ณ เวลานี้ ประเทศพัฒนาจำนวนมาก ทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น และ อังกฤษ ต่างก็ประสบปัญหากับ "วิกฤติการคลัง" จนจำเป็นต้องรัดเข็มขัด แม้จะยังเกิด "วิกฤติการว่างงาน" อยู่ก็ตาม ขณะที่ประเทศยูโรโซนนั้น ยังมี "วิกฤติเงินยูโร" ที่ทับซ้อนเข้ามาอีกด้วย เพราะ การผูกค่าเงินไว้กับประเทศถึง 17 ประเทศ โดยความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจแตกต่างกันอย่างมาก ได้ส่อเค้าลางแห่งปัญหามากมาย
ค่าตัวทวี (multiplier) ในทางการคลัง หมายถึง อัตราส่วนการเพิ่มขึ้นของ GDP หากมีการใช้จ่ายภาครัฐเพิ่มขึ้น 1 หน่วย โดยที่ค่านี้อาจผันแปรไปตามแนวคิดของเศรษฐศาสตร์แต่ละสำนัก
1. สำนักเคนส์ โดยเจ้าสำนัก คือ "จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์" : ศรัทธาในนโยบายการคลัง เชื่อว่าการใช้จ่ายภาครัฐ (G) จะเหนี่ยวนำให้เกิดการใช้จ่าย (C) และ ลงทุนของภาคเอกชน (I) เพิ่มขึ้น ส่งให้ค่าตัวทวีมีค่าที่สูงกว่า 1
2. สำนักการเงินนิยม (monetarism) โดยเจ้าสำนัก "มิลตัน ฟรีดแมน" : ไม่เชื่อในประสิทธิภาพของนโยบายการคลัง โดยเชื่อว่า การใช้จ่ายภาครัฐ (G) แม้จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้บ้าง แต่จะไปแย่งการเงินจากภาคเอกชนทำให้การใช้จ่าย และ ลงทุนของเอกชน (C และ I) ลดลง ในลักษณะของ crowding out effect จึงส่งผลให้ค่าตัวทวีนั้นเข้าใกล้ "ศูนย์"
เจ้าสำนักทั้ง 2 อาจกล่าวได้ว่าเป็น นักเศรษฐศาสตร์ทุนนิยมกระแสหลักชื่อดังที่สุดในรอบศตวรรษ โดยเป็นผู้วางกรอบนโยบายการคลัง และ การเงิน ตามลำดับและใช้กันมาจนถึงปัจจุบันนี้ อย่างไรก็ดีทั้ง 2 สุดยอดแนวคิดก็ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศพัฒนาแล้วได้ ณ ปัจจุบัน (วิกฤติการว่างงาน ซ้อน วิกฤติการคลัง)
3. สำนักเศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) ซึ่งพึ่งตั้งขึ้นใหม่สดๆ ร้อนๆ เลย มองในอีกแง่มุมหนึ่ง โดยเชื่อว่า ค่าตัวทวีอาจถึงขั้น "ติดลบ" ได้เลย ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตรงข้ามกับเคนส์โดยสิ้นเชิง เพราะสภาพการณ์ของเศรษฐกิจได้แตกต่างจากในอดีตอย่างมาก โดยอาจแบ่งเป็น 2 ประเด็นดังนี้
1.เคนส์เชื่อว่า นโยบายการคลัง คือ การย้ายเงินจาก "คนรวยมาสู่คนจน" โดยผ่าน "พันธบัตรรัฐบาล" เป็นตัวกลาง ทำให้เศรษฐกิจหมุนรอบได้สูงขึ้น แต่ความจริงแล้ว Taiji-Econ. เชื่อว่าในปัจจุบันเงินกลับทิศโดยย้ายจาก "คนจนมาสู่คนรวย" โดยระดมเงินจากกองทุนประกันสังคมซึ่งผู้ประกันตนส่วนใหญ่ยากจน ระดมเงินจาก กบข.ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการออมของข้าราชการรายได้น้อย ไปลงทุนพันธบัตรรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจราว 70-80% เพื่อนำเงินนั้นไปสร้างความมั่งคั่งให้กับ นายทุนบริษัทรับเหมาก่อสร้าง นักการเมืองและข้าราชการขึ้โกง (คอรัปชั่น) ดังนั้น การหมุนรอบของเงินจึงลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าตัวทวีจากผลของนโยบายการคลังถึงขึ้น "ติดลบ"
2.เคนส์เชื่อว่า การใช้จ่ายภาครัฐในอดีต คือ "เปลี่ยนนิ่งเป็นเคลื่อน" โดยเปลี่ยนเงินที่หยุดนิ่งในระบบแบงก์ (stock) ให้เป็นพันธบัตรัฐบาลและการใช้จ่ายภาครัฐ (flow) จึงส่งผลต่อเนื่องกระตุ้นอุปสงค์ในภาคเอกชนด้วย แต่ความจริงในปัจจุบัน Taiji-Econ. เชื่อว่ามีหลายโครงการภาครัฐคือ "เปลี่ยนเคลื่อนเป็นนิ่ง" โดยภาครัฐได้ทุ่มเงินจำนวนมาก (flow) เข้าไปเป็น กองทุนบำนาญ (stock) เช่น การสมทบเงินเข้า กบข. ประกันสังคมนอกระบบ (ประชาวิวัฒน์) และ กอช.(ในอนาคต) รวมไปถึง การลดหย่อนภาษีวงเงินสูงมากกับกองทุนบำนาญ (RMF,LTF,ประกันชีวิต) เช่นนี้เอง การที่รัฐบาลใช้เงินภาครัฐ (G) ไม่เพียงแต่ไม่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแม้แต่น้อย ยังจะดูดเงินภาคเอกชนมาจมอยู่กับกองทุนต่างๆด้วย ทำให้ C และ I ลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้น ผลกระทบรวมทั้งหมดจึงได้ค่าตัวทวี "ติดลบ"
ความรู้เรื่องค่าทวี "ติดลบ" จะช่วยวิกฤติการคลังของประเทศพัฒนาแล้วได้อย่างไร ?? ก็ง่ายๆ ตรงไปตรงมา ก็คือ ในเมื่อค่าตัวทวี "ติดลบ" หากทำ 2 เรื่องนี้ ก็จะรัดเข็มขัดการคลัง โดยเศรษฐกิจดีขึ้นได้ด้วย
1. ดูแลเรื่องคอรัปชั่นอย่างดี รวมทั้งการยึดทรัพย์นักการเมืองและข้าราชการขี้โกงด้วย สำหรับวิธีแบบไทยๆ ผมขอเสนอให้ ท่านนายกฯ คนใหม่ พาคณะรัฐมนตรี รวมไปถึง ข้าราชการระดับบิ๊กๆ ทั้ง ทหาร และ พลเรือน ไปสาบานที่วัดพระแก้วว่าจะไม่โกงกินเงินแผ่นดิน มิเช่นนั้น "ขอให้ถูกยึดทรัพย์ ติดคุกหัวโต" ใครไม่กล้าไปสาบาน ก็ขอให้คัดชื่อออกจากลิสต์รัฐมนตรีได้เลย เพราะ ส่อเค้าจะโกงตั้งแต่ต้น ด้วยวิธีแบบไทยๆ เช่นนี้ก็น่าจะลดการโกงกินลงไปได้ครึ่งหนึ่ง สำหรับการยึดทรัพย์นั้น ควรมีการให้รางวัล "คนแฉ" ด้วยการแบ่งส่วนแบ่งสัก 25% ของทรัพย์ที่ยึดได้ และ ลดโทษการยึดทรัพย์ของ "คนแฉ" เหลือแค่กึ่งหนึ่ง ประเทศชาติจะรับทรัพย์มากมายโดยไม่ต้องขึ้นภาษีเลย เป็นการ"รัดเข็มขัดการคลัง"อย่างเฉลียวฉลาด
2. รัดเข็มขัดการคลังในโครงการประเภทเงินจม หรือพวกโครงการ "เปลี่ยนเคลื่อนเป็นนิ่ง" จะกลับส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจโดยรวม (GDP สูงขึ้น) นอกจากนี้ การให้ผู้ประกันตนยืมเงินออมบำนาญตนเองได้ โดยรัฐบาลเก็บค่าค้ำประกันสินเชื่อ ก็เป็นแนวคิด "ยืมพลัง" และ "เปลี่ยนนิ่งเป็นเคลื่อน" ซึ่งทำให้ "รัดเข็มขัดการคลังโดยที่เศรษฐกิจดีขึ้นได้"
หากผู้นำของประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายโดยเฉพาะประเทศแถวยุโรปได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ อาจจะตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก วันรุ่งขึ้นอาจรีบประกาศออกสื่อทั่วประเทศว่า "เราได้เรียนรู้ทฤษฎีใหม่ที่จะรัดเข็มขัดการคลัง โดยเศรษฐกิจไม่แย่ลงแต่กลับดีขึ้น ดังนั้น จึงไม่ต้องปลดคนงานออกแต่กลับมีการจ้างงานเพิ่ม ขอให้พี่น้องประชาชนหยุดการประท้วงได้แล้ว ทางออกอยู่ตรงนี้เอง" บางทีแนวคิดนี้อาจเป็นแสงสว่างเล็กๆ ปลายอุโมงค์วิกฤติการคลังก็เป็นได้ สำหรับประเทศไทยของเรา หากรัฐบาล "นารีขี่ม้าหมุน" ยังคงสนุกสนานเพลิดเพลินกับ นโยบายขายฝันในสวนสนุก แบบ "ประชานิยมสุดขั้ว" อีกไม่นาน "วิกฤติการคลัง" ก็อาจมาเยือนเร็วกว่าที่คิด ดังนั้น ศึกษาแนวคิดเหล่านี้ไว้ก่อนก็น่าจะไม่เสียหลายแต่อย่างใดครับ
เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-econ.) คือ แนวคิดที่ใช้กฎ 3 ข้อของไท้เก๊กมาช่วย ด้วยการ "รักษาสมดุล" "ยืมพลังสะท้อนพลัง" และ "ในนิ่งมีเคลื่อน ในเคลื่อนมีนิ่ง" ซึ่งจะช่วยปรับปรุงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันที่้บกพร่องให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิกฤติการคลัง แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วิกฤติการคลัง แสดงบทความทั้งหมด
วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
จาก "ประชานิยม" สู่ "ประชาชมชอบ"
หลังจากได้มีการวิจารณ์กันอย่างกว้างขวางว่า สิ่งที่รัฐบาลชุดนี้ได้ทำไปนั้นเรียกว่า "รัฐสวัสดิการ" หรือว่า "ประชานิยม" กันแน่ อันที่จริงแล้วก็เชื่อว่ามีน้อยคนนักที่จะแยก 2 เรื่องนี้ออกจากกันได้อย่างชัดเจน เพราะ ทั้ง 2 ชื่อนี้ก็ล้วนแล้วแต่ใช้เงินงบประมาณ เพื่อสร้างความพอใจแก่ประชาชนกลุ่มใหญ่ไม่ต่างกันเท่าใดนัก แต่หากจะหาประเด็นเพื่อแยก 2 เรื่องนี้ออกจากกันก็อาจเป็นแหล่งที่มาของเงินงบประมาณเพื่อนำมาใช้ทำสวัสดิการให้ประชาชน หากเป็น "เงินกู้"ก็เข้าข่าย "ประชานิยม" แต่หากเป็น "ภาษีที่เก็บเพิ่ม" ก็เข้าข่าย "รัฐสวัสดิการ"
สำหรับรัฐบาลชุดนี้ได้เดินหน้าอย่างกล้าหาญในการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และ บุหรี่ เพิ่ม แม้จะมีเสียงบ่นจากทั่วทุกสารทิศ อย่างไรก็ดีเงินก้อนนี้ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับนโยบายสวัสดิการประชาชนที่ใช้จ่ายถึงกว่า 3 แสนล้านบาท ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่รัฐบาลทำไปแล้วจนถึงปัจจุบันก็คือ "รัฐสวัสดิการ..แบบยังไม่ถึงครึ่งทาง" เพราะเมื่อจะเดินหน้าเก็บ VAT เพิ่มเพื่อให้ใกล้เคียงกับระดับสากล และสร้างฐานรายได้เพื่อทำรัฐสวัสดิการอย่างเต็มรูปแบบ ก็ปรากฏว่า รัฐบาลไม่กล้าทำเพราะเป็นห่วงคะแนนเสียงทางการเมืองที่อาจจะตกต่ำลง
มันจะดีกว่าไหม หากมีนโยบายซึ่งไม่ต้องเงินงบประมาณเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ยังคงสร้างความพอใจกับประชาชนกลุ่มใหญ่ได้อยู่ เมื่อไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเพิ่ม ก็ไม่ต้อง "กู้เงิน" และ ไม่ต้อง "เก็บภาษีเพิ่ม" ซึ่ง 2 เรื่องนี้เป็นภาระต่อประชานในอนาคต และ ภาระต่อประชาชนในปัจจุบันตามลำดับ นโยบายแบบนี้เองที่ผมตั้งชื่อให้ว่า "นโยบายประชาชมชอบ"
คงไม่ต้องลงไปในรายละเอียดอีกแล้วสำหรับ "เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก" (Taiji-Econ.) ซึ่งเป็นแนวคิดของการยืมพลัง โดยเฉพาะกองทุนบำนาญ มาเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลในการสร้างความพอใจต่อประชาชน เป็นการยืมพลังแห่ง stock มาช่วย flow (GDP) ยืมพลังแห่งเจ้าหนี้ (กองทุนบำนาญ) มาช่วยลูกหนี้ (รัฐบาล)
ที่จริงแล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ และ รัฐบาลทักษิณ ก็ได้เคยทำ "นโยบายประชาชมชอบ" มาแล้วด้วยเช่นกัน เช่น "กองทุนหมู่บ้าน" เป็นการยืมพลังจากแบงก์รัฐ (ออมสิน) จึงไม่ต้องมีการใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่น้อย และ ในรัฐบาลชุดนี้ก็มี "แก้หนี้นอกระบบ" ก็เป็นหลักการคล้ายกันด้วยการยืมพลังจากแบงก์รัฐอีกเช่นกัน เงินงบประมาณไม่ต้องใช้เลยหากไม่เกิดปัญหาหนี้เสียขึ้น จนรัฐบาลต้องไปเพิ่มทุนให้แก่แบงก์รัฐเหล่านั้น แต่ที่ผ่านๆ มารัฐบาลยังคงวนๆ อยู่กับการ "ยืมพลังแบงก์รัฐ" จนนโยบายแบบนี้ถูกเรียกว่าเป็น "นโยบายกึ่งการคลัง" แต่โดยความเป็นจริงแล้วหากจัดระบบอย่างดี ปัญหาหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำเสียแล้ว ผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐแทบไม่มีเลยก็ว่าได้
ส่วน "นโยบายลดสมทบ"ของกองทุนประกันสังคม ถือเป็นก้าวที่สำคัญที่รัฐบาลเริ่มใช้ "การยืมพลังจากกองทุนบำนาญ" ที่ให้ผู้ประกันตนลดภาระในการสมทบเงินเข้ากองทุนจาก 5% เหลือ 3% ทำให้เหลือเงินติดกระเป๋ามากขึ้น กินอยู่สบายขึ้น ซึ่งก็ได้ทำมาครึ่งปีในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ผ่านมา วิธีนี้รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลย แต่สามารถช่วยให้ผู้ประกันตนซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มใหญ่พอใจมากขึ้นได้
ผมได้เขียนเรื่อง "ปฏิรูปเศรษฐกิจไทยสไตล์ 999" และ "รัดเข็มขัดการคลังอย่างไร ให้เศรษฐกิจดีขึ้น" ไว้แล้วด้วย หากรัฐบาลทำตามนั้น ก็จะช่วยให้ผู้ประกันตน และข้าราชการรายได้น้อย เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ และ พื้นที่เช่าได้ในต้นทุนที่ต่ำลงมาก รัฐบาลไม่ต้องเสียเงินเลย แถมยังได้เงินค่าธรรมเนียมสินเชื่อและค่าเช่าพื้นที่ว่างในสถานที่ราชการอีกด้วย นอกจากนี้ การลดวงเงินหักลดหย่อนภาษีสำหรับ RMF,LTF ยังจะทำให้รัฐบาลได้เงินเพิ่มอีก 1 หมื่นล้าน การลดเงินสมทบเข้า กบข.ก็จะช่วยให้ข้าราชการรายได้น้อยมีเงินหมุนเวียนได้มากขึ้น การขยายอายุการสงเคราะห์บุตรในระบบประกันสังคม แม้แต่การแก้ไขปัญหาราคาไข่แพง หรือการพยายามลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแบงก์ ขอให้ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณแล้วช่วยประชาชนส่วนใหญ่ได้...ทำเถอะครับ
