แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปฏิรูประเทศไทย แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ปฏิรูประเทศไทย แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2555

พรก.โอนหนี้...สิ่งนี้มีสร้างสรรค์

นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ โจมตี พรก.โอหนี้ไปสู่กองทุนฟื้นฟูฯ และ ให้ ธปท.ดูแลการชำระหนี้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้นว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม จะกระทบกับประชาชนผู้ฝากเงินกู้เงิน รวมไปถึงเสถียรภาพของ ธปท.ได้ อย่างไรก็ดี ผมกลับพบว่ามีเรื่องน่าสนใจที่สร้างสรรค์ แทนที่จะเป็น "พรก.สร้างปัญหา" แต่กลับเป็น "พรก.แก้ปัญหา" อย่างดี

- ทำให้เศรษฐกิจหมุนได้เร็วขึ้น : โดยการยืมพลังจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก แทนที่การปล่อยให้เงิน 4.5 หมื่นล้านบาท ที่เก็บไว้ในสถาบันคุ้มครองเงินฝากจมอยู่เฉยๆ หรืออาจฝากแบงก์ได้ ดบ.1% ก็จะสร้าง GDP ได้ราว 450 ล้านบาท รัฐบาลยืมพลังของเงินก้อนหนี้ "ในนิ่งมีเคลื่อน" หากคิดว่าเงินนี้ไปเป็นเบี้ยยังชีพคนชราและคนพิการ 7.5 ล้านคนๆ ละ 6 พันบาท ซึ่งจะใช้จ่ายเงินที่รับมาเกือบทั้งหมด จึงสร้างตัวทวีมีค่าสูงที่ 3 เท่า ดังนั้น จะเพิ่ม GDP ได้ราว 1.35 แสนล้านหรือราว 1.1% นั่นหมายถึง ศก.ไทยจะเติบโตสูงกว่าระดับปัจจุบันเพิ่มอีก 1.1% ทุกๆ ปีฟรีๆ

- ลดเหลื่อมล้ำ : ธนาคารพาณิชย์อาจได้กำไรลดลงไปบ้าง เพราะ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มจาก 0.4% เป็น 0.46% โดยที่ไม่สามารถผลักภาระให้กับประชาชนได้ เพราะ มีการแข่งขันเข้มข้นจากแบงก์รัฐอยู่สูง  มีการประเมินว่ากำไรอาจลดลงราว 5% นั่นเป็นสิ่งที่ดีเพราะว่า กำไรที่ลดลงของนายแบงก์ (นายทุน) นั่นหมายถึง เงินในกระเป๋าที่เพิ่มขึ้นของชาวบ้านนั่นเอง ประเทศไทยมีผลตอบแทนของส่วนทุนที่สูงเกินไปที่เป็นสัดส่วนสูงถึง 60% ของ GDP ขณะที่แรงงานนั้นได้เพียง 40%   การลดกำไรของนายทุนลงมา ขณะที่เศรษฐกิจเติบโตสูงขึ้น หมายถึงว่า ผลตอบแทนของแรงงานสุทธิแล้วจะสูงขึ้นมากนั่นเอง เป็นการลดความเหลื่อมล้ำทางที่มีอยู่สูงให้ลดลงไปด้วย

- บาทอ่อน ธปท.กำไร : อาจมีนักลงทุนต่างชาติบางคนไม่เข้าใจนึกว่าเป็นการซ่อนหนี้  ก็เลยยขายเงินออกมานำเงินออกไป นั่นเป็นสิ่งที่ดี เพราะ หากว่า บาทอ่อนค่าลงราว 5% เมื่อเทียบกับเงินตรา ตปท.โดยเฉลี่ยแล้ว ธปท.จะมีกำไรเพิ่มขึ้นมา 3 แสนล้านบาทได้เลย ซึ่งสามารถนำเงินนี้บางส่วนไปลดหนี้เงินต้นให้หมดลงเร็วกว่า 20 ปีที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้ด้วย และ แน่นอนนี่คือ การช่วยสนับสนุนการส่งออก และ ท่องเที่ยวไปด้วยในตัว

- ลดภาระการคลัง:  สิ่งที่ตรงไปตรงมาก็คือ ลดภาระการจ่ายดอกเบี้้ยของภาครัฐได้ถึง 4.5 หมื่นล้านบาทต่อปี  ซึ่งเป็นตัวเงินสูงมาก  นอกจากนี้ยังมีการหักเงินต้นไปเรื่อยๆ  หมายถึง หนี้สินส่วนของกองทุนฟื้นฟูจะลดลงอย่างต่อเนื่องและน่าจะหมดไปภายใน 20 ปี  ซึ่งหมายถึง ไทยได้สร้างแผนในการลดหนี้สินภาครัฐที่สูงกว่า 1 ล้านล้านบาทที่เป็นปัญหาสะสมมาตั้งแต่สมัยวิกฤติต้มยำกุ้งลงได้อย่างดี

นักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปมองว่า พรก.นี้คือ "ตัวสร้างปัญหา" ผมกลับมองว่า นี่คือ "ตัวแก้ปัญหา" นักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปมองว่า การขึ้น ดบ.คือ "สกัดเงินเฟ้อ" ผมกลับมองว่า มันช่วย "เร่งเงินเฟ้อ" ต่างหาก นักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปมองว่า กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) คือ "สิ่งยอดเยี่ยม" ของเศรษฐกิจไทย ผมกลับมองว่า น่าจะเป็น "สิ่งยอดแย่" ต่างหาก เป็นเพราะ กรอบการมองของนักเศรษฐศาสตร์ทั่วไปนั้นใช้ "กรอบทฤษฎีเก่าๆ" แต่ผมมองผ่านกรอบทฤษฎีใหม่ เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก (taiji-econ.) นั่นเองครับ

วันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

8 เหลี่ยมแห่งความจน

ในวันนี้ผมจะมาเสนอเรื่อง "8 เหลี่ยมแห่งความจน" (Octagon of Poverty) ซึ่งเป็นการสะท้อนปัญหาข้อจำกัดของคนจน ซึ่งแม้จะมีความขยันหมั่นเพียร และ ประหยัดอดออม ก็ไม่แน่ว่าจะนำพาชีวิตพ้นจากความยากจนมาได้ เพราะ ข้อจำกัดจาก 8 เหลี่ยมนี้ ซึ่งมีขนาดเล็กมากๆ เมื่อเทียบกับ 8 เหลี่ยมของคนรวยที่แทบไม่มีข้อจำกัดใดๆ มาดูกันทีละข้อ

1.การศึกษาต่ำ
2.รายได้ต่ำ
3.การเข้าถึงข้อมูลต่ำ
4.เครือข่ายสังคมคุณภาพต่ำ
5.การเข้าถึงแหล่งทุนต่ำ
6.การได้รับบริการ และ ความยุติธรรมจากภาครัฐต่ำ
7.ภาระดูแลบริวารสูง
8.ต้นทุนการเงินสูง

ในเมื่อคนจนมีข้อจำกัดจำนวนมาก การเสนอทางแก้ไขปัญหาบางเรื่องจึงเป็นสิ่งที่อยู่นอกกรอบแห่ง 8 เหลี่ยมนี้ เช่น ให้ออมเงินเดือนละ 100 บาทสิ หรือว่า เอาเงินไปลงทุน LTF ทองคำ หรือ หุ้นสิ หรือว่า ส่งลูกไปเรียนอังกฤษสิกลับมาจะได้เป็นรัฐมนตรี นายกฯ เป็นต้น ข้อแนะนำเหล่านี้ล้วนอยู่นอกกรอบ "8 เหลี่ยมแห่งความจน" ทั้งสิ้น

ดังนั้น ทางออกในการต่อสู้กับความยากจน ก็คือ การขยายกรอบของ 8 เหลี่ยมนี้ออกไป ด้วยการส่งเสริมการศึกษา ส่งเสริมการเข้าถึงข้อมูลผ่านทางบรอดแบนด์ ส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำอย่างสมเหตุสมผล ช่วยเหลือภาระค่าใช้จ่ายของคนแก่และเด็กซึ่งเป็นบริวาร เป็นต้น แทนการเสนอความช่วยเหลือที่อยู่นอกกรอบ เช่น กอช. ประกันสังคมวิวัฒน์ ฯลฯ

วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

ประชาชมชอบ ตอบโจทย์เมืองไทย

"ประชาชมชอบ" อาจมีความสำคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนโฉมหน้าเศรษฐกิจและการเมืองของไทยในอนาคต มันอาจเป็นเรื่องชี้ชะตาเลยว่าพรรคการเมืองใดจะชนะการเลือกตั้งอย่างขาดลอย และชาวบ้านจะสามารถเอาชนะนายทุนได้อย่างไร

นโยบาย "ประชาชมชอบ" คือ นโยบายที่กำหนดโดยภาครัฐ ไม่ต้องใช้เงินงบประมาณเลยแม้แต่บาทเดียว แถมยังได้เงินเข้ารัฐในบางเรื่องอีกด้วย โดยที่มีประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ และ ทำให้เศรษฐกิจรวมดีขึ้นอีก "ประชาชมชอบ" นี้เอง อาจมีขนาดใหญ่กว่า "ประชาวิวัฒน์" เป็น 100 เท่าตัว โดยเราจะได้มาดูกันต่อไป

1.กองทุนตอง5 (กองทุน555) ก็คือ กองทุนที่มุ่งลบจุดอ่อนของ "กองทุนหมู่บ้าน" ออกไป ด้วยการขยายวงเงินจากหมู่บ้านละ 1 ล้านเป็น 5 ล้านบาท แต่ละคนที่ยืมด้วยเงิน 2 หมื่นก็ขยายเป็นยืมได้ไม่เกิน 5 หมื่นบาท และ จากที่ต้องคืนภายใน 2 ปี ก็ขยายการผ่อนเป็นระยะเวลา 5 ปี โดยรัฐบาลเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ และ ออมสินเป็นแบงก์ที่ปล่อยกู้ อัตราดอกเบี้ย 9% (ออมสินได้ 6% รัฐบาลได้ค่าค้ำประกัน 3%) เงินกองทุนส่วนนี้รวมแล้ว 4 แสนล้านบาท และ รัฐบาลจะได้ค่าค้ำประกันราวปีละ 1.2 หมื่นล้านบาทฟรีๆ

2.สินเชื่อตอง9(สินเชื่อ999) คือ สินเชื่อที่ปล่อยกู้โดยแบง์รัฐ โดยมี กองทุนประกันสังคม (สปส.) กบข. และ บลจ. ค้ำประกันให้กับผู้ประกันตน และ สมาชิก ไม่เกิน 9 ส่วนของเงินออมแต่ละบุคคล โดยคิดอัตราดอกเบี้ย 9% ต่อปี (แบงก์รัฐได้ 6% สปส.กบข.ได้ค่าค้ำประกันเงินกู้ 1.5% และ รัฐบาลเก็บภาษีอีก 1.5%) สามารถผ่อนได้ระยะยาวไม่เกิน 9 ปี โดยไม่ต้องสนใจกับเครดิตบูโร คาดว่ามีวงเงินราว 6 แสนล้านบาท จากยอดเงินของกองทุนบำนาญทั้ง 3 ก้อนนี้ 1.6 ล้านล้านบาท ดังนั้น สปส.อาจได้เงินค่าค้ำประกันราว 6 พันล้าน และ รัฐบาลได้ค่าภาษีสินเชื่อราว 9 พันล้านบาทฟรีๆ

3.หวยชมชอบ:
เมื่อสปส.เมื่อได้เงินจากค่าค้ำประกันมา 6 พันล้านบาท ก็จะนำเงินนั้นมาทำเป็น "หวย สปส." โดยออกเลขท้าย 3 ตัวทุกเดือน หากตรงกับเลขท้าย 3 ตัวของบัตรประชาชนของผู้ประกันตนก็จะได้รับเงินรางวัลไปเลย 5 หมื่นบาทเพื่อปลดหนี้ให้กับผู้ประกันตนผู้โชคดีซึ่งจะได้รับโชคตรงนี้ถึงปีละกว่า 1 แสนคน โดยอาจนำไปปลดหนี้หรือลงทุนก็ได้ตามชอบ กบข.ก็อาจออก "หวย กบข." ได้ในทำนองเดียวกัน

การออกหวยนั้นมีข้อดีก็เพราะ "หวย" มีทั้ง "มูลค่าแท้" ตามความน่าจะเป็นคูณด้วยเงินรางวัล และมี "มูลค่าฝัน" ที่คนยอมจ่ายเพิ่มเพื่อได้ความหวังความฝันอีกด้วย เช่น หวยใต้ดินมี "มูลค่าแท้" แค่ 5 บาท ต่อหวยเลขท้าย 3 ตัว 1 เลข และ มี "มูลค่าฝัน" อีก 5 บาท รวมเป็น 10 บาทที่คนซื้อหวยยอมจ่าย เพื่อให้มีโอกาสถูกหวยใต้ดิน 3 ตัว มูลค่า 5 พันบาท "หวย สปส." จึงอาจเป็นทั้งการแจกเงิน และ แจกฝัน ให้แก่ผู้ประกันตนเป็นจำนวนมาก

สำหรับประชาชนทั่วไป รัฐบาลจะเก็บค่าค้ำประกันจาก กองทุนตอง5 และ ค่าภาษีจากสินเชื่อตอง9 มาได้รวม 2.1 หมื่นล้านบาทต่อปี ก็อาจนำมาออกเป็น "หวยตอง9" ซึ่งคนไทยทุกคนที่มีบัตรประชาชนจะได้ลุ้นถูกรางวัลกันทุกเดือน รางวัลละ 2.5 หมื่นบาท หากตรงกับเลขท้าย 3 ตัวของบัตรประชาชน ต้องใช้เงินตรงนี้ราว 1.25 พันล้านทุกเดือน และ ในงวดปีใหม่นั้น จะเบิ้ลเงินรางวัลเป็น 2 เท่าตัว หรือ รางวัลละ 5 หมื่นบาท ก็จะช่วยประชาชนปลดลดหนี้ได้ถึง 6 แสนคนต่อปี ใช้งบฯ ในส่วนนี้ราว 1.6 หมื่นล้านบาท

4.ประกันภัยชมชอบ : รัฐบาลยังมีเงินเหลือจากค่าค้ำประกันอีก 5 พันล้านบาท จะนำมาอุดหนุนการประกันภัยอุบัติเหตุ ในแนวคิดเดียวกับ "ประกันภัยเอื้ออาทร" แต่จ่ายเบี้ยให้บริษัทประกันภัยเพิ่มขึ้นจาก 365 บาทเป็น 400 บาท โดยรัฐบาลอุดหนุนให้ครึ่งหนึ่งเพื่อสนับสนุนโครงการ จะรองรับประชาชนที่เข้าร่วมโครงการนี้ได้ถึง 25 ล้านคน ก็จะช่วยให้ประชาชนอุ่นใจขึ้นกับความเสี่ยงที่เหลือเชื่อ เช่น นั่งรถตู้อยู่ดีๆ โดนชนท้ายจนเสียชีวิต หรือ อาจโดนลูกหลงจนเสียชีวิตเพราะเด็กช่างกลตีกัน หรือ วิ่งรถบนมอเตอร์เวย์ดีๆ ก็อาจถูกยิงตาย ประชาชนจะอุ่นใจได้ว่าคนข้างหลังจะไม่ลำบากมากนักเพราะได้เงินชดเชยไป 3 แสนบาท

"นโยบายประชาชมชอบ" ทั้ง 4 เรื่องนั้น จะปล่อยสินเชื่อให้กับประชาชนทั้งในและนอกระบบราว 30 ล้านคน หากคิดรวมครอบครัวแล้วก็เกือบทั้งประเทศ เป็นวงเงินถึง 1 ล้านล้านบาท ใช้งบประมาณศูนย์บาท และไม่ต้องเสียเงินค่าที่ปรึกษาเลย เมื่อเทียบกับ "ประชาวิวัฒน์"ที่ปล่อยกู้ 5 พันล้านให้ประชาชนเพียง 3 แสนคนเท่านั้น จะเห็นได้ว่าแตกต่างกันถึง 100-200 เท่าตัว ใช้งบฯ 2 พันล้านบาท พร้อมๆ กับเสียค่าที่ปรึกษาให้บริษัทต่างชาติไปแล้ว 69 ล้านบาท

การเก็บค่าค้ำประกัน และ ภาษีนั้น เพื่อแสดงจุดยืนว่า รัฐบาลไม่ได้ "สนับสนุน" ให้คนเป็นหนี้ แต่ "อนุญาต" ให้กู้ยืมเงินได้ต่างหาก อย่างไรก็ดี อัตราดอกเบี้ยยังคงต่ำมากเมื่อเทียบกับสินเชื่อเงินด่วนทั้งในและนอกระบบ นอกจากนี้ "หวยชมชอบ" ยังเป็นแนวคิดแห่งกรอบความพอเพียง เพราะ ไม่ต้องเสียเงินซื้อหวย แต่ประชาชนมีความหวัง มีลุ้นที่จะปลดหนี้เป็นประจำทุกเดือน และ สำหรับคนที่ไม่มีหนี้สินก็ยังมีความหวังจะได้เงินรางวัลเพื่อไปจับจ่ายซื้อของหรือแบ่งปันให้คนอื่นได้อีกด้วย ส่วนการประกันภัยก็จะทำให้ประชาชนอุ่นใจขึ้นต่อความเสี่ยงต่างๆ ซึ่งเกิดจากอุบัตเหตุอันยากจะคาดเดาในประเทศนี้

ด้วยนโยบายทั้ง 4 เรื่องนี้ บริหารพรรคการเมืองสามารถนำไปประกาศเป็นนโยบายพรรค เพื่อรอรับคะแนนเสียงท่วมท้นได้เลยจนอาจตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ด้วยซ้ำไป เพราะ 1 ใน 4 ของคนไทยนั้นคือ แฟนพันธุ์แท้ของ "ประชาธิปัตย์" และ อีก 1 ใน 4 นั้นคือแฟนพันธุ์แท้ของ "เพื่อไทย" แต่อีกราวครึ่งหนึ่งของประชาชนนั้นยังไม่ตัดสินใจ และ "ประชาชมชอบ" ก็คือแนวนโยบายที่จะกวาดเอาคนตรงกลางของประเทศมาสนับสนุนพรรคนั่นเอง

เรื่องนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจที่สำคัญเพราะ นโยบายเช่นนี้คือ การดึงเอาผลประโยชน์ราว 2 แสนล้านกลับคืนจากมือ "นายทุน" ทั้งในและนอกระบบไปสู่มือของ "ชาวบ้าน" ไม่เพียงแต่ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นตามการหมุนของรอบเงินที่สูง ยังช่วยลดความเหลื่อมล้ำของสังคมอย่างเร็วอีกด้วย เรื่องแบบนี้หากไม่เป็นเพราะใกล้ศึกเลือกตั้งแล้วละก็พวกเราแทบหวังนโยบายแบบนี้ไม่ได้เลย นี่จึงนับเป็นโอกาสอันดียิ่ง

และที่บอกว่าเป็นจุดเปลี่ยนทางการเมืองก็เพราะว่า พรรคการเมืองที่ประกาศนโยบายพรรคแนวนี้ น่าจะชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายจนแทบไม่เหลือที่ให้พรรคการเมืองอื่นยืนบนเวทีการเมืองได้อีกนาน เพราะการเป็นพรรคการเมืองที่ให้ความสำคัญต่อ "ชาวบ้าน" ยิ่งกว่า "นายทุน" นั้น ย่อมได้รับคะแนนเสียงที่ท่วมท้นต่อเนื่องไปนานแสนนาน

ดังนั้นม้าแข่ง 2 ตัวซึ่งเป็น 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่กำลังวิ่งอย่างสูสีกันอยู่นี้ เราอาจได้เห็นการ "เข้าวิน" แบบทิ้งห่างคู่แข่งอย่างเหลือเชื่อด้วยพลังวิเศษจากนโยบาย "ประชาชมชอบ" ก็เป็นได้ มันจะไม่เพียงเป็นการชนะเลือกตั้งของพรรคการเมืองเท่านั้น แต่ยังเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของ "ชาวบ้าน" ที่มีต่อ "นายทุน" อีกด้วย

วันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2554

กับดักประชาวิวัฒน์

เมื่อได้เห็นรายละเอียดของนโยบาย "ประชาวิวัฒน์" ผมแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่านี่คือ สิ่งที่คนระดับรัฐมนตรี และ ผู้นำของ 30 หน่วยงานได้ระดมสมองสร้างกันขึ้นมาโดยใช้เวลาถึง 5 สัปดาห์เต็มๆ เพราะ ผมใช้เวลาแค่ไม่ถึง 5 นาที ก็พบจุดบกพร่องอันตรายใหญ่หลวงของ "ของขวัญปีใหม่" 9 ชิ้นนี้ โดยมีอยู่หลายชิ้นที่ซ่อนระเบิดเวลาเอาไว้

ปัญหาหลักของเรื่องนี้อาจอยู่ที่ ผู้กำหนดนโยบายอาจไม่ได้ใส่ใจต่อ "การสะท้อนพลังกลับ" ของนโยบายต่างๆ ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาสำคัญของ "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" (Taiji-Econ.) จึงทำให้มองไม่เห็นด้านลบของนโยบายที่ออกมา โดยเน้นมองด้านบวกแต่เพียงด้านเดียว

ก่อนหน้านี้ผมคิดว่า "ประชาวิวัฒน์" ซึ่งมีแนวคิดไม่ใช้เงินงบประมาณเลย แต่สร้างประโยชน์และความพอใจต่อประชาชนส่วนใหญ่ จะเป็นแนวคิดที่คล้ายกับนโยบาย "ประชาชมชอบ" ที่ผมได้ตั้งชื่อไว้เมื่อ 2 ปีก่อน โดยได้นำเสนอผ่านบทความ "ปฎิรูปเศรษฐกิจไทยสไตล์ 999" และ "จากประชานิยมสู่ประชาชมชอบ" ไว้แล้วด้วย ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีสนับสนุน

สิ่งนี้จึงแตกต่างจาก "ประชานิยม" อันเป็นนโยบายที่ทุ่มเงินงบประมาณลงไป เพื่อให้ประชาชนนิยมในตัวรัฐบาล แต่เมื่อเห็นรายละเอียดแล้วผมถึงกับอึ้ง เพราะว่า "ประชาวิวัฒน์" นั้นกลับกลายเป็น "นโยบายการคลัง" ที่พิศดารมากๆ คือ ทุ่มเงินงบประมาณลงไปแล้วเศรษฐกิจกลับแย่ลง ซึ่งจะได้แจกแจงรายละเอียดกันต่อไป

ผมคงไม่ไปแตะนโยบาย "น้ำจิ้ม" ที่ดูแลคนขับมอเตอร์ไซค์ คนขับแท๊กซี่ และ หาบเร่แผงลอย ซึ่งเป็นประชาชนเพียง 3 แสนคน แม้ว่าจะดูดีมีประโยชน์อยู่บ้าง และ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนโยบาย "เด็กเล่นขายของ" อย่างเช่น การขายไข่ไก่เป็นกิโลกรัม อันที่จริงแล้วนโยบายที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจมหภาคและประชาชนกลุ่มใหญ่ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงินระดับหมื่นล้าน อาจมีแค่ 3 เรื่อง คือ

1.ลดภาระกองทุนน้ำมัน การลดราคาน้ำมัน ด้วยการลดการอุดหนุนแอลพีจีในภาคอุตสาหกรรม โครงการนี้ไม่ใช้งบประมาณ แต่กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงจะประหยัดเงินได้ 7,300 ล้านบาท โดยนำเงินที่ประหยัดได้มาตรึงราคาน้ำมันหรือลดน้ำมันให้กับคนไทยทั่วประเทศ

2.การให้ประชาชนคนจนใช้ไฟต่ำกว่า 90 หน่วยใช้ฟรีตลอดไป ได้ประโยชน์ราว 9.1 ล้านครอบครัว โดยให้คนที่ใช้ไฟมากๆ ในภาคธุรกิจและคนรวย ชนชั้นกลางมาแบกรับภาระแทน มูลค่าตรงนี้ราว 1.8 หมื่นล้านบาท

3.การให้แรงงานนอกระบบ 25 ล้านคน เข้าระบบประกันสังคมภาคสมัครใจ ให้ประชาชนเลือกในอัตรา 100 และ 150 บาทต่อเดือน โดยประชาชนจ่ายไม่เกิน 100 บาท และรัฐช่วยประเดิมส่วนหนึ่ง ครอบคลุมสิทธิประโยชน์สูงสุด 4 ด้านคือ การชดเชยเมื่อเจ็บป่วย ทุพลภาพ เสียชีวิตและบำเหน็จ ชราภาพ ประชาชนจะเริ่มเห็นผลในเดือน ก.ค. 2554

สำหรับข้อ 1 และ 2 นั้น ดูไปแล้วก็คือ การผลักภาระจากกองทุนน้ำมัน และ รัฐบาล ไปสู่ภาคธุรกิจ คนรวย และ คนชั้นกลาง ให้แบกรับต้นทุนพลังงานที่สูงขึ้นราว 2.5 หมื่นล้านบาทนั่นเอง สิ่งที่จะตามมา 3 เรื่องก็คือ 1.ภาคธุรกิจอาจผลักภาระต้นทุนไปที่ผู้บริโภคด้วยการขึ้นราคาสินค้า 2.ภาคธุรกิจอาจลดต้นทุนด้วยการลดเงินเดือน ค่าจ้าง พนักงาน หรือปลดออกบางส่วน และ 3.ประชาชนคนชั้นกลาง และ คนรวย อาจมีเงินเหลือติดกระเป๋าลดลง เลยใช้จ่ายสินค้าประเภทอื่นลดลง ผลกระทบทางอ้อมสุดท้ายแล้วก็จะไปตกกับชาวบ้านตาดำๆ นั่นเอง และ หากประเมินค่าตัวทวี (multiplier) ที่ 2 เท่า แล้ว 2 เรื่องนี้อาจทำให้ GDP ลดลงได้ราว 5 หมื่นล้านบาท

สำหรับข้อ 3 นี่คือนวัตกรรมนโยบายการคลังยอดแย่ของประวัติศาสตร์โลก เพราะ หากประชาชนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด 25 ล้านคนเข้าร่วมโครงการ "ประกันสังคมวิวัฒน์" แล้วละก็ รัฐบาลจะสนับสนุนเงินให้คนละ 50 บาทต่อเดือน หรือ 600 บาทต่อปี รวมๆ แล้วก็ตกราว 1.5 หมื่นล้านบาท (ซึ่งสูงกว่าที่รัฐบาลตั้งงบฯ ไว้ 1.5 พันล้านถึง 10 เท่าตัว) ไม่เพียงแต่ใช้งบประมาณมากมาย แต่ประชาชนแรงงานนอกระบบเหล่านี้ยังสมทบเงินเข้ามาอีก 3 หมื่นล้าน รวมเป็น 4.5 หมื่นล้านบาทต่อปี นำไปจมไว้เฉยๆ กับกองทุนประกันสังคม ซึ่งทำให้รอบการหมุนเงินของคนจนซึ่งเคยสูงมากนั้นลดลงไปอย่างมากมาย หรือ GDP อาจหายไปถึง 1.35 แสนล้านบาท (หากคิดค่าตัวทวีของคนจนราว 3 เท่า) นั่นหมายถึง ค่าตัวทวีของโครงการ "ประกันสังคมวิวัฒน์" อาจตกอยู่ที่ -9 เท่า (คือขาดดุลการคลัง 1.5 หมื่นล้าน แต่กลับทำให้เศรษฐกิจแย่ลง 1.35 แสนล้านบาท หรือย่ำแย่ลง 9 เท่าตัว) อาจกล่าวได้ว่านี่คือ "นโยบายการคลัง" ที่มีค่า "ตัวทวี" ที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก

เมื่อรวมของขวัญทั้ง 3 ชิ้นแล้ว ก็พบว่า GDP อาจเสียหายไปได้ถึง 1.85 แสนล้านบาท (ราว 1.8% GDP) ซึ่งตรงกันข้ามกับการกล่าวอ้างของรัฐบาลที่บอกว่าจะมีผลประโยชน์เพิ่ม 2.6 หมื่นล้านบาท ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ แน่นอนว่าตัวผมและคนไทยเกือบทั้งประเทศไม่อยากเห็นความเสียหายมหาศาลของเศรษฐกิจไทยที่อาจเกิดขึ้นนี้ หากท่านผู้กำหนดนโยบายจะผลักดัน "ประชาวิวัฒน์" ให้ผ่านออกมาให้ได้อย่างเร็วก็ถือเป็นเวรกรรมของประเทศไทย อย่างไรก็ดี ผมขอร้องให้พวกท่านได้โปรดพิจารณาดูรายละเอียดของ "ของขวัญ" เหล่านี้อีกสักครั้งจะดีไหมครับ

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ดูให้ดีๆ : ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

ดูให้ดีๆ : ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

เรื่องของ พรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ได้สร้างความหวังกับประชาชนชาวไทยที่จะได้มีกฎหมายที่ลดควาเหลื่อมล้ำลง โดยคนที่มีที่ดินจำนวนมากนั้นกระจุกตัวอยู่กับคนรวยไม่มากนัก ขณะที่ประชาชนกว่า 90% มีที่ดินน้อยกว่า 1 ไร่

มีคนอีกกลุ่มที่จะกังวลว่า พรบ.นี้ผ่านสภาได้หรือไม่ ในเมื่อนักการเมืองจำนวนมากล้วนแต่ถือครองที่ดินกันมหาศาล ซึ่งการเก็บภาษีทีดินรกร้างอาจสร้างภาระกับพวกเขาได้มาก ใครละครับที่ยินดีจะหยิบดาบมาเชือดคอตนเอง ??

แต่ในอีกมุมหนึ่งนั้น สิ่งที่ผมกังวลกลับไม่ใช่เรื่องพวกนี้ ยังมีปัญหาที่ตามมาอีกไม่น้อย ที่พวกเราควรใส่ใจกับ พรบ.ที่ดูเหมือนจะดีมาก ฉบับนี้

1.เปิดช่องให้ทุจริต : เจ้าที่ดินสามารถฮั้วกับข้าราชการกรมที่ดินที่ทำการตรวจสอบได้ ที่ดินผืนใหญ่เป็น 100 ไร่ อาจทำการเกษตรแค่มุมเดียว แล้วสรุปไปเลยว่าที่ดินแปลงนั้นทำเพื่อการเกษตร โดยอาจจ่ายใต้โต๊ะเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับภาษีที่ต้องจ่ายจริง

2.ราคาที่ดินเกษตรอาจตกหนัก : อย่างไรก็ดี คาดว่ามีเจ้าที่ดินจำนวนมาก ซึ่งอาจรวมท่าน รมว.คลังที่พูดออกสื่อทีวีด้วยว่า ท่านตั้งใจจะเปลี่ยนสภาพที่ดินไปทำเกษตรเพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษี ที่ดินเหล่านั้นอาจถูกปล่อยเช่าออกมาในราคาที่ต่ำมากๆ เพื่อทำการเกษตร ซึ่งหากเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นจริง ย่อมส่งผลกระทบไปต่อมูลค่าราคาที่ดินเพื่อการเกษตรอย่างหนัก เพราะ ค่าเช่า คือ ผลตอบแทนส่วนทุนของ "ที่ดิน"นั่นเอง และอย่างที่พวกเราก็รู้ๆ กันดีว่า "ที่ดิน" นั้นเป็นสินทรัพย์สำคัญของเกษตรกรรายย่อย 10-20 ไร่นั้นก็มีค่ายิ่งนัก ขณะที่เศรษฐีนั้นมีสินทรัพย์นอกจากที่ดินแล้ว สินทรัพย์ทางการเงินอีกมากมาย

3.แย่งชิงปัจจัยการผลิต : ลองนึกภาพว่าหากมีที่ดินทำกินเพื่อการเกษตรมากขึ้นอีก 50% จะต้องมีการแย่งชิงทรัพยากรน้ำ ปุ๋ย รวมไปถึงแรงงานเพื่อช่วยเก็บเกี่ยวกันขนาดไหน โดยเฉพาะ "น้ำ" ซึ่งขาดแคลนอย่างมากอยู่แล้ว หลายๆ เรื่องอาจทำให้ต้องเป็นต้นทุนเพิ่มอีกไม่น้อยเลย

4.ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ : แต่หากมองโลกในแง่ดีว่ายังมีน้ำที่เพียงพอแล้วก็ตาม การมีที่นาเพิ่มขึ้นผลผลิตอาจได้เพิ่ม 50% ข้าวจากที่เคยได้ 30 ล้านตันก็เพิ่มเป็น 45 ล้านตัน เมื่ออุปทานเพิ่มขณะที่อุปสงค์ค่อนข้างทรงตัว นั่นหมายถึง ราคาข้าวที่ตกต่ำนั่นเอง และ หากรัฐบาลยังเดินหน้าประกันรายได้ให้เกษตรการต่อไปก็หมายถึง การต้องจ่ายเงินชดเชยรายได้ส่วนนี้ถึงปีละไม่ต่ำกว่า 4-5 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้การชดเชยรายได้หลายส่วนจะจ่ายให้กับเจ้าของที่ดิน ไม่ใช่ผู้เช่า..ทำให้เงินตกไปสู่มือของนายทุนเจ้าที่ดิน แทนที่จะเป็นเกษตรกรผู้เช่า

5.ค่าเช่าพื้นที่และตึกอาจแพงขึ้น : สำหรับภาษีสิ่งปลูกสร้างนั้นอาจหลบเลี่ยงได้ยากขึ้น เมื่อเทียบกับภาษีโรงเรือนในปัจจุบัน ทำให้เจ้าของตึกอาจผลักภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นนี้มาตกที่ผู้เช่าพื้นที่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ SME ที่ไม่ได้ร่ำรวยอะไร

สรุปก็คือ จากทั้ง 5 ข้อนี้จะเห็นว่า นายทุนเจ้าที่ดินยังคงสามารถหาวิธีหลบเลี่ยงไม่ต้องจ่ายภาษีได้อยู่ดี ทั้งแบบถูกต้องและไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่เพียงเท่านั้น ยังอาจส่งผลให้ "น้ำ" ไม่เพียงพอ ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำได้ รวมไปถึง คนจนและคนชั้นกลางในเมืองจำนวนมาก อาจต้องเสียค่าเช่าห้อง และ พื้นที่เช่าค้าขายที่แพงขึ้นอีกด้วย และ สุดท้ายก็คือ ทำให้สินทรัพย์ของเกษตรกรรายย่อยซึ่งมีที่ดินไม่มากนัก ต้องเสื่อมค่าด้อยค่าลงไปหรืออีกนัยก็คือ พวกเขาจนลงนั่นเอง

อย่าว่าแต่ 1 ไร่เลย ผมมีที่ดินไม่ถึง 50 ตรว.ด้วยซ้ำ ดังนั้นบทความนี้จึงไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อสนับสนุนนายทุนแต่อย่างใด ประเด็นอยู่ที่ว่า พวกเราได้มอง "พรบ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง" นี้อย่างรอบด้านแล้วหรือไม่

ยกตัวอย่างกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์เคยทิ้งผลงานโบว์ดำเอาไว้ก็คือ "BIBF" ซึ่งมีเจตนาดีในการให้บริษัทเอกชนของไทยเข้าถึงแหล่งทุนจากต่างประเทศในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง แต่ในที่สุดแล้วกลับส่งผลเสียหายอย่างหนักที่ทำให้บริษัทต่างๆ กู้หนี้ยืมสินจนเกินตัว ทั้งเพื่อการลงทุนและเก็งกำไร จนในที่สุดเชื่อมโยงไปสู่ "วิกฤติต้มยำกุ้ง" ในที่สุด

พรบ.นี้อาจเป็นนโยบายดาบ 2 คมคล้ายๆ กับ BIBF ก็เป็นไปได้ครับ

วันเสาร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปฏิรูปเศรษฐกิจไทย สไตล์ 999

ปฏิรูปเศรษฐกิจไทย สไตล์ 999

ทำไมต้องเป็นแบบ 999 ก่อนจะถึงตรงนั้น เรามาดูเรื่องของผลตอบแทนทุน และ แรงงานกันก่อน

หลังจากเห็นตัวเลขของสัดส่วนผลตอบแทนของแรงงานที่ลดลงจากระดับ 45% GDP เหลือเพียง 39% เท่านั้นในช่วงเวลา 6 ปีที่ผ่านมาก็ทำให้น่าเป็นห่วงยิ่งนัก เพราะ คนจนนั้นได้ผลตอบแทนจากแรงงาน แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทนของส่วนทุนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความยากลำบาก และ ความเหลื่อมล้ำนี้ก็ดูจะไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด เพราะ คนรวยนั้นได้ผลตอบแทนทั้งจากแรงงานเงินเดือนสูง และ ยังได้ผลตอบแทนจากส่วนทุนอีกด้วย

สมมติว่า คนขายเสื้อผ้าได้กำไรขั้นต้นต่อวันที่ 600 บาทแต่ต้องจ่ายเงินค่าเช่าที่วันละ 200 บาท จ่ายค่าดอกเบี้ยนอกระบบสำหรับเงินทุนหมุนเวียนวันละ 200 บาท จึงเหลือเงินกำไรสุทธิจากแรงงานขายที่ 200 บาทต่อวันเท่านั้น ซึ่งเป็นครึ่งเดียวของผลตอบแทนส่วนทุน (ค่าเช่า บวกกับ ดอกเบี้ย) แต่หากลดผลตอบแทนส่วนทุนลงได้ครึ่งหนึ่ง เหลือค่าเช่าวันละ 100 บาทดอกเบี้ยจ่ายวันละ 100 บาท ผู้ขายคนนี้จะได้กำไรสุทธิติดกระเป๋าซึ่งเป็นผลตอบแทนแรงงานเพิ่มขึ้นเป็น 400 บาท ซึ่งสูงกว่าเดิมถึงเท่าตัว และ เป็น 2 เท่าของผลตอบแทนส่วนทุนอีกด้วย นี่คือ หลักคิดง่ายๆ ในการแก้ไขปัญหาหนี้สินและความยากจน ด้วยการลดผลตอบแทนส่วนทุนลง เพราะ ส่วนนี้คือภาระของคนจนนั่นแหละ

ขณะที่รัฐบาลพยายามปรับหนี้นอกระบบ เข้าสู่ในระบบนั้น มีกฎเกณฑ์ 2 ข้อหลักคือ 1.ต้องมีหลักทรัพย์ หรือ บุคคลค้ำประกัน 2. ต้องไม่ติดเครดิตบูโร เราก็จะพบว่ามีเสียงบ่นกันมากว่า "หากผมมีเครดิตดีถึงขนาดนั้น คงไม่ต้องติดหนี้นอกระบบแต่แรกแล้ว" ดังนั้น บทสรุปตรงนี้ก็คือ คนที่ลงทะเบียนถึงกว่า 80% จะไม่ผ่านเกณฑ์ที่สามารถเข้าไปกู้ในระบบของแบงก์รัฐได้

นอกจากนี้ รัฐบาลพยายามผลักดันภาษีที่ดิน และ สิ่งปลูกสร้าง ซึ่งมองเผินๆ แล้วก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะ คนรวยมีอสังหาริมทรัพย์มากก็ต้องเสียภาษีมากตามไปด้วย และ ภาษีแบบใหม่นี้จะเก็บได้ครอบคลุมครบถ้วนไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เหมือนกับภาษีโรงเรือน ณ ปัจจุบัน ทำให้อนาคตรัฐบาลจะสามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่นั่นเป็นการมองเหรียญแค่ 2 ด้านเท่านั้น ขณะที่ "เหรียญย่อมมี 3 ด้านเสมอ" เหรียญอีกด้านก็คือ ภาษีที่เก็บเพิ่มและครบถ้วนนี้ จะถูกผลักไปยังผู้เช่าซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจนหรือไม่ มีแนวโน้มว่าอาจเป็นเช่นนั้นได้ และ นั่นหมายถึง คนจนต้องรับภาษีตัวนี้ไปรวมในค่าเช่านั่นเอง

ดังนั้น หากคิดจะลดผลตอบแทนส่วนทุนลง รัฐบาลต้องทุ่มเททรัพยากรที่มีเข้าแทรกแซงผ่านกลไกตลาด โดยพยายามให้คนจนเข้าถึงเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ พื้นที่เช่าราคาถูกให้ได้ รวมถึงไม่ต้องช่วยเหลือคนรวยมากจนเกินไป โดยมีข้อแม้ว่าทุกเรื่องจะต้องไม่เป็นภาระงบประมาณ ผมขอเสนอ 3 เรื่องแบบ "999" ดังนี้

1. สินเชื่อ999 : คือ ให้สำนักงานประกันสังคม (สปส.) และ กบข. ค้ำประกันเงินกู้ให้กับผู้ประกันตน และ สมาชิก ไม่เกิน 9 ส่วนของเงินออมแต่ละบุคคล ดอกเบี้ย 9% ต่อปี ผ่อนได้สูงสุด 9 ปี และ ได้รับเงินภายใน 9 วัน วิธีนี้จะส่งผลให้เงินถึงมือคนจนได้หลายแสนล้านบาท ซึ่งใหญ่กว่า "กองทุนหมู่บ้าน" หลายเท่าตัว คนจนจะประหยัดต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายไปได้มากมาย โดยที่รัฐบาล และ กองทุนประกันสังคม ยังอาจได้รับเงินค่าธรรมเนียม และ ค่าค้ำประกันเงินกู้ฟรีๆ อีกนับหมื่นล้านบาทต่อปี

2. พื้นที่เช่า 999 : การจัดถนนคนเดินให้ผู้ประสบปัญหาที่ราชประสงค์นั่นนับเป็นแนวคิดที่ดีเลย ให้ใช้พื้นที่สาธารณะได้ฟรีเพื่อการค้าขาย ช่วยผู้ค้าได้หลายร้อยราย แต่หากจะช่วยคนระดับเป็นแสนเป็นล้านรายนั้น อาจจะต้องคิดให้กว้างไกลกว่านั้น
- พื้นที่เช่าเพื่อค้าปลีก : รัฐบาลอาจกำหนดเปิดสถานที่ราชการ และ รัฐวิสาหกิจทั่วประเทศจัดพื้นที่ว่างเปล่าเพื่อให้ประชาชนรายย่อยมาค้าขายได้ โดยคิดค่าเช่าถูกกว่าในห้างสัก 5 เท่าตัว จากเดือนละ 5 พันบาทเหลือแค่ 999 บาทต่อเดือน หรือวันละ 49 บาท ก็จะช่วยลดภาระค่าเช่าให้คนจนไปได้มากโข
- พื้นที่เช่าเพื่อทำกิน : ที่ดินว่างเปล่าของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งมีอยู่หลายแสนไร่ทั่วประเทศก็น่าจะนำมาให้เช่าราคาถูกสำหรับการเกษตรได้ในอัตราไร่ละ 999 บาทต่อปี
- พื้นที่เช่าเพื่ออยู่อาศัย : บ้านเอื้ออาทร หรือ บ้านมั่นคงที่ยังขายไม่ออก ก็นำมาให้เช่าราคาถูกๆ แบบเดือนละ 999 บาทก็พอ
หากนำไปปฏิบัติจริง รัฐบาล และ รัฐวิสาหกิจ ไม่ต้องเสียเงินเลยแม้แต่น้อย แต่กลับจะมีรายได้เพิ่มขึ้นนับหมื่นล้านบาทต่อปี

3. ลดการสนับสนุนเงินออมแบบ 999 : LTF, RMF และ ประกันชีวิต ควรลดวงเงินในการหักลดหย่อนภาษีลงเหลือไม่เกิน 9 หมื่นบาททั้ง 3 กรณีนั้น วิธีนี้รัฐบาลจะเก็บภาษีได้เพิ่มอีกนับหมื่นล้านบาท และ เงินที่ไม่ได้ออมของคนรวยส่วนนี้จะถูกนำมาใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย

การที่รัฐบาลเข้าไปเพิ่มอุปทานของเงิน และ อสังหาริมทรัพย์เพื่อแทรกแซงตลาด ให้ลดผลตอบแทนของทุนลง (ดอกเบี้ย และค่าเช่า) จะช่วยให้คนจนมีรายได้จากแรงงานสุทธิ หลังหักภาระที่ต้องจ่ายผลตอบแทนส่วนทุนแล้ว เหลือพอต่อค่าใช้จ่ายที่กินอยู่อย่างพอเพียง เริ่มเก็บออมเงินเพื่อปลดหนี้สิน และ สร้างความมั่นคงยามเกษียณได้อีกด้วย

เลข 999 มหามงคลนี้อาจเป็นการรหัสสำคัญต่อสมการแก้ไขปัญหาหนี้สิน ความยากจน และความเหลื่อมล้ำของประเทศไทยก็เป็นได้ เพราะ เลข 999 อาจหมายถึง "ก้าว..ก้าว..ก้าว" หน้าหน่อยนะประเทศไทย ฝากให้ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องและรับผิดชอบต่อการปฏิรูปประเทศไทย ได้ศึกษาในเรื่องนี้เพิ่มเติมอันอาจเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมต่อไปครับ

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปฏิรูปประเทศไทยอย่างไร ให้โดนใจคนรากหญ้า

ปฏิรูปประเทศไทยอย่างไร ให้โดนใจคนรากหญ้า

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุการณ์ความไม่สงบในเดือน เมษายน และ พฤษภาคมที่ผ่านมา ได้สร้างความเศร้าใจ และ สูญเสียทั้งร่างกาย จิตใจ และ ทรัพย์สินต่อคนไทยเป็นจำนวนมาก ในอนาคตสิ่งที่ต้องคิดต่อไปก็คือ เราจะทำอย่างไรเพื่อปฏิรูปประเทศไทย แก้ไขปัญหารากเหง้า เพื่อไม่ให้เกิดเงื่อนไขที่คนจนรากหญ้าจะต้องมาเรียกร้องความยุติธรรม และ ประชาธิปไตย ในเมืองกรุงกันอีก

ผมขอเสนอ "เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก" (Taiji-Econ.) เพื่อเป็นทางออกเพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำอันนั้น โดยในปัจจุบันรัฐบาลยังสาละวนมองเหรียญเพียง 2 ด้านเท่านั้น คือ ในด้านของรายได้ ก็พยายามประกันรายได้ให้เกษตรกร มีการจ่ายเบี้ยยังชีพให้คนชรา และ ส่งเสริมการศึกษาและทักษะต่างๆ เพื่อให้คนรากหญ้ามีรายได้สูงขึ้น ส่วนในด้านของรายจ่าย ก็พยายามลดต้นทุนของการรักษาพยาบาล และ การศึกษา โดยสนับสนุนในด้านของการรักษาฟรี (สปสช.) และ การเรียนฟรี 15 ปี ซึ่งก็เป็นการจัดการให้ความช่วยเหลือรายจ่ายเป็นรัฐสวัสดิการที่สำคัญของรัฐบาลชุดนี้

อย่างไรก็ดี มีเหรียญอีก 1 ด้าน ซึ่งเป็นด้านที่ 3 ซึ่งรัฐบาลอาจมองข้ามไปอยู่บ่อยๆ ก็คือ ด้านของความเหลื่อมล้ำของผลตอบแทนทุน คