เมื่อเทียบกับ Japanomics ซึ่งเป็นโยบายที่ทำกันมาถึง 20 ปีซึ่งเป็นใช้นโยบายเศรษฐกิจเดิมๆ แบบตามอัตภาพของญี่ปุ่น แม้จะเป็นกลยุทธแบบเดียวกันคือ "พิมพ์เงินแล้วใช้จ่าย" (Print and Spend) แต่ Nipponomics น่าจะเป็นคำที่ใส่เอาพลังของชาตินิยม พลังงานของความมุ่งมั่นและ พลังแห่งความหวังลงไปด้วย ที่ผมใช้คำนี้แทน Abenomics ก็เพราะว่า คิดว่าหากนโยบายนี้จะสำเร็จได้คงไม่เพียงแต่ท่านนายกฯ ชินโซะ อาเบะ แต่น่าจะรวมไปถึงภาครัฐทั้งหมด ธนาคารกลางญี่ปุ่น และ ภาคเอกชนร่วมแรงร่วมใจเข้าไปด้วย
ในการเชียร์กีฬาก็จะได้ยินคนญี่ปุ่นใช้คำ "นิปปอน" เพื่อหวังเอาชัยต่อคู่ต่อสู้ รอบนี้ศัตรูทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นมี 2 ตนคือ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) และ ภาวะเงินฝืด (Deflation) เมื่อเทียบกับ Eurozonomics (เศรษฐศาสตร์ฉบับยูโรโซน) ซึ่งเป็นแนว "ย้อนแย้ง" กับทุกทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้ว Nipponomics มีความเข้มข้นที่ดำเนินตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อย่างหนักแน่น ใช้พลังที่เหลืออยู่เพื่อเสี่ยงเอาชัยกันอย่างเต็มแรง ไม่เพียงแต่เป็นความหวังของญี่ปุ่นเท่านั้น ยังอาจเป็นความหวังของคนที่เรียนเศรษฐศาสตร์อีกด้วยว่า นโยบายเศรษฐศาสตร์ต่างๆ ในตำรานั้นยังคงใช้ได้กับประเทศพัฒนาแล้วที่เติบโตช้า และ สังคมสูงอายุได้อยู่อีกหรือไม่ มาดูรายละเอียดกัน
1.การคลัง : แม้ว่าญี่ปุ่นจะมีหนี้ภาครัฐ ต่อ GDP สูงที่สุดในโลกระดับ 237% เข้าไปแล้ว แต่การใส่งบประมาณพิเศษเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจถึง 20 ล้านล้านเยน (หรือราว 4% GDP) นับได้ว่ากล้าหาญเป็นอย่างมาก และ เรื่องนี้เป็นการดำเนินตามทฤษฎีการคลังของ "เคนส์" อย่างชัดเจน
มีนักเศรษฐศาสตร์บางท่านอย่าง Mr.Fujimaki ได้เตือนว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่จะเพิ่มงบฯ เข้าไปทั้งๆที่หนี้ภาครัฐสูงมากอยู่แล้ว การทำเรื่องเช่นนี้อาจทำให้ญี่ปุ่นต้องผิดนัดชำระหนี้ภายในปีนี้ได้เลย และ อาจทำให้ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงไปได้ถึง 400 เยนต่อ 1 ดอลลาร์
อย่างไรก็ดี เมื่อวัดจากเครื่องชี้วัดสุขภาพการคลังด้วย "ดัชนีเรืองศิริกูลชัย" (Ruang Index) แล้ว พบว่า ญี่ปุ่นมีค่านี้ที่ 1.7% พอๆ กับประเทศไทยที่ 1.6% ซึ่งเป็นระดับเฝ้าระวัง ยังต่ำกว่าระดับวิกฤติ (สูงกว่า 3%) อยู่หลายขุม นั่นหมายถึง สุขภาพการคลังของไทยและญีปุ่นอยู่ระดับเดียวกัน เรื่องนี้อาจเป็นข่าวน่ายินดีกับรัฐบาลญี่ปุ่น ขณะเดียวกันอาจเป็นข่าวที่น่าตกใจกับรัฐบาลไทย หากใช้ดัชนีนี้เป็นตัวชี้วัดรัฐบาลญี่ปุ่นคงประเมินแล้วว่ายังปลอดภัยที่เดินหน้าเพิ่มหนี้ต่อไปได้อีก แม้ 3-4 ปีที่่ผ่านมาจะขาดดุลการคลังระดับ 9-10% GDPต่อปี ซึ่งเป็นระดับที่สูงมากๆ แล้วก็ตาม