ยังมีเรื่องราวต่างๆ อีกมากที่รัฐบาลสามารถจะทำได้ โดยไม่ต้อง "กู้เงิน" เพื่อเพิ่มหนี้สาธารณะซึ่งจะเป็นภาระต่อคนรุ่นลูกหลานในอนาคต ไม่ต้อง "เพิ่มภาษี" อันอาจเป็นภาระต่อซึ่งอาจเป็นภาระต่อประชาชนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน แถมไม่ต้องกังวลการ "รับเงินใต๊โต๊ะ" อีกด้วยเพราะ ไม่มีส่วนต้องใช้เงินงบประมาณเลย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 3 ตัว นโยบายการยืมพลังที่จะช่วยให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพึงพอใจได้โดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยนั้น ซึ่งก็คือ "นโยบายประชาชมชอบ" นั่นเอง
สำหรับรัฐบาลชุดนี้ได้เดินหน้าอย่างกล้าหาญในการเรียกเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมัน และ บุหรี่ เพิ่ม แม้จะมีเสียงบ่นจากทั่วทุกสารทิศ อย่างไรก็ดีเงินก้อนนี้ยังเป็นสัดส่วนที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับนโยบายสวัสดิการประชาชนที่ใช้จ่ายถึงกว่า 3 แสนล้านบาท ดังนั้น อาจกล่าวได้ว่า สิ่งที่รัฐบาลทำไปแล้วจนถึงปัจจุบันก็คือ "รัฐสวัสดิการ..แบบยังไม่ถึงครึ่งทาง" เพราะเมื่อจะเดินหน้าเก็บ VAT เพิ่มเพื่อให้ใกล้เคียงกับระดับสากล และสร้างฐานรายได้เพื่อทำรัฐสวัสดิการอย่างเต็มรูปแบบ ก็ปรากฏว่า รัฐบาลไม่กล้าทำเพราะเป็นห่วงคะแนนเสียงทางการเมืองที่อาจจะตกต่ำลง
มันจะดีกว่าไหม หากมีนโยบายซึ่งไม่ต้องเงินงบประมาณเลยแม้แต่บาทเดียว แต่ยังคงสร้างความพอใจกับประชาชนกลุ่มใหญ่ได้อยู่ เมื่อไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเพิ่ม ก็ไม่ต้อง "กู้เงิน" และ ไม่ต้อง "เก็บภาษีเพิ่ม" ซึ่ง 2 เรื่องนี้เป็นภาระต่อประชานในอนาคต และ ภาระต่อประชาชนในปัจจุบันตามลำดับ นโยบายแบบนี้เองที่ผมตั้งชื่อให้ว่า "นโยบายประชาชมชอบ"
คงไม่ต้องลงไปในรายละเอียดอีกแล้วสำหรับ "เศรษฐศาสตร์ไทเก๊ก" (Taiji-Econ.) ซึ่งเป็นแนวคิดของการยืมพลัง โดยเฉพาะกองทุนบำนาญ มาเพื่อช่วยเหลือรัฐบาลในการสร้างความพอใจต่อประชาชน เป็นการยืมพลังแห่ง stock มาช่วย flow (GDP) ยืมพลังแห่งเจ้าหนี้ (กองทุนบำนาญ) มาช่วยลูกหนี้ (รัฐบาล)
ที่จริงแล้วรัฐบาลอภิสิทธิ์ และ รัฐบาลทักษิณ ก็ได้เคยทำ "นโยบายประชาชมชอบ" มาแล้วด้วยเช่นกัน เช่น "กองทุนหมู่บ้าน" เป็นการยืมพลังจากแบงก์รัฐ (ออมสิน) จึงไม่ต้องมีการใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่น้อย และ ในรัฐบาลชุดนี้ก็มี "แก้หนี้นอกระบบ" ก็เป็นหลักการคล้ายกันด้วยการยืมพลังจากแบงก์รัฐอีกเช่นกัน เงินงบประมาณไม่ต้องใช้เลยหากไม่เกิดปัญหาหนี้เสียขึ้น จนรัฐบาลต้องไปเพิ่มทุนให้แก่แบงก์รัฐเหล่านั้น แต่ที่ผ่านๆ มารัฐบาลยังคงวนๆ อยู่กับการ "ยืมพลังแบงก์รัฐ" จนนโยบายแบบนี้ถูกเรียกว่าเป็น "นโยบายกึ่งการคลัง" แต่โดยความเป็นจริงแล้วหากจัดระบบอย่างดี ปัญหาหนี้เสียอยู่ในระดับต่ำเสียแล้ว ผลกระทบต่องบประมาณรายจ่ายของรัฐแทบไม่มีเลยก็ว่าได้
ส่วน "นโยบายลดสมทบ"ของกองทุนประกันสังคม ถือเป็นก้าวที่สำคัญที่รัฐบาลเริ่มใช้ "การยืมพลังจากกองทุนบำนาญ" ที่ให้ผู้ประกันตนลดภาระในการสมทบเงินเข้ากองทุนจาก 5% เหลือ 3% ทำให้เหลือเงินติดกระเป๋ามากขึ้น กินอยู่สบายขึ้น ซึ่งก็ได้ทำมาครึ่งปีในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่ผ่านมา วิธีนี้รัฐบาลไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลย แต่สามารถช่วยให้ผู้ประกันตนซึ่งเป็นประชาชนกลุ่มใหญ่พอใจมากขึ้นได้
ผมได้เขียนเรื่อง "ปฏิรูปเศรษฐกิจไทยสไตล์ 999" และ "รัดเข็มขัดการคลังอย่างไร ให้เศรษฐกิจดีขึ้น" ไว้แล้วด้วย หากรัฐบาลทำตามนั้น ก็จะช่วยให้ผู้ประกันตน และข้าราชการรายได้น้อย เข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ และ พื้นที่เช่าได้ในต้นทุนที่ต่ำลงมาก รัฐบาลไม่ต้องเสียเงินเลย แถมยังได้เงินค่าธรรมเนียมสินเชื่อและค่าเช่าพื้นที่ว่างในสถานที่ราชการอีกด้วย นอกจากนี้ การลดวงเงินหักลดหย่อนภาษีสำหรับ RMF,LTF ยังจะทำให้รัฐบาลได้เงินเพิ่มอีก 1 หมื่นล้าน การลดเงินสมทบเข้า กบข.ก็จะช่วยให้ข้าราชการรายได้น้อยมีเงินหมุนเวียนได้มากขึ้น การขยายอายุการสงเคราะห์บุตรในระบบประกันสังคม แม้แต่การแก้ไขปัญหาราคาไข่แพง หรือการพยายามลดส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแบงก์ ขอให้ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณแล้วช่วยประชาชนส่วนใหญ่ได้...ทำเถอะครับ
ยังมีเรื่องราวต่างๆ อีกมากที่รัฐบาลสามารถจะทำได้ โดยไม่ต้อง "กู้เงิน" เพื่อเพิ่มหนี้สาธารณะซึ่งจะเป็นภาระต่อคนรุ่นลูกหลานในอนาคต ไม่ต้อง "เพิ่มภาษี" อันอาจเป็นภาระต่อซึ่งอาจเป็นภาระต่อประชาชนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน แถมไม่ต้องกังวลการ "รับเงินใต๊โต๊ะ" อีกด้วยเพราะ ไม่มีส่วนต้องใช้เงินงบประมาณเลย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกถึง 3 ตัว นโยบายการยืมพลังที่จะช่วยให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศพึงพอใจได้โดยไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยนั้น ซึ่งก็คือ "นโยบายประชาชมชอบ" นั่นเอง
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553
รัดเข็มขัดการคลังอย่างไร...ให้เศรษฐกิจดีขึ้น
รัดเข็มขัดการคลังอย่างไร...ให้เศรษฐกิจดีขึ้น
ช่างเป็นคำถามที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก ที่กำลังหาหนทางในการแก้ไขวิกฤติหนี้สินสาธารณะ พร้อมๆ ไปกับการดูแลให้เศรษฐกิจยังคงดีอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็มักจะทิ้งไว้แต่คำถามโดยแทบไม่เคยมีคำตอบให้เลย
หากเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน ในเวลาที่ผมยังคงวนอยู่ในกรอบแนวคิดเศรษฐกิจมหภาคแบบเดิมๆ Y=C+I+(X-M)+(G-T) นั่นหมายถึง หากเราลด (G-T) ลง คือ รัฐบาลใช้จ่ายน้อยลง หรือเพิ่มภาษีต่างๆ มากขึ้น ซึ่งก็คือ การรัดเข็มขัดทางการคลังนั่นเอง ย่อมจะส่งผลทางลบต่อ Y หรือ GDP เป็นแน่ ตามหลักแนวคิดคณิตศาสตร์อย่างง่าย ผมก็คงยังคิดเหมือนๆ กับนักเศรษฐศาสตร์โดยทั่วไปว่าคำถามแบบนี้ ไม่น่าจะมีคำตอบที่ดีๆ ได้แต่อย่างใด
