คำว่า Yingluckonomics อาจแปลเป็นภาษาไทยได้ว่า "การบริหารเศรษฐกิจสไตล์รัฐบาลยิ่งลักษณ์" ซึ่งหลายคนอาจคิดว่า ไม่เห็นมีอะไรเป็นพิเศษกว่า "ทักษิโณมิกส์" มันก็นโยบายแบบประชานิยมธรรมดาๆ นี่เอง แต่ความจริงแล้ว นี่ไม่ใช่แค่นโยบายประชานิยมแบบพื้นๆ แต่ยังแถมการ "บิดเบือนกลไกตลาด" เข้าไปอีกด้วย
หากมองในแง่บวก ประเทศไทยสามารถเติบโตได้อย่างดี สร้างรายได้เพิ่มให้กับคนจนจำนวนมาก ส่วนหนี้สินภาครัฐไม่เพิ่มเท่าใดนัก นี่อาจนับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ด้านเศรษฐศาสตร์ของโลกเลยทีเดียว เพราะว่า บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม อดัม สมิธ แนะว่า "ใช้มือที่มองไม่เห็น ปล่อยให้กลไกลตลาดทำงาน สร้างดุลยภาพระยะยาว" แต่ Yingluckonomics กลับ "ใช้มือที่มองกันเห็นๆ บิดเบือนกลไกตลาด แล้วสร้างภาวะไร้สมดุล" ต่างหากที่จะเป็นผลดีต่อประเทศชาติ เป็นนโยบาย "งัดข้อ" กับบิดาแห่งเศรษฐศาสตร์กันเลย แม้ผมได้สร้าง 4 ทฤษฎีใหม่ด้านเศรษฐศาสตร์กลายเป็น "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" ยังไม่บ้าบิ่นพอจะไป "งัดข้อ" กับ บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม (อดัม สมิธ) และ บิดาแห่งเศรษฐศาสตร์มหภาค (เคนส์) โดยเพียงแค่สร้างทฤษฎีใหม่เพื่อเสริมจุดอ่อนของสิ่งเดิมๆ เท่านั้น
เรามาลองดูในรายละเอียดกันบ้าง Yingluckonomics มีนโยบายเด่นๆ ก็คือ "2 ต่ำ 2 สูง" โดย ทำให้ราคาดีเซลต่ำ (แทบไม่เก็บภาษีสรรพสามิตลิตรละ 5 บาท) ทำให้ราคารถยนต์ต่ำ (คันแรกไม่เก็บภาษีสรรพสามิต ราคาสุทธิลดเกือบ 20%) ทำให้ราคาข้าวสูง (จำนำข้าวทุกเมล็ดราคาสูงกว่าตลาดมาก) และ ทำให้ค่าแรงสูง (สูงกว่าระดับตลาดที่ควรจะเป็นอยู่มาก)
ดังนั้นสำหรับนักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นหลานศิษย์เหลนศิษย์ของ อดัม สมิธ จึงอดจะคิดลบกับนโยบายเศรษฐกิจที่เสี่ยงแบบนี้ไม่ได้ ผมจึงได้เขียนออกมาเป็น "จากนโยบาย 2 ต่ำ 2 สูง สู่ หายนะ 10 สูง" โดยหายนะที่อาจเกิดขึ้น มีดังนี้้
1. ว่างงานสูง : โดยเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อมีการเพิ่มค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ จะมีการปลดคนงานออกบางส่วน มีการใช้เครื่องจักรทดแทน ย้านฐานการผลิต และ ปิดกิจการ ซึ่งไมว่าเลือกทางไหน การว่างงานก็จะเพิ่มสูงขึ้นทั้งนั้น
2. เงินเฟ้อสูง : จากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากค่าแรง โดยเฉพาะ SMEs ก็อาจจำเป็นต้องเพิ่มราคาสินค้าเพิ่มเข้าไปซึ่งนั่นก็คือ เงินเฟ้อที่สูงขึ้น
3.ดอกเบี้ยสูง : เมื่อเงินเฟ้อสูงขึ้น ธปท.คงจะไม่รีรอแน่ ที่จะรีบๆ ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพือสกัดเงินเฟ้อ แต่การทำเช่นนั้นจะยิ่งเพิ่มต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และ อัตราเงินเฟ้ออาจวิ่งสูงขึ้นไปอีก
4.ขาดดุลการค้าสูง : เพราะ ข้าวส่งออกได้น้อยลงมาก ขณะที่มีการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์ และ น้ำมันดิบเพิ่มเข้ามามาก ทำให้ 11 เดือนของปี 55 ไทยขาดดุลการค้าไปแล้วถึง 5.7 แสล้านบาท
5. เงินบาทสูง : หมายถึง ค่าเงินบาทอ่อน โดยประเทศที่เงินเฟ้อสูง และ ขาดุลการค้ามาก ก็มีแนวโน้มว่าค่าเงินจะอ่อนลง และ ยิ่งเป็นแรงกดดันเงินเฟ้อเข้าไปอีก
6. ขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะสูง : เรื่องนี้ก็ชัดเจนว่า การคลังไทยได้รับผลกระทบจาก จำนำข้าวอาจเสียหายถึง 1.5 แสนล้าน เสียรายได้ภาษีสรรพสามิตรถยนต์ 9 หมื่นล้าน และ ภาษีสรรพสามิตของน้ำมันดีเซลราว 1 แสนล้าน หนี้สาธารณะวิ่งแตะ 5 ล้านล้านบาท
