วันจันทร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2556

Eurozonomics

และผมก็ได้บัญญัติศัพท์ใหม่อีกแล้ว   Eurozonomics  อาจแปลเป็นไทยได้ว่า "เศรษฐศาสตร์ฉบับยูโรโซน"  เรื่องนี้มีความสำคัญที่ว่า   การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจในยูโรโซนปัจจุบันนั้น  เป็นการ "แย้ง" ทุกทฤษฎี และ "ฉีก" ทุกตำราเศรษฐศาสตร์  เพียงเพื่อจะรักษา "ระบบเงินยูโรที่ไร้สมดุล"  เอาไว้ให้ได้  หากทำสำเร็จนี่คือ มหัศจรรย์แห่งวงการเศรษฐศาสตร์   แต่ผมคิดว่า  การเก็บเอา "ระบบยูโร" แบบปัจจุบันซึ่งเป็นต้นตอแห่งปัญหาทั้งปวงเอาไว้  ยิ่งนานเท่าใดความเสี่ยงของหายนะอันยิ่งใหญ่อาจกำลังรออยู่   เรามาดูรายละเอียดกัน

1. การคลัง : การแก้ไขปัจจุบัน คือ "รัดเข็มขัดการคลัง" แบบพื้นๆ   โดยประเทศที่อ่อนแออย่าง กรีซ สเปน  โปรตุเกส  อิตาลี  ล้วนเข้าข่ายนี้ทั้งสิ้น  บางประเทศทำเพื่อแลกกับเงินช่วยเหลือ   จำเป็นต้อง "กลืนเลือด"  ยอมให้เศรษฐกิจถดถอยต่อไป   แม้  "เคนส์" จะเตือนใหระวังถึง  "ปฏิทรรศน์ของการรัดเข็มขัด" (Paradox of austerity)  ซึ่งหมายถึง  การรัดเข็มขัดการคลัง  แทนที่จะทำให้ปัญหาหนี้การคลังดีขึ้นกลับทำให้แย่ลงต่างหาก  โดย GDP จะถึงขั้นถดถอย  รายรับรัฐบาลน้อยลง  ขณะที่รายจ่ายประกันสังคมมีมากขึ้น  ผู้คนก็ว่างงานกันมากขึ้น  สัดส่วนหนี้ภาครัฐ ต่อ GDP จะวิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง  นี่คือ การแย้งทฤษฎีเคนส์อย่างเต็มๆ   โดยการว่างงานในสเปน และ กรีซ สูงกว่า 26% ไปแล้ว   และ กรีซเกิดเศรษฐกิจถดถอยถึง 5 ปีเต็มๆ

2. การเงิน :  ในยูโรโซนมีดอกเบี้ยระยะสั้นหรือ ดอกเบี้ยมาตรฐานที่ 0.75%  ขณะที่ดอกเบี้ยระยะยาว (พันธบัตร 10 ปี)  นั้นแตกต่างกันไปมาก  ไล่ตั้งแต่ เยอรมนี ที่ 1.5%  เทียบกับ  กรีซที่ 11.7%  ทั้งๆที่ตามทฤษฎีการเงินแล้ว  ดอกเบี้ยระยะยาวเองก็ควรไล่ไปตามอัตราเงินเฟ้อ   หากประเทสที่มีเงินเฟ้อสูง เช่น อินเดีย  เวียดนาม  ก็จะมีดอกเบี้ยพันธบัตรที่สูงตามไปด้วย  และ ญี่ปุ่นซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อต่ำ ก็จะมีดอกเบี้ยพันธบัตรต่ำไปด้วย  แต่ปัจจุบันกรีซ มีอัตราเงินเฟ้อที่ 0.8% ต่ำมากกว่าเยอรมนีเสียอีก  กลับมีดอกเบี้ยระยะยาวที่สูงกว่าเยอรมันมาก   นี่นับได้ว่าเป็น "แย้ง" ทฤษฎีการเงินอีกเช่นกัน

3. อัตราแลกเปลี่ยน : ประเทศที่อ่อนแอ  มีอัตราดอกเบี้ยสูง และ ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดสูง อย่าง PIIGS ควรจะมีค่าเงินอ่อนกว่านี้  และ ประเทศที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ  ได้ดุลบัญชีเดินสะพัดสูงอย่าง เยอรมนี  เนเธอร์แลนด์ ควรมีค่าเงินแข็งกว่านี้  แต่ทั้ง 2 กลุ่มกลับผูกค่าเงินไว้ด้วยกัน คือ "ยูโร"  นี่จึงแย้งกับทฤษฎีอัตราแลกเปลี่ยน ของ "เออร์วิ่ง ฟิชเชอร์" อย่าแรง  

อย่างไรก็ดี  ผู้นำของยูโรโซน ตัดสินใจที่ รักษา "ระบบยูโร" ไว้โดยไม่สนใจต่อ "ดุลยภาพ"  ถ้าหากทำสำเร็จคือ การว่างงานลดลง  หนี้ภาครัฐลดลง  เศรษฐกิจฟื้นตัวได้นั่นนับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์ของวงการเศรษฐศาสตร์เลยทีเดียว  แต่ผมคิดว่าในที่สุดแล้วระบบแบบนี้ไม่น่าจะประสบความสำเร็จไปได้  โดยน่าจะมีแรงกดดันทางสังคมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  จากเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อย่างต่อเนื่อง  มีหลายแคว้นในสเปนที่คิดจะ "แบ่งแยกดินแดน" เพื่อหาโอกาสการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ  ซึ่งน่าจะรวมถึงการใช้ค่าเงินที่อ่อนลงกว่า "ยูโร" ในปัจจุบันนี้   อันจะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และ เพิ่มการจ้างงาน

และในท้ายที่สุดเพื่อให้ครบถ้วนก็คือ การเสนอทางออกให้กับยูโรโซน  โดยผมได้เตรียมทฤษฎี "การคลังไท้เก๊ก" เพื่อให้สามารถรัดเข็มขัดแบบพิเศษ คือ  สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วย  โดยการยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ   และ  ทฤษฎี "FX ไท้เก๊ก"  เพื่อปรับแบ่งค่าเงินยูโรแบ่งเป็น 3 สกุล Eura  Euri และ Euro  เพื่อให้เหมาะกับแต่ละกลุ่มประเทศ  และสร้างดุลยภาพให้เกิดขึ้นได้  




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น