ในปัจจุบันจะพบว่าประเทศพัฒนาแล้วทั้งในยุโรป ญี่ปุ่นและอเมริกา ต่างก็ต้องพยายามหาทางรัดเข็มขัดการคลัง เพื่อดูแลปัญหาหนี้สาธารณะไม่ให้เกิดวิกฤติลุกลามอย่างสาหัสคล้ายกับกรณีของประเทศกรีซ แต่จะทำอย่างไร...เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจต้องย่ำแย่ลงอีกครั้งหนึ่ง นี่อาจเป็นโจทย์ที่ยากเย็นอย่างยิ่งของนักเศรษฐศาสตร์เลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ดี ผมได้เสนอแนวคิด เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) ไว้แล้ว ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดใหม่อันจะช่วยให้รัฐบาลสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้น หรือ ลดรายจ่ายลงได้ โดยไม่มีผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ โดยใช้หลักการยืมพลังจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะ กองทุนบำนาญ จะมีหลายๆ เรื่องกลับช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นด้วยซ้ำไป ขอลองตอบโจทย์นี้สัก 9 เรื่องซึ่งอาจเป็นคำตอบของโจทย์ยากๆ ข้อนี้
1. สินเชื่อ999 : โดยให้ สปส. และ กบข. ค้ำประกันเงินกู้ให้กับผู้ประกันตน และสมาชิก ไม่เกิน 9 ส่วนของเงินออม อัตราดอกเบี้ย 9%ต่อปี และ ผ่อนได้สูงสุด 9 ปี วิธีนี้รัฐบาลจะได้ค่าธรรมเนียมฟรีๆ 1.5% ของสินเชื่อ อาจเป็นรายได้เพิ่มถึง 1 หมื่นล้าน โดยเศรษฐกิจจะดีขึ้นด้วยจากกำลังเงินที่เพิ่มขึ้นของประชาชนอีกหลายแสนล้าน
2. พื้นที่เช่า 999 : โดยให้จัดพื้นที่ค้าปลีกราคาถูก 999 บาทต่อเดือน ในสถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ บ้านเอื้ออาทรค่าเช่า 999 ต่อเดือน รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และ ประชาชนจะมีเงินติดกระเป๋ามากขึ้นเช่นกัน เพราะ ค่าเช่าที่เคยจ่ายนั้นลดลง
3. ลดหย่อนภาษี 999 : ให้ลดวงเงินหักลดหย่อนภาษีทั้ง RMF,LTF และ ประกันชีวิต จากระดับ 5 แสน เหลือแค่ 9 หมื่นบาทเท่านั้น จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ รัฐบาลได้เงินเพิ่มอีก 1 หมื่นล้าน และ คนระดับเศรษฐีจะออมน้อยลงและนำเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น
4. ดึงเงินจากกองทุนน้ำมัน : รัฐบาลเพิ่มภาษีสรรพสามิตได้อีกลิตรละ 1 บาท แต่ให้ลดเงินนำเข้ากองทุนน้ำมันลง 2 บาทต่อลิตร..ดังนั้นน้ำมันขายปลีกจะลดราคาลงได้ 1 บาทต่อลิตร ประชาชนใช้น้ำมันถูกลง แต่รัฐบาลได้ภาษีเพิ่มขึ้น ดึงเงินจากกองทุนน้ำมันมาช่วยนั่นเอง
5. โอนครอบครัวผู้ประกันตนเข้าระบบประกันสังคม : โอนบุคคลในครอบครัวของผู้ประกันตนราว 6 ล้านคน เข้าสู่ระบบประกันสังคม ซึ่งทำให้รัฐบาลประหยัดรายจ่ายไปได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีจากงบบัตรทอง (สปสช.) ขณะที่ประชาชนไม่มีคนเสียประโยชน์ เงินคุ้มครอง 4 กรณีซึ่งรวมการประกันสุขภาพด้วยของ สปส.ยังมีเหลืออยู่กว่า 9 หมื่นล้านบาท ยังรองรับภาระนี้ได้อีกหลายปี
6. เบี้ยกตัญญู 999: แทนที่จะได้รับเบี้ยยังชีพคนชราคนละ 500 บาทจากรัฐบาล ก็ผลักให้เป็นภาระของกองทุนประกันสังคมเสีย พ่อแม่ของผู้ประกันตนรับไปเลยคนละ 999 บาทต่อเดือน อาจโอนไปได้ 2 ล้านคน ทำให้รัฐบาลประหยัดรายจ่ายไปอีก 1.2 หมื่นล้าน
7. ต้อนรับการย้ายถิ่น 999K : รัฐบาลเปิดรับการย้ายถิ่นของคนชราจากประเทศพัฒนาแล้ว 9.99 แสนคน โดยประเทศเหล่านั้นมักให้งบอุดหนุนด้านสุขภาพต่อหัวอยู่ที่ราว 4-5 แสนบาท่ต่อคนชรา 1 คนอยู่แล้ว หากเกิดการย้ายถิ่นจริงไทยก็ของบจากประเทศเหล่านั้นได้เลยหัวละ 9.99 หมื่นบาท แบ่งคนละครึ่งระหว่าง รพ.ชั้นนำ และ รัฐบาลไทย ดูแลสุขภาพประชากรพวกเขาอย่างดี ขณะที่รัฐบาลมีรายได้เพิ่มรับไปเลย 5 หมื่นล้านบาทต่อปี และ ยังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมอีกมากจากประชากรที่มีเงินได้เงินบำนาญในระดับสูงกลุ่มนี้
8. ลงทุนสินค้าเกษตร 9.99% : รัฐบาลเดินหน้ากำหนดการลงทุนของกองทุนบำนาญทั้งหลาย สปส. กบข. สำรองเลี้ยงชีพ และ ประกันชีวิต ซึ่งรวมๆ แล้วน่าจะประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท ให้ต้องลงทุนในกองทุนรวมสินค้าเกษตร หรือ สัญญาซื้อล่วงหน้าในตลาด AFET ไม่ต่ำกว่า 9.99% ของเงินกองทุน... ด้วยวิธีง่ายๆนี้จะมีเงินสูงถึง 2.8 แสนล้านมาช่วยยกระดับสินค้าเกษตรแทนรัฐบาลเอง เอกชนจะรับภาระเก็บสต๊อกแทนรัฐบาลเอง เมื่อราคาสินค้าเกษตรอยู่ระดับสูง ภาระในการประกันรายได้เกษตรกรราวปีละ 4 หมื่นล้านก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว
9. สมทบ กบข.0.99% : ลดเงินสมทบเข้า กบข.จาก 3% เหลือ 0.99% และ ข้าราชการเองก็สมทบด้วยเงินยอดเดียวกัน รัฐบาลก็จะประหยัดเงินไปได้ถึง 1 หมื่นล้านบาท และข้าราชการก็จะมีเงินเหลือมากขึ้นนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก
10.แถมๆ ให้หน่อยซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยได้เดินหน้าทำมาแล้ว ก็คือ การดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดในการบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ นักการเมือง และ ข้าราชการที่ทุจริตคอรัปชั่น โดยคดีของอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลได้เงินเข้าคลังเพิ่มถึง 4.6 หมื่นล้านบาท และ ยังอาจมีเพิ่มได้อีกในอนาคต เป็นการรัดเข็มขัดโดยไม่มีผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมเลยแม้แต่น้อย
นี่คือตัวอย่าง 10 วิธีง่ายๆ ที่จะรัดเข็มขัดการคลัง โดยที่มีผลดีต่อเศรษฐกิจอีกด้วย เป็นการตอบโจทย์ที่นักเศรษฐศาสตร์มักจะทิ้งคำถามซึ่งไร้คำตอบนี้เอาไว้.... "เราจะรัดเข็มขัดการคลังอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น"....เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) อาจเป็นคำตอบนั้นครับ
ช่างเป็นคำถามที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อนักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลก ที่กำลังหาหนทางในการแก้ไขวิกฤติหนี้สินสาธารณะ พร้อมๆ ไปกับการดูแลให้เศรษฐกิจยังคงดีอย่างต่อเนื่อง แต่พวกเขาก็มักจะทิ้งไว้แต่คำถามโดยแทบไม่เคยมีคำตอบให้เลย