7. ปัญหาจราจรสูง : การมีรถยนต์มากขึ้น และ ดีเซล NGV ราคาต่ำ ย่อมส่งผลให้ใช้จ่ายกันฟุ่มเฟือย การจราจรติดขัด แถมด้วยมลพิษอีกมาก
8. เหลื่อมล้ำสูง : ชาวนาจนๆ กลับไม่ได้ประโยชน์จากการจำนำข้าวเท่าไหร่ ขณะที่ชาวนารวยรับไปเต็มๆ และ ลูกหลานของคนระดับเศรษฐีได้ซื้อรถยนต์ราคาถูกๆ
9. อาชญากรรมสูง : เมื่อมีการว่างงานมากขึ้นจากค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ ก็อาจคาดได้ว่าจะมีการปล้นจี้กันสูงขึ้น รวมทั้งการค้ายาบ้าที่เพิ่มมากด้วย
10. ทุจริตสูง : นโยบายเปิดช่องให้มีการทำทุจริตได้มากทั้งฝ่ายภาครัฐ (คอรัปชั่น) และ ฝ่ายเอกชน
อย่างไรก็ดี เมื่อปีนี้เป็นปีแห่งการคิดบวก ผมได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ 2 สิ่งที่เตรียมไว้ช่วย "ถอนพิษ" ของ Yingluckonomics หากพิษนั้นได้ส่งผลต่อการคลังไทยให้เข้าสู่วิกฤติจริงๆ
1. เครื่องมือวัดสุขภาพการคลัง : ปัจจุบันทั่วโลกให้หนี้สาธารณะ ต่อ GDP เป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพการคลัง แต่หากตัวเลขนี้ใช้ได้ดีจริง หมายถึง ญี่ปุ่น (220%) มีความเสี่ยงการคลังสูงกว่า กรีซ (170%) อิตาลี (120%) และ สเปน (70%) เช่นนั้นหรือ สถานการณ์ปัจจุบันไม่ได้บ่งชี้เช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย
ผมจึงได้นำเอา ดอกเบี้ยระยะยาว (ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปี) เข้ามาร่วมคำนวณด้วยเรียกว่า ดัชนี "เรืองศิริกูลชัย" ผลปรากฎว่า การคลังไทยที่มีหนี้สาธารณะ 45% ต่อ GDP นั้น กลับมีค่าดัชนีนี้อยู่ที่ 1.6% ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศพัฒนาใหญ่ๆ อย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา และ ญี่ปุ่น ซึ่งอยู่ระดับ 1.6-1.9% เช่นกันซึ่งเป็นระดับเฝ้าระวัง หากค่านี้สูงกว่า 2% หมายถึง สุขภาพการคลังย่ำแย่ และ หากสูงกว่า 3% หมายถึง ระดับวิกฤติการคลัง โดย PIIGS เข้าข่ายนี้ทั้งหมด สปน (3.5%) ไอร์แลนด์ (4.8%) อิตาลี (5.0%) โปรตุเกส (7.0%) และ กรีซ (19.5%) นั้นแน่นอนว่าย่ำแย่ที่สุด ดังนั้น จะเห็นว่าการคลังไทยไม่ได้อยู่ระดับปลอดภัยสักเท่าใดนัก เมื่อใดก็ตามที่ค่านี้สูงกว่า 2% ก็ควรจะต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนแนวนโยบายได้
2. ยาถอนพิษวิกฤติการคลัง : โดยผมเตรียมปรุงยาไว้เรียบร้อยโดยเรียกว่า "การคลังไท้เก๊ก" ซึ่งสามารถจะทำให้รัฐบาลสามารถรัดเข็มขัดการคลังไปพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจได้ ด้วยการยืมพลังจากแหล่งอื่นๆ โดย "ยาถอนพิษ" นี้จะมีประโยชน์อย่างมากต่อประเทศกลุ่ม PIIGS ในปัจจุบัน และหากไทยเดินหน้าสู่วิกฤติการคลังจริงๆ อีก 5 ปีข้างหน้า ยานี้ก็จะเป็นแผนสำรองที่จะใช้รับมือได้สบายๆ
ดังนั้นไม่ว่า Yingluckonomics จะสำเร็จหรือล้มเหลว ผมคิดว่าควรประชาสัมพันธ์บรรจุศัพท์คำนี้ไว้ในตำราเศรษฐศาาสตร์มหภาค (Macro Econ.) ทั่วโลก หาก Yingluckonomics ประสบผลสำเร็จนี่คือสิ่งมหัศจรรย์ของวงการเศรษฐศาสตร์ แต่หากล้มเหลวนี่ก็จะเป็นบทเรียนแก่ประเทศอื่นทั่วโลกว่าอย่าได้คิดนำเอานโยบายแนวนี้มาใช้กันอีกต่อไป อย่างไรก็ดี หากสิ่งนี้มีพิษจนถึงขั้นทำให้เกิด "วิกฤติการคลังไทย" พวกเราก็มีแผนสำรองข้างต้นอยู่แล้วไม่ต้องกังวลเลย "คิดบวก" ดีไหมครับ ??
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น