โครงการเศรษฐีไทยผู้ใจบุญ และ คนไทยใจอาทร
 หลังจากได้อ่านข่าวเรื่องของมหาเศรษฐีโลก  นำโดยวอเรน บัฟเฟต์จะพยายามระดมทุนจากมหาเศรษฐี 40 คนเพื่อบริจาคให้กับสาธารณกุศลเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งของสินทรัพย์   ยังมีข่าวของการยึดทรัพย์อดีตนายกฯ ทักษิณ  เป็นเงินถึง 4.9 หมื่นล้าน  ทำให้รายรับการคลังของไทยดีกว่าคาดไปมาก  รวมไปถึงข่าวการประกาศชื่อของมหาเศรษฐีไทย 40 อันดับแรกโดยฟอร์บส์อีกด้วย  ทำให้เกิดความคิดหนึ่ง
 มันเป็นไปได้ไหมที่ประเทศไทยจะจัดโครงการที่ทำให้โลกต้องสนใจตื่นเต้นบ้าง   เป็นโครงการที่แสดงความเอื้ออาทรต่อกันของคนไทยด้วยกัน   และแสดงถึงความเป็นห่วงต่อลูกหลานในอนาคตอีกด้วย
 1. “เศรษฐีไทยผู้ใจบุญ”   ด้วยการชักชวนให้คนระดับเศรษฐีของไทยบริจาคเงินไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท   รัฐบาลจะจัดทำเหรียญทองคำสลักชื่อให้  พร้อมกับมอบสิทธิประโยชน์ของภาครัฐเล็กๆ น้อยๆ ด้วยบัตร VIP  ไม่ต้องรอคิวเมื่อไปทำธุระที่สถานที่ราชการ   สามารถพักห้องพิเศษเมื่อรักษาในโรงพยาบาลของรัฐได้ฟรี   รวมไปถึงการได้อัพเกรดตั๋วโดยสารการบินไทยฟรี   เหล่านี้เป็นต้น    เชื่อว่าอาจมีคนระดับเศรษฐีถึง 300 คนมาร่วมบริจาคได้เงินถึง 3 หมื่นล้านซึ่งก็อาจจะดูดีกว่า  การยึดเงินจากคนเพียงหนึ่งคนที่เขาไม่ยินดีจะมอบให้แก่ประเทศไทย
 2.”คนไทยใจอาทร”  เป็นการมอบเหรียญเงินสลักชื่อให้กับคนไทยที่บริจาคเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป  โดยสิทธิประโยชน์ก็อาจเหลือเพียงประกาศชื่อใน นสพ. พร้อมแจกบัตรเงิน VIP ไม่ต้องรอคิวในสถานที่ราชการเท่านั้น   อาจระดมเงินได้จากโครงการนี้ราว 2.5 หมื่นล้าน
 เมื่อรวม 2 โครงการนี้ก็อาจได้เงิน 5.5 หมื่นล้านบาท  ซึ่งเทียบเคียงกับสวัสดิการรัฐ 3 เรื่อง ที่ให้เบี้ยยังชีพคนชรา  เบี้ยยังชีพคนพิการ และ เรียนฟรี 15 ปี  ซึ่งดูแลช่วยเหลือประชาชนรวมกันถึง 18 ล้านคน   เทียบได้กับการเป็นมูลนิธิขนาดยักษ์ใหญ่บริหารโดยรัฐบาลได้เช่นกัน
 หากมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของไทย  ท่านเจ้าสัวซีพี  จับมือกับท่านรมว.คลัง  ประกาศว่าจะเข้าร่วมโครงการ “เศรษฐีไทยผู้ใจบุญ”  แน่นอน  พร้อมสนับสนุนโครงการแบบนี้เต็มที่  ก็น่าจะสร้างความตื่นเต้นยินดีต่อโครงการนี้ของคนไทยดังไประดับโลกได้เป็นแน่แท้   อาจเห็นผลดีของโครงการได้ถึง 9 ประการดังนี้
1. เป็นการลดความเหลื่อมล้ำ : คนรวยบริจาคเงินออกมาก็รวยน้อยลงนิด  ให้คนจนรวยขึ้นหน่อย
2. เป็นการสร้างความสามัคคีและเอื้ออาทร : เกิดความรักสามัคคีในหมู่ประชาชนคนไทย
3. สร้างภาพพจน์ที่ดีของประเทศไทย : ให้ปรากฏต่อสายตาชาวโลก  เพื่อแก้ไขภาพพจน์เสียๆที่ผ่านมา  จะแสดงถึงว่าคนไทยนั้นรักสามัคคีกัน  และมีความเอื้ออาทรต่อกันเพียงใด