หากเป็นเมื่อ 2 ปีก่อน ในเวลาที่ผมยังคงวนอยู่ในกรอบแนวคิดเศรษฐกิจมหภาคแบบเดิมๆ Y=C+I+(X-M)+(G-T) นั่นหมายถึง หากเราลด (G-T) ลง คือ รัฐบาลใช้จ่ายน้อยลง หรือเพิ่มภาษีต่างๆ มากขึ้น ซึ่งก็คือ การรัดเข็มขัดทางการคลังนั่นเอง ย่อมจะส่งผลทางลบต่อ Y หรือ GDP เป็นแน่ ตามหลักแนวคิดคณิตศาสตร์อย่างง่าย ผมก็คงยังคิดเหมือนๆ กับนักเศรษฐศาสตร์โดยทั่วไปว่าคำถามแบบนี้ ไม่น่าจะมีคำตอบที่ดีๆ ได้แต่อย่างใด
ในปัจจุบันจะพบว่าประเทศพัฒนาแล้วทั้งในยุโรป ญี่ปุ่นและอเมริกา ต่างก็ต้องพยายามหาทางรัดเข็มขัดการคลัง เพื่อดูแลปัญหาหนี้สาธารณะไม่ให้เกิดวิกฤติลุกลามอย่างสาหัสคล้ายกับกรณีของประเทศกรีซ แต่จะทำอย่างไร...เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจต้องย่ำแย่ลงอีกครั้งหนึ่ง นี่อาจเป็นโจทย์ที่ยากเย็นอย่างยิ่งของนักเศรษฐศาสตร์เลยก็ว่าได้
อย่างไรก็ดี ผมได้เสนอแนวคิด เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) ไว้แล้ว ซึ่งเป็นกรอบแนวคิดใหม่อันจะช่วยให้รัฐบาลสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้น หรือ ลดรายจ่ายลงได้ โดยไม่มีผลเสียหายต่อเศรษฐกิจ โดยใช้หลักการยืมพลังจากแหล่งต่างๆ โดยเฉพาะ กองทุนบำนาญ จะมีหลายๆ เรื่องกลับช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นด้วยซ้ำไป ขอลองตอบโจทย์นี้สัก 9 เรื่องซึ่งอาจเป็นคำตอบของโจทย์ยากๆ ข้อนี้
1. สินเชื่อ999 : โดยให้ สปส. และ กบข. ค้ำประกันเงินกู้ให้กับผู้ประกันตน และสมาชิก ไม่เกิน 9 ส่วนของเงินออม อัตราดอกเบี้ย 9%ต่อปี และ ผ่อนได้สูงสุด 9 ปี วิธีนี้รัฐบาลจะได้ค่าธรรมเนียมฟรีๆ 1.5% ของสินเชื่อ อาจเป็นรายได้เพิ่มถึง 1 หมื่นล้าน โดยเศรษฐกิจจะดีขึ้นด้วยจากกำลังเงินที่เพิ่มขึ้นของประชาชนอีกหลายแสนล้าน
2. พื้นที่เช่า 999 : โดยให้จัดพื้นที่ค้าปลีกราคาถูก 999 บาทต่อเดือน ในสถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจ บ้านเอื้ออาทรค่าเช่า 999 ต่อเดือน รัฐบาลจะมีรายได้เพิ่มขึ้น และ ประชาชนจะมีเงินติดกระเป๋ามากขึ้นเช่นกัน เพราะ ค่าเช่าที่เคยจ่ายนั้นลดลง
3. ลดหย่อนภาษี 999 : ให้ลดวงเงินหักลดหย่อนภาษีทั้ง RMF,LTF และ ประกันชีวิต จากระดับ 5 แสน เหลือแค่ 9 หมื่นบาทเท่านั้น จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำได้ รัฐบาลได้เงินเพิ่มอีก 1 หมื่นล้าน และ คนระดับเศรษฐีจะออมน้อยลงและนำเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น
4. ดึงเงินจากกองทุนน้ำมัน : รัฐบาลเพิ่มภาษีสรรพสามิตได้อีกลิตรละ 1 บาท แต่ให้ลดเงินนำเข้ากองทุนน้ำมันลง 2 บาทต่อลิตร..ดังนั้นน้ำมันขายปลีกจะลดราคาลงได้ 1 บาทต่อลิตร ประชาชนใช้น้ำมันถูกลง แต่รัฐบาลได้ภาษีเพิ่มขึ้น ดึงเงินจากกองทุนน้ำมันมาช่วยนั่นเอง
5. โอนครอบครัวผู้ประกันตนเข้าระบบประกันสังคม : โอนบุคคลในครอบครัวของผู้ประกันตนราว 6 ล้านคน เข้าสู่ระบบประกันสังคม ซึ่งทำให้รัฐบาลประหยัดรายจ่ายไปได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปีจากงบบัตรทอง (สปสช.) ขณะที่ประชาชนไม่มีคนเสียประโยชน์ เงินคุ้มครอง 4 กรณีซึ่งรวมการประกันสุขภาพด้วยของ สปส.ยังมีเหลืออยู่กว่า 9 หมื่นล้านบาท ยังรองรับภาระนี้ได้อีกหลายปี
6. เบี้ยกตัญญู 999: แทนที่จะได้รับเบี้ยยังชีพคนชราคนละ 500 บาทจากรัฐบาล ก็ผลักให้เป็นภาระของกองทุนประกันสังคมเสีย พ่อแม่ของผู้ประกันตนรับไปเลยคนละ 999 บาทต่อเดือน อาจโอนไปได้ 2 ล้านคน ทำให้รัฐบาลประหยัดรายจ่ายไปอีก 1.2 หมื่นล้าน
7. ต้อนรับการย้ายถิ่น 999K : รัฐบาลเปิดรับการย้ายถิ่นของคนชราจากประเทศพัฒนาแล้ว 9.99 แสนคน โดยประเทศเหล่านั้นมักให้งบอุดหนุนด้านสุขภาพต่อหัวอยู่ที่ราว 4-5 แสนบาท่ต่อคนชรา 1 คนอยู่แล้ว หากเกิดการย้ายถิ่นจริงไทยก็ของบจากประเทศเหล่านั้นได้เลยหัวละ 9.99 หมื่นบาท แบ่งคนละครึ่งระหว่าง รพ.ชั้นนำ และ รัฐบาลไทย ดูแลสุขภาพประชากรพวกเขาอย่างดี ขณะที่รัฐบาลมีรายได้เพิ่มรับไปเลย 5 หมื่นล้านบาทต่อปี และ ยังจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมอีกมากจากประชากรที่มีเงินได้เงินบำนาญในระดับสูงกลุ่มนี้
8. ลงทุนสินค้าเกษตร 9.99% : รัฐบาลเดินหน้ากำหนดการลงทุนของกองทุนบำนาญทั้งหลาย สปส. กบข. สำรองเลี้ยงชีพ และ ประกันชีวิต ซึ่งรวมๆ แล้วน่าจะประมาณ 2.8 ล้านล้านบาท ให้ต้องลงทุนในกองทุนรวมสินค้าเกษตร หรือ สัญญาซื้อล่วงหน้าในตลาด AFET ไม่ต่ำกว่า 9.99% ของเงินกองทุน... ด้วยวิธีง่ายๆนี้จะมีเงินสูงถึง 2.8 แสนล้านมาช่วยยกระดับสินค้าเกษตรแทนรัฐบาลเอง เอกชนจะรับภาระเก็บสต๊อกแทนรัฐบาลเอง เมื่อราคาสินค้าเกษตรอยู่ระดับสูง ภาระในการประกันรายได้เกษตรกรราวปีละ 4 หมื่นล้านก็ไม่ต้องจ่ายแล้ว
9. สมทบ กบข.0.99% : ลดเงินสมทบเข้า กบข.จาก 3% เหลือ 0.99% และ ข้าราชการเองก็สมทบด้วยเงินยอดเดียวกัน รัฐบาลก็จะประหยัดเงินไปได้ถึง 1 หมื่นล้านบาท และข้าราชการก็จะมีเงินเหลือมากขึ้นนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก
10.แถมๆ ให้หน่อยซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยได้เดินหน้าทำมาแล้ว ก็คือ การดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดในการบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์ นักการเมือง และ ข้าราชการที่ทุจริตคอรัปชั่น โดยคดีของอดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดว่า รัฐบาลได้เงินเข้าคลังเพิ่มถึง 4.6 หมื่นล้านบาท และ ยังอาจมีเพิ่มได้อีกในอนาคต เป็นการรัดเข็มขัดโดยไม่มีผลเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมเลยแม้แต่น้อย
นี่คือตัวอย่าง 10 วิธีง่ายๆ ที่จะรัดเข็มขัดการคลัง โดยที่มีผลดีต่อเศรษฐกิจอีกด้วย เป็นการตอบโจทย์ที่นักเศรษฐศาสตร์มักจะทิ้งคำถามซึ่งไร้คำตอบนี้เอาไว้.... "เราจะรัดเข็มขัดการคลังอย่างไรเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น"....เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (Taiji-Econ.) อาจเป็นคำตอบนั้นครับ
วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553
