองสบู่แตก" อันเนื่องจาก กระแสเงินทุนที่ไหลเข้าในช่วงมาตรการ QE จะเปลี่ยนทิศไหลออกไปอย่างเร็วเมื่อมาถึงการลด QE ลง (อาจเทียบเคียงได้กับ BIBF ของไทยช่วงก่อนวิกฤติต้มยำกุ้ง) และ นักลงทุนก็ไม่เชื่อมั่นอยู่ดีเนื่องจาก ปัญหาเรื่องของคดีคอร์รัปชั่น รวมถึง ปัญหาขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูงเรื้อรัง ดัชนีตลาดหุ้น และ ค่าเงิน Lira ยังคงดิ่งลงต่อเนื่อง โอกาสที่เชื้อโรคนี้จะแพร่กระจายไปยังตลาดเกิดใหม่ขนาดใหญ่ อย่าง BRICS นั้นมีไม่น้อยเลย และ ประเทศไทยเองย่อมหลีกหนีปัญหานี้ไม่พ้นเช่นกัน
ดังนั้นตอนนี้ไทยเราจึงมีปัญหาทั้ง "วิกฤติม็อบนกหวีด" และ "วิกฤติไก่งวง" เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติทับกันอยู่ ต่อจากนี้ผมจะนำเสนอแผนเพื่อสยบทั้ง 2 วิกฤตินี้ โดยผมเริ่มจากข้อเสนอให้รีบเร่งแก้ไขวิกฤติการเมืองไปก่อนเลย ด้วยแผน "อรหันต์ไท้เก๊ก" ซึ่งมีกุญแจ 3 ดอก ดังนี้
1. นิมนต์ "พระสงฆ์" ชื่อดังของไทย 9 รูปมาเป็น "คนกลาง" เทศนาธรรมถ่ายทอดสด เพื่อสลายความขัดแย้งรุนแรงของในประเทศไทย
2. "เริ่มต้น" ปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง (ซ่อมเสริม) : อันที่จริง กปปส.ก็ได้เริ่มเดินหน้าไปแล้ว ด้วยการจัดทำแบบสอบถามเกี่ยวกับ "ประชามติ" เราจะทำ "ประชามติ" กันทั่วประเทศ เพื่อเปลี่ยนแปลงกฎหมายสำคัญๆ ในหลายเรื่อง อาจถามว่า โทษของคดีคอร์รัปชั่นควรทำอย่างไร? ผู้ว่าฯ ควรมาจากการเลือกตั้งไหม? ตำรวจควรขึ้นกับใคร? สภาประชาชน หรือว่า สภาผู้แทนฯ ดีกว่ากัน? นี่จะเป็น "ประชาธิปไตยทางตรง" เพราะ สส.ใหม่จะมีหน้าที่แค่ยกมือตามเสียงของ "ประชามติ" เท่านั้น ไม่ใช่ ยกมือตามคำสั่งนายทุนพรรค ดังนั้น กปปส.น่าจะพอใจในเรื่องนี้
3.โค่นระบอบทักษิณ : คุณยิ่งลักษณ์ควรออกมาทำ "ข้อเสนอชินวัตร" โดยสัญญาว่าจะยอมถอยเพื่อชาติ หมายถึง "ชินวัตรและญาติ" จะขอเว้นวรรคทางการเมืองตลอดอายุสภาฯ หาก คุณสุเทพและพวก ไม่คัดค้านขัดขวางการเลือกตั้ง และ ยอมสลายม็อบนกหวีดไป การเลือกนายกฯ อาจใช้วิธี "ประชามติ" ว่าจะเลือกจาก สส.ท่านใดดี แล้วให้ สส.ยกมือโหวตตามนั้น
ขณะที่ทั่วโลกกำลังจับจ้องวิธีการสลายความขัดแย้งของประเทศไทยอยู่นั้น ก้าวย่างสำคัญของคุณยิ่งลักษณ์นี้ อาจหมายถึง การยอมสละ "อำนาจ" ที่พึงจะได้รับตามระบอบ เพื่อแลกกับ 2 สิ่งที่สำคัญกว่า คือ "ประชาธิปไตย" และ "สันติภาพ" ของประเทศไทย ไม่แน่ว่าความหวังของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพก็อาจอยู่ไม่ไกล
ด้วยกุญแจ 3 ดอกนี้ จะเป็นผลดีต่อทั้ง 4 ฝ่าย ดังนี้คือ
1. ชินวัตร : เลือกตั้งราบรื่น ได้จัดตั้งรัฐบาลเร็ว ได้แสดงความใจกว้าง และ ได้ลุ้นโนเบลสันติภาพ
2. กปปส. :ได้ "เริ่มต้น" ปฏฺิรูปก่อนเลือกตั้ง (ซ่อมเสริม) และ ได้โค่นระบอบทักษิณ (ยกแรก)
3. คนไทยและประเทศไทย : ได้ประชาธิปไตยทางตรง ได้ปฏิรูป ได้สันติสุขความปรองดองกลับคืนมา
4. โลก : ได้ท่องเที่ยว ลงทุน และ ค้าขายกับไทยอย่างสบายใจดังเดิม
สำหรับแผนในการรับมือ "วิกฤติไก่งวง" ซึ่งเป็นวิกฤติเศรษฐกิจระดับโลกนั้น ผมมีแผนที่จะได้เขียนในบทความหน้าที่มีชื่อว่า "ยุทธศาสตร์888" ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยโตได้ 8% โดยหนี้ภาครัฐไม่เพิ่มเลย แทนที่จะเติบโตราว 3% หรือต่ำกว่าตามที่หลายๆ ฝ่ายได้คาดกันไว้ แน่นอนว่า นักเศรษฐศาสตร์เกือบทั้งประเทศจะต้องงแน่ๆ เพราะหลักเศรษฐศาสตร์ธรรมดานั้นจะทำเรื่องแบบนี้ไม่ได้ แต่ "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" ทำได้สบายมากครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น