2. การเงิน : ญี่ปุ่นใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายเฉียดศูนย์ และ Quantitative Easing (QE) โดยอาจกล่าวได้ว่า ญี่ปุ่น ถือเป็นต้นตำรับของ QE กันเลย เพราะเริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2001 รอบนี้คาดหวังจะพิมพ์เงินแบบไม่อั้น เพื่อทำให้อัตราเงินเฟ้อเข้าเป้าที่ 2% ในขณะที่อเมริกาดำเนินมาตรการ QE แบบระมัดระวังเงินเฟ้อ จึงดูแลปริมาณเงินที่เข้าซื้อพันธบัตรแต่ละเดือนไว้ ญี่ปุ่นกลับไม่กังวลเงินเฟ้อเลยเพราะต้องการดึงภาวะเงินเฟ้อติดลบ (หรือเงินฝืด) ให้กลับไปสู่ด้านบวก หรืออาจกล่าวได้ว่าภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นนั้นเหมาะกับการทำ QE มาก
3.อัตราแลกเปลี่ยน : เมื่อมีการกำหนดเป้าหมายเงินเฟ้อให้สูงขึ้นเป็น 2% ซึ่งหากว่ากันตามทฤษฎี International Fisher Effect แล้ว การที่ประเทศมีเงินเฟ้อคาดหวังสูงขึ้น ก็จะหมายถึง ค่าเงินที่จะอ่อนลงในระยะยาวนั่นเอง การเดินหน้าในเรื่องนี้ก็เพื่อหวังผลักดันให้เงินเยนอ่อนค่าลง ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือเศรษฐกิจจริงในภาคส่งออกเท่านั้น แต่สำหรับสถาบันการเงินและ เฮดจ์ฟันด์ ที่กู้ยืมเงินเยนด้วยต้นทุนต่ำเฉียดศูนย์ (Yen Carry Trade) ยังฟันกำไรมหาศาลหากนำเงินนั้นไปซื้อตราสารหนี้ หรือ ฝากเงิน ในรูปสินทรัพย์เงินยูโร ก็จะทำกำไรได้ถึงกว่า 25% ภายในเวลาครึ่งปีที่ผ่านมา ทั้งๆที่หากฝากเงินในประเทศญี่ปุ่นได้ดอกเบี้ย 0.1% ต่อปีต้องใช้เวลาถึง 250 ปีทีเดียว
สำหรับคนญี่ปุ่น หรือ บริษัทญี่ปุ่น ซึ่งมีเงินฝากเหลืออยู่มหาศาล หากเงินภาพชัดว่าเงินเยนจะอ่อนแน่ๆ แล้วละก็การฝากเงินด้วยดอกเบี้ย 0.1% ต่อปีแถมยังอ่อนค่าลงเรื่อยๆ คงไม่เป็นการดีแน่ การย้ายเงินฝากสกุลเงินเยน กลายเป็น เงินฝากหรือกองทุนตราสารหนี้ของ เงินยูโร ออสซี่ดอลลาร์ เกาหลีวอน หรือแม้แต่ ไทยบาท ก็จะได้กำไรทั้งส่วนต่างจากอัตราดอกเบี้ย และ ส่วนต่างกำไรของค่าเงินอีกด้วย ดังนั้น การที่ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติตั้งแต่ต้นปีก็อาจมีบางส่วนที่เป็นผลมาจาก Nipponomics ก็เป็นได้
และเรื่องนี้จะเป็นบทเรียนอย่างดีสำหรับเศรษฐศาสตร์มหภาค โดย Eurozonomics ใช้วิธี "ย้อนแย้ง" กับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ทั้งการคลังการเงินและ อัตราแลกเปลี่ยน โดยไม่เชื่อ เคนส์ ไม่เชื่อ ฟรีดแมน ไม่เชื่อ ฟิชเชอร์ เพียงเพื่อรักษาระบบยูโรปัจจุบันเอาไว้ ขณะที่ Nipponomics นั้นใช้วิธีเดินตามทฤษฎีเศรษฐศาสตร์อย่างเข้มข้นเต็มกำลัง ซึ่งก็คงต้องติดตามดูผลลัพธ์กันต่อไปว่ากลยุทธใดจะสำเร็จ หรือ ล้มเหลว ในรูปแบบใด
แม้จะเห็นเงินเยนอ่อนค่าลงจาก 78 เยน เป็น 90 เยนต่อ 1 ดอลลาร์ ผมก็ยังประเมินในระดับ 50:50 ว่า Nipponomics นี้จะสำเร็จได้ดังหวังจริงหรือ ?? นี่เป็นการใช้กระบวนท่าเดิมๆ ด้วยพลังที่เข้มข้นยิ่งขึ้นเพื่อหวังเอาชัยศัตรู (เศรษฐกิจถดถอยและเงินฝืด) อย่างไรก็ดี หากไม่สำเร็จเสียแล้วก็อย่าเพิ่งหมดหวัง หากจะลองด้วยกระบวนท่าใหม่ "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" (Taiji-Econ.) บางทีอาจจะสำเร็จก็ได้นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น