ดัชนี "เรืองศิริกูลชัย" : ดัชนีชี้วัดความเสี่ยงทางการคลัง
หากถามว่า "หนี้ภาครัฐไทย ไม่เป็นไรใช่ไหม" รัฐบาลก็คงตอบว่า "สบายมาก ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง" แต่ถ้าถามฝ่ายค้านละก็ "เรื่องใหญ่เลย การเพิ่มหนี้ภาครัฐอย่างเร็ว น่าจะสร้างวิกฤติการคลังได้" นี่เป็นมุมมอง 2 ด้านที่แตกต่างกัน
เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไม กรีซ ซึ่งมีหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี ที่ 165% หรือ อิตาลีที่ 120% กลับพบกับวิกฤติการคลังแบบเป็นเรื่องเป็นราว หนักหนาสาหัสกว่า ญี่ปุ่น ซึ่งมีตัวเลขนี้อยู่ที่ 212% คำตอบนั้นอาจเป็นได้ว่า กรีซ และ อิตาลี ต้องมีการไฟแนนซ์เงินจากต่างประเทศ ทำให้ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า ขณะที่ญี่ปุ่นนั้นพึ่งพิงเงินออมในประเทศเป็นหลัก โดยผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีนั้น กรีซยืนที่ 20.7% อิตาลีที่ 5% ขณะที่ญี่ปุ่นยืนราว 0.8% เท่านั้นเอง
ผมจึงมีความยินดีที่จะนำเสนอดัชนีวัดความเสี่ยงการคลังที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยใช้ "นามสกุล" ของผมเอง “ดัชนีเรืองศิริกูลชัย” (Ruangsirikulchai Index เรียกสั้นๆว่า Ruang Index) เพื่อชี้ความเสี่ยงการคลังของประเทศต่างๆ โดยนำเอา ค่าหนี้สาธารณะ ต่อ GDP คูณด้วย ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี โดยมีแนวคิดว่า ประเทศเหล่านี้หากรีไฟแนนซ์เป็นหนี้ระยะยาว 10 ปีทั้งหมด ณ ปัจจุบันแล้ว จะต้องเสียเฉพาะค่าดอกเบี้ยจ่าย คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของ GDP โดยส่วนใหญ่แล้วเงินตรงนี้จะจ่ายไปยัง นักลงทุนสถาบันทั้งใน และ ต่างประเทศ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของรัฐบาล และ เงินนี้ก็จะจมไปกับกองทุนไม่ออกมาหมุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเป็นการสูญเสียทางการคลังแบบเปล่าประโยชน์ ค่าเหล่านี้หาได้ง่ายและมีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน ทำให้ update ต่อสถานการณ์การคลัง
Ruangsirikulchai Index = Pulbic Debt/GDP * 10 Yr Gov.Bond Yield
เราอาจแบ่งความเสี่ยงเป็น 5 ระดับ คล้ายกับระดับความรุนแรงของพายุไต้ฝุ่น ดังนี้
ความเสี่ยงระดับ 1 (ค่าดัชนีอยู่ต่ำกว่า 1.5%) หมายถึง รัฐบาลไม่มีภาระหนักหนานักในการจ่ายดอกเบี้ย ความเสี่ยงการคลังยังอยู่ในระดับต่ำ ยังไม่ต้องรีบร้อนที่นำเอา "การคลังไท้เก๊ก" มาใช้ สามารถใช้นโยบายการคลังเดิมๆ ของเคนส์ได้ต่อไป เช่น เยอรมนีมีค่าดัชนี "เรืองศิริกูลชัย" ที่ 1.3% (หนี้ภาครัฐต่อ GDP 81% และ ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีที่ 1.63%)
ความเสี่ยงระดับ 2 (ค่าดัชนีอยู่ระหว่าง 1.5%-3%) หมายถึง มีความเสี่ยงของการคลังอยู่ในระดับปานกลาง ประเทศเหล่านี้ควรเร่งรีบศึกษา "การคลังไท้เก๊ก" ซึ่งใช้หลักการยืมพลังแทนการนโยบายการคลังแบบเดิมๆ ประเทศพัฒนาแล้วขนาดใหญ่มีความเสี่ยงระดับนี้ เช่น อังกฤษ 1.6% (85.7% และ 1.87%) ญี่ปุ่น 1.7% (212% และ 0.81% ) อเมริกา 1.85% (103% และ 1.80%) และ ประเทศไทยค่าดัชนียืนที่ 1.6% (41.7% และ 3.85% ตามลำดับ)
ความเสี่ยงระดับ 3 (ค่าดัชนีอยู่ระหว่าง 3-5%) หมายถึง ความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับสูง ต้องรีบนำ "การคลังไท้เก๊ก" เพื่อรัดเข็มขัดพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วน เช่น ประเทศสเปนมีค่าดัชนีนี้ที่ 4.0% (68.5% และ 5.84% )
ความเสี่ยงระดับ 4 (ดัชนีอยู่ระหว่าง 5-10% )หมายถึง ความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับสูงมากๆ ต้องรีบนำ "การคลังไท้เก๊ก" เพื่อรัดเข็มขัดพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วนที่สุด รอช้าไม่ได้เลย เช่น ประเทศอิตาลียืนที่ 6.0% (120% และ 5.0%) ไอร์แลนด์ 8.4% (108% และ 7.7%) และ โปรตุเกส 9.3% (108% และ 8.65%)
ความเสี่ยงระดับ 5 (ดัชนียืนสูงกว่า 10% ) หมายถึง ความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับวิกฤติที่สุด ประเทศเข้าข่าย "ล้มละลายทางการคลัง" จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากภายนอกและปรับโครงสร้างหนี้ภาครัฐ เช่น กรีซมีค่าดัชนีสูงถึง 34.2% (165% และ 20.7% ตามลำดับ) จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าประเทศนี้จึงเข้าขั้น “ล้มละลาย” ไปแล้ว โดยที่แม้รัฐบาลพยายามจะลดการขาดดุลการคลังลง ตามแผนก็คือการลดได้จาก 12.7% GDP เหลือ 8.7% GDP ซึ่งก็ยังเป็นระดับสูงอยู่ดี และ GDP ยังมีแนวโน้มจะลดลงจากมาตรการรัดเข็มขัดการคลัง จึงพบกับการประท้วงไปทั่วประเทศ
ดัชนีนี้สำหรับประเทศ อังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้วขนาดใหญ่นั้น ก็อยู่ในระดับต่ำกว่า “3” ซึ่งเป็นความเสี่ยงระดับ 2 แม้จะยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ ควรมีการศึกษาเรื่องของ "การคลังไท้เก๊ก” ซึ่งผนวกเอาเคล็ดวิชาของ "มวยไท้เก๊ก" คือ "ยืมแรงสะท้อนแรง" และ "ในนิ่งมีเคลื่อน" มารวมเข้ากับทฤษฎีการคลังเดิมๆ ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนกรอบแนวคิด (paradigm shift) ทางเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่นี่อาจเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์สำหรับประเทศ PIIGS ที่จำเป็นต้องรัดเข็มขัดการคลัง แต่ก็ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กันด้วย
โดยหากเป็นกรอบแนวคิดของสำนักเคนส์ การรัดเข็มขัดการคลังจะทำให้เศรษฐกิจแย่ลงมาก (เพราะค่าตัวทวีสูงกว่า 1) และ หากเป็นกรอบแนวคิดของสำนักการเงินนิยม นั่นจะทำให้เศรษฐกิจแย่ลงเล็กน้อย (เพราะค่าตัวทวีอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1) แต่ในกรอบแนวคิดของ "การคลังไท้เก๊ก" นั้น รัฐบาลจะสามารถรัดเข็มขัดการคลังในโครงการที่ตัวทวีติดลบ รวมถึงการยืมพลังจากกองทุนบำนาญ จึงสามารถทำเรื่องยากๆ นี้โดยเศรษฐกิจไม่แย่ลงแต่กลับดีขึ้นได้
หากท่านผู้นำประเทศ PIIGS ได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ก็น่าจะดีใจเป็นอันมาก สามารถนำไปบอกประชาชนได้เลยว่า "เราได้พบทฤษฎีใหม่แล้วที่สามารถรัดเข็มขัดการคลัง พร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วยกันได้ ประชาชนจะมีว่างงานลดลงและมีรายได้สูงขึ้น" เท่านี้ก็จะลดแรงต้านลดการประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดการคลังไปได้มาก
ปัจจุบันจะพบว่าตัวแปรทั้ง 3 ตัว คือ ตัวเลขหนี้สาธารณะนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นอาจสูงขึ้นไปอีกจากการขาดดุลการคลังในระดับสูงต่อไป สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว ตัว GDP นั้นมีแนวโน้มยืนๆ หรืออาจลดลงได้หากประเมินว่ามีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอยและ การรัดเข็มขัดการคลัง รวมถึงตัวแปรผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีนั้นก็อาจสูงขึ้นได้จากความเสี่ยงทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นและการไหลออกของเงินทุน คล้ายกรณีของประเทศ PIIGS ดังนั้นจะพบว่าทั้งโลก พบกับแรงกดดันจากตัวแปรทั้ง 3 ที่อาจทำให้ “ดัชนีเรืองศิริกูลชัย” เพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายได้ในอนาคต
สำหรับประเทศไทยของเรา หากดูจากค่าดัชนีนี้จะพบว่าความเสี่ยงอยู่ระดับใกล้เคียงกับ อังกฤษ ญี่ปุ่นและอเมริกาเลยทีเดียว เพราะ อัตราดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วขนาดใหญ่ ยิ่งมีแผนจะก่อหนี้ภาครัฐสูงถึง 2 ล้านล้านบาทก็ยิ่งน่ากังวล แม้ความเสี่ยงของไทยยังห่างชั้นกับประเทศ PIIGS อยู่มาก แต่ก็อยู่ระดับเดียวกับญี่ปุ่น หากใช้ค่า "ดัชนีเรืองศิริกูลชัย" เป็นตัววัด
ดังนั้น สิ่งที่ไทยควรทำก็คือ แทนที่จะเดินหน้าทำ "สมดุลการคลัง" ให้รายรับและรายจ่ายของรัฐบาลสมดุลนั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะทำได้ หรือหากจะทำจริงๆ น่าจะส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจได้ไม่น้อย ควรมุ่งสู่ "สมดุลการคลังไท้เก๊ก" คือ การทำให้ "ดัชนีเรืองศิริกูลชัย" อยู่ในระดับทรงตัวนั่นเอง หมายถึง หากจะสร้างหนี้ภาครัฐเพิ่ม ก็ต้องมี GDP เติบโตเพิ่มตามในสัดส่วนเดียวกัน หากประเมินว่า GDP จะเติบโต 5% เงินเฟ้อ 3% ต่อปี การที่รัฐบาลทำขาดดุลการคลังราว 4 แสนล้านบาทต่อปี (เพิ่มหนี้ภาครัฐราว 8% ต่อปี) ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมเพราะจะทำให้หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP อยู่ในระดับทรงตัว และ ดูแลให้หนี้ภาครัฐพึ่งพิงเงินออมในประเทศเป็นหลัก เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาเงินทุนไหลออกจนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวพุ่งสูงแบบประเทศ PIIGS
เชื่อได้ว่า วิกฤติการคลัง จะเริ่มรุนแรงมากขึ้นภายใน 2-3 ปีนี้ โดยเริ่มมาจากประเทศเขตยูโรโซนที่อ่อนแอก่อน จากนั้นก็จะเริ่มขยายวงกว้างออกไป ในเขตยุโรปทั้งหมด รวมไปถึงอเมริกา และญี่ปุ่น กรอบแนวคิดใหม่ที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมๆ ไปกับแก้ไขวิกฤติการคลังด้วยนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในอนาคตอันใกล้นี้ และ “การคลังไท้เก๊ก” (Taiji Fiscal Theory) อาจเป็นคำตอบนั้นครับ
ข้อมูล : www.tradingeconomics.com และ www.bloomberg.com วันที่ 19 กันยายน 2555
เคยสงสัยกันบ้างไหมครับว่าทำไม กรีซ ซึ่งมีหนี้สาธารณะต่อ จีดีพี ที่ 165% หรือ อิตาลีที่ 120% กลับพบกับวิกฤติการคลังแบบเป็นเรื่องเป็นราว หนักหนาสาหัสกว่า ญี่ปุ่น ซึ่งมีตัวเลขนี้อยู่ที่ 212% คำตอบนั้นอาจเป็นได้ว่า กรีซ และ อิตาลี ต้องมีการไฟแนนซ์เงินจากต่างประเทศ ทำให้ต้องจ่ายอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า ขณะที่ญี่ปุ่นนั้นพึ่งพิงเงินออมในประเทศเป็นหลัก โดยผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีนั้น กรีซยืนที่ 20.7% อิตาลีที่ 5% ขณะที่ญี่ปุ่นยืนราว 0.8% เท่านั้นเอง
ผมจึงมีความยินดีที่จะนำเสนอดัชนีวัดความเสี่ยงการคลังที่ดีขึ้นกว่าเดิม โดยใช้ "นามสกุล" ของผมเอง “ดัชนีเรืองศิริกูลชัย” (Ruangsirikulchai Index เรียกสั้นๆว่า Ruang Index) เพื่อชี้ความเสี่ยงการคลังของประเทศต่างๆ โดยนำเอา ค่าหนี้สาธารณะ ต่อ GDP คูณด้วย ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี โดยมีแนวคิดว่า ประเทศเหล่านี้หากรีไฟแนนซ์เป็นหนี้ระยะยาว 10 ปีทั้งหมด ณ ปัจจุบันแล้ว จะต้องเสียเฉพาะค่าดอกเบี้ยจ่าย คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของ GDP โดยส่วนใหญ่แล้วเงินตรงนี้จะจ่ายไปยัง นักลงทุนสถาบันทั้งใน และ ต่างประเทศ ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของรัฐบาล และ เงินนี้ก็จะจมไปกับกองทุนไม่ออกมาหมุนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเป็นการสูญเสียทางการคลังแบบเปล่าประโยชน์ ค่าเหล่านี้หาได้ง่ายและมีการเปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน ทำให้ update ต่อสถานการณ์การคลัง
Ruangsirikulchai Index = Pulbic Debt/GDP * 10 Yr Gov.Bond Yield
เราอาจแบ่งความเสี่ยงเป็น 5 ระดับ คล้ายกับระดับความรุนแรงของพายุไต้ฝุ่น ดังนี้
ความเสี่ยงระดับ 1 (ค่าดัชนีอยู่ต่ำกว่า 1.5%) หมายถึง รัฐบาลไม่มีภาระหนักหนานักในการจ่ายดอกเบี้ย ความเสี่ยงการคลังยังอยู่ในระดับต่ำ ยังไม่ต้องรีบร้อนที่นำเอา "การคลังไท้เก๊ก" มาใช้ สามารถใช้นโยบายการคลังเดิมๆ ของเคนส์ได้ต่อไป เช่น เยอรมนีมีค่าดัชนี "เรืองศิริกูลชัย" ที่ 1.3% (หนี้ภาครัฐต่อ GDP 81% และ ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีที่ 1.63%)
ความเสี่ยงระดับ 2 (ค่าดัชนีอยู่ระหว่าง 1.5%-3%) หมายถึง มีความเสี่ยงของการคลังอยู่ในระดับปานกลาง ประเทศเหล่านี้ควรเร่งรีบศึกษา "การคลังไท้เก๊ก" ซึ่งใช้หลักการยืมพลังแทนการนโยบายการคลังแบบเดิมๆ ประเทศพัฒนาแล้วขนาดใหญ่มีความเสี่ยงระดับนี้ เช่น อังกฤษ 1.6% (85.7% และ 1.87%) ญี่ปุ่น 1.7% (212% และ 0.81% ) อเมริกา 1.85% (103% และ 1.80%) และ ประเทศไทยค่าดัชนียืนที่ 1.6% (41.7% และ 3.85% ตามลำดับ)
ความเสี่ยงระดับ 3 (ค่าดัชนีอยู่ระหว่าง 3-5%) หมายถึง ความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับสูง ต้องรีบนำ "การคลังไท้เก๊ก" เพื่อรัดเข็มขัดพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วน เช่น ประเทศสเปนมีค่าดัชนีนี้ที่ 4.0% (68.5% และ 5.84% )
ความเสี่ยงระดับ 4 (ดัชนีอยู่ระหว่าง 5-10% )หมายถึง ความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับสูงมากๆ ต้องรีบนำ "การคลังไท้เก๊ก" เพื่อรัดเข็มขัดพร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจโดยด่วนที่สุด รอช้าไม่ได้เลย เช่น ประเทศอิตาลียืนที่ 6.0% (120% และ 5.0%) ไอร์แลนด์ 8.4% (108% และ 7.7%) และ โปรตุเกส 9.3% (108% และ 8.65%)
ความเสี่ยงระดับ 5 (ดัชนียืนสูงกว่า 10% ) หมายถึง ความเสี่ยงทางการคลังอยู่ในระดับวิกฤติที่สุด ประเทศเข้าข่าย "ล้มละลายทางการคลัง" จำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือจากภายนอกและปรับโครงสร้างหนี้ภาครัฐ เช่น กรีซมีค่าดัชนีสูงถึง 34.2% (165% และ 20.7% ตามลำดับ) จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าประเทศนี้จึงเข้าขั้น “ล้มละลาย” ไปแล้ว โดยที่แม้รัฐบาลพยายามจะลดการขาดดุลการคลังลง ตามแผนก็คือการลดได้จาก 12.7% GDP เหลือ 8.7% GDP ซึ่งก็ยังเป็นระดับสูงอยู่ดี และ GDP ยังมีแนวโน้มจะลดลงจากมาตรการรัดเข็มขัดการคลัง จึงพบกับการประท้วงไปทั่วประเทศ
ดัชนีนี้สำหรับประเทศ อังกฤษ อเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศพัฒนาแล้วขนาดใหญ่นั้น ก็อยู่ในระดับต่ำกว่า “3” ซึ่งเป็นความเสี่ยงระดับ 2 แม้จะยังไม่เข้าขั้นวิกฤติ ควรมีการศึกษาเรื่องของ "การคลังไท้เก๊ก” ซึ่งผนวกเอาเคล็ดวิชาของ "มวยไท้เก๊ก" คือ "ยืมแรงสะท้อนแรง" และ "ในนิ่งมีเคลื่อน" มารวมเข้ากับทฤษฎีการคลังเดิมๆ ไม่เพียงแต่เป็นการเปลี่ยนกรอบแนวคิด (paradigm shift) ทางเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่นี่อาจเป็นแสงสว่างปลายอุโมงค์สำหรับประเทศ PIIGS ที่จำเป็นต้องรัดเข็มขัดการคลัง แต่ก็ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมๆ กันด้วย
โดยหากเป็นกรอบแนวคิดของสำนักเคนส์ การรัดเข็มขัดการคลังจะทำให้เศรษฐกิจแย่ลงมาก (เพราะค่าตัวทวีสูงกว่า 1) และ หากเป็นกรอบแนวคิดของสำนักการเงินนิยม นั่นจะทำให้เศรษฐกิจแย่ลงเล็กน้อย (เพราะค่าตัวทวีอยู่ระหว่าง 0 ถึง 1) แต่ในกรอบแนวคิดของ "การคลังไท้เก๊ก" นั้น รัฐบาลจะสามารถรัดเข็มขัดการคลังในโครงการที่ตัวทวีติดลบ รวมถึงการยืมพลังจากกองทุนบำนาญ จึงสามารถทำเรื่องยากๆ นี้โดยเศรษฐกิจไม่แย่ลงแต่กลับดีขึ้นได้
หากท่านผู้นำประเทศ PIIGS ได้อ่านมาถึงบรรทัดนี้ก็น่าจะดีใจเป็นอันมาก สามารถนำไปบอกประชาชนได้เลยว่า "เราได้พบทฤษฎีใหม่แล้วที่สามารถรัดเข็มขัดการคลัง พร้อมๆ กับกระตุ้นเศรษฐกิจไปด้วยกันได้ ประชาชนจะมีว่างงานลดลงและมีรายได้สูงขึ้น" เท่านี้ก็จะลดแรงต้านลดการประท้วงมาตรการรัดเข็มขัดการคลังไปได้มาก
ปัจจุบันจะพบว่าตัวแปรทั้ง 3 ตัว คือ ตัวเลขหนี้สาธารณะนั้นมีแนวโน้มสูงขึ้นอาจสูงขึ้นไปอีกจากการขาดดุลการคลังในระดับสูงต่อไป สำหรับประเทศพัฒนาแล้ว ตัว GDP นั้นมีแนวโน้มยืนๆ หรืออาจลดลงได้หากประเมินว่ามีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจถดถอยและ การรัดเข็มขัดการคลัง รวมถึงตัวแปรผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีนั้นก็อาจสูงขึ้นได้จากความเสี่ยงทางการคลังที่เพิ่มสูงขึ้นและการไหลออกของเงินทุน คล้ายกรณีของประเทศ PIIGS ดังนั้นจะพบว่าทั้งโลก พบกับแรงกดดันจากตัวแปรทั้ง 3 ที่อาจทำให้ “ดัชนีเรืองศิริกูลชัย” เพิ่มสูงขึ้นจนถึงระดับอันตรายได้ในอนาคต
สำหรับประเทศไทยของเรา หากดูจากค่าดัชนีนี้จะพบว่าความเสี่ยงอยู่ระดับใกล้เคียงกับ อังกฤษ ญี่ปุ่นและอเมริกาเลยทีเดียว เพราะ อัตราดอกเบี้ยของไทยสูงกว่าเป็นเท่าตัวเมื่อเทียบกับประเทศพัฒนาแล้วขนาดใหญ่ ยิ่งมีแผนจะก่อหนี้ภาครัฐสูงถึง 2 ล้านล้านบาทก็ยิ่งน่ากังวล แม้ความเสี่ยงของไทยยังห่างชั้นกับประเทศ PIIGS อยู่มาก แต่ก็อยู่ระดับเดียวกับญี่ปุ่น หากใช้ค่า "ดัชนีเรืองศิริกูลชัย" เป็นตัววัด
ดังนั้น สิ่งที่ไทยควรทำก็คือ แทนที่จะเดินหน้าทำ "สมดุลการคลัง" ให้รายรับและรายจ่ายของรัฐบาลสมดุลนั้น คงเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะทำได้ หรือหากจะทำจริงๆ น่าจะส่งผลทางลบต่อเศรษฐกิจได้ไม่น้อย ควรมุ่งสู่ "สมดุลการคลังไท้เก๊ก" คือ การทำให้ "ดัชนีเรืองศิริกูลชัย" อยู่ในระดับทรงตัวนั่นเอง หมายถึง หากจะสร้างหนี้ภาครัฐเพิ่ม ก็ต้องมี GDP เติบโตเพิ่มตามในสัดส่วนเดียวกัน หากประเมินว่า GDP จะเติบโต 5% เงินเฟ้อ 3% ต่อปี การที่รัฐบาลทำขาดดุลการคลังราว 4 แสนล้านบาทต่อปี (เพิ่มหนี้ภาครัฐราว 8% ต่อปี) ก็น่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมเพราะจะทำให้หนี้ภาครัฐ ต่อ GDP อยู่ในระดับทรงตัว และ ดูแลให้หนี้ภาครัฐพึ่งพิงเงินออมในประเทศเป็นหลัก เพื่อจะได้ไม่มีปัญหาเงินทุนไหลออกจนอัตราดอกเบี้ยระยะยาวพุ่งสูงแบบประเทศ PIIGS
เชื่อได้ว่า วิกฤติการคลัง จะเริ่มรุนแรงมากขึ้นภายใน 2-3 ปีนี้ โดยเริ่มมาจากประเทศเขตยูโรโซนที่อ่อนแอก่อน จากนั้นก็จะเริ่มขยายวงกว้างออกไป ในเขตยุโรปทั้งหมด รวมไปถึงอเมริกา และญี่ปุ่น กรอบแนวคิดใหม่ที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ พร้อมๆ ไปกับแก้ไขวิกฤติการคลังด้วยนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งในอนาคตอันใกล้นี้ และ “การคลังไท้เก๊ก” (Taiji Fiscal Theory) อาจเป็นคำตอบนั้นครับ
ข้อมูล : www.tradingeconomics.com และ www.bloomberg.com วันที่ 19 กันยายน 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)