หลังจากปี 1930 โลกได้เข้าสู่สภาพเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก โดยการค้าระหว่างประเทศลดลงกว่า 50% และ การว่างงานได้สูงขึ้นถึง 25% แม้จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยจนมาระัดับที่ต่ำมากๆ แต่ผลลัพธ์ก็คือยังเกิดภาวะที่ยากลำบากอย่างยิ่ง จนเกือบถึงขั้นล่มสลายทางสังคมและเศรษฐกิจทุนนิยม
จนกระทั่งจอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ ได้เสนอให้รัฐบาลของประเทศต่างๆ เพิ่มงบประมาณเ้ข้าไปแบบขาดดุลจำนวนมาก เพื่อสร้างอุปสงค์ให้เพียงพอเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวขึ้นมาได้ แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้โดยญีุ่ปุ่นก่อน หลังจากนั้นก็อเมริกาและยุโรป นำมาใช้ต่อมา อเมริกามีการใช้จ่ายเงินงบประมาณเพียง 3% GDP ในปี 1929 ได้เพิ่มมาเป็นถึง 40% GDP ในยุคถัดมาโดยประธานาธิบดีรูสเวลต์
อย่างไรก็ดี เมื่อถึงปี 1937 ประธานาธิบดีรูสเวต์เห็นว่าเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจนกำลังการผลิตกลับมาเหมือนปี 1929 จึงได้เดินหน้ารัดเข็มขัดการคลังนปีนั้น กลับพบว่า 1 ปีหลังจากนั้นเศรษฐกิจดิ่งตัวลงอย่างเร็ว การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลงถึงเกือบ 30% ภายในไม่กี่เดือน โดยเฉพาะสินค้าคงทนยิ่งลดลงหนัก อัตราการว่างงานเพิ่มจาก 14.3% ในปี 1937 สูงขึ้นเป็น 19.0% ในปี 1938 เพิ่มจาก 5 ล้านคนเป็น 12 ล้านคน ภายการผลิตก็ลดจากระดับสูงสุดปี 1937 ถึง 37%
ถึงกระนั้น ศจ.แบร์โล (Robert Barro) ไ้ด้ชี้ประเด็นว่านั่นไม่ใช่เพราะ ผลจากการรัดเข็มขัดของนโยบายการคลัง เขาเืชื่อว่าค่าตัวทวี (multiplier) ของทฤษฎีเคนส์นั้นมีค่าเข้าใกล้ศูนย์ โดยรัฐบาลจะมาแย่งเงินจากภาคเอกชนไป และ ในปี 1937 นั้น รัฐบาลรัดเข็มขัดเพียงแค่ 1% GDP แต่กลับทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงได้ถึง 4.8% แม้แต่ที่นักเศรษฐศาสตร์สำนักเคนส์เองก็ไม่เชื่อว่าค่าตัวทวีจะสูงได้ขนาดนั้น
ผมคิดว่าสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของเศรษฐกิจถดถอยลงอย่างเร็วระหว่างปี 1937-38 อาจเป็น "พรบ.ประกันสังคม" นั่นเอง การบังคับใช้ พรบ.ประกันสังคมในปี 1937 ได้บังคับให้ผู้ใช้แรงงาน บริษัทและรัฐบาลต้องร่วมกันสมทบเงินเพื่อออมเงินในระยะยาว แม้เืรื่องนี้จะเหมาะสมอย่างยิ่งเพื่อสร้างความมั่นคงในอนาคตระยะยาว แต่ระยะสั้นๆ แล้ว จะทำให้กำลังซื้อของผู้ใช้แรงงานลดลด เพราะ "ไม่มีของฟรีในโลก" เป็นการทำ "เคลื่อนเป็นนิ่ง" สิ่งนี้เองน่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจเกิดการถดถอยเป็นรอบที่ 2 ในช่วงเวลานั้น
เช่นเดียวกับประเทศไทย หลังจากมีการเ็ก็บเงินสมทบเพิ่มจาก 1% เป็น 3% เป็น 5% เข้าระบบประกันสังคม ก็ส่งผลประเทศไทยมีระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญด้วยเช่นกัน ในทางตรงกันข้าม การลดเงินสมทบเป็นช่วงเวลาสั้นๆ เพื่อบรรเทาจากผลกระทบของวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และ วิกฤติอุทกภัยครั้งใหญ่ ก็พบว่าสามารถช่วยพยุงเศรษฐกิจเอาไว้ได้ การดำเนินนโยบายด้านประกันสังคมอาจต้องชั่งน้ำหนักถึง "อนาคต" และ "ปัจจุบัน" ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น