4. ภาพพจน์ของนายทุนดีขึ้น : จากการเอาเปรียบพยายามสูบเอาแต่ผลประโยชน์จากสังคม ก็คืนกำไรส่วนนั้นกลับสู่สังคมไปบ้าง
5. โฆษณาบริษัทฟรีๆ : กิจกรรมแบบนี้เป็นกิจกรรมเพื่อสังคม CSR  หากเจ้าสัวซีพี  เข้าร่วมโครงการ ก็จะส่งผลดีต่อบริษัทในกลุ่มซีพีไปด้วยเช่นกัน  ที่มีภาพพจน์การเอื้อเฟื้อต่อคนไทยด้วยกัน  และโครงการแบบนี้รับนิติบุคคลด้วยเช่นกัน  บริษัทขนาดยักษ์ใหญ่นอกจากเสียภาษีตามกฎหมายแล้ว  ยังสามารถเข้าร่วมโครงการนี้เพื่อประชาสัมพันธ์บริษัทแบบ CSR เช่นนี้ได้ด้วย
6. ภาพพจน์ของนักการเมืองดีขึ้น : นักการเมืองที่เข้าร่วมโครงการ  จะมีภาพพจน์ที่ดีขึ้น  แทนที่จะเอาประโยชน์จากงบประมาณเท่านั้น   โครงการเช่นนี้นักการเมืองยังมีโอกาสได้ใส่เงินคืนกลับรัฐบาล หาเสียงกันได้อย่างถูกกฎหมาย  และ ดูดีมากๆ ในสายตาประชาชน  ท่านรมว.คลังกรณ์  แทนที่จะมีฉายา “นักสู้กู้สิบทิศ” ก็อาจกลายเป็น “ขุนคลังไทยผู้ใจบุญ”  แทนก็ได้
7. ประสิทธิภาพการบริจาคสูง : รัฐสวัสดิการนั้นมองอีกมุมก็คือ มูลนิธิขนาดยักษ์ใหญ่ที่บริหารโดยภาครัฐ  เมื่อมีขนาดใหญ่ต้นทุนการบริหารจัดการคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินช่วยเหลือก็จะต่ำ แค่โอนเงินเข้าบัญชี....เงินถึงมือผู้รับเต็มเม็ดเต็มหน่วย  เรียกได้ว่ามีประสิทธิภาพสูงมาก
8. ลดภาระหนี้การคลัง : แน่นอนการได้เงินระดับ 5.5 หมื่นล้านซึ่งเป็นเป้าหมายของการระดมเงินบริจาคครั้งนี้   จะช่วยลดภาระหนี้สาธารณะได้ เพราะ ช่วยให้รัฐบาลขาดดุลการคลังลดลงไปไม่น้อยเลย
9. กระตุ้นเศรษฐกิจได้ : เงิน 100 บาทหากอยู่ในมือเศรษฐีเงินนี้คือ stock จะไปฝากกับแบงก์ได้ GDP ซึ่งคือดอกเบี้ย 1 บาท  ขณะที่เงินนี้หากเปลี่ยนมือไปอยู่ในมือคนจน stock จะเปลี่ยนเป็น flow เกิดการใช้จ่าย GDP อาจเพิ่มได้ถึง 300 บาท  หรือเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 300 เท่าตัว  นี่ก็คือเคล็ดวิชาของไท้เก๊ก  หรือ “สี่ตำลึงปาดพันชั่ง”  นั่นเอง
ก็ขอฝากให้รัฐบาลได้รีบเร่งดำเนินโครงการคล้ายๆ แบบนี้โดยด่วน  เพราะเป็นโครงการที่ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกถึง 9 ตัว   แถมด้วยบทสัมภาษณ์ของคนแก่  “ยายขอบใจเศรษฐีไทยผู้ใจบุญทุกคนที่ช่วยสนับสนุนให้ยายมีเงินใช้ทุกเดือน”    บทสัมภาษณ์ของเด็ก “หนูขอขอบคุณเศรษฐีไทยผู้ใจบุญทุกท่าน ที่ช่วยสนับสนุนการศึกษา  แถมยังช่วยลดภาระหนี้ในอนาคตให้อีกด้วยคะ”    บทสัมภาษณ์ของคนพิการ “ดิฉันขอขอบคุณเศรษฐีไทยผู้ใจบุญทุกท่าน  ที่ช่วยสนับสนุนให้มีเงินใช้จ่ายได้  มีกำลังใจต่อสู้ชีวิตต่อไปคะ”    หากประสบความสำเร็จได้ดีตามคาด  ผมจะได้นำเอาไปบรรจุไว้เป็น 1 ใน 18 กระบวนท่าเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) ต่อไป    ผมรอดูผลอยู่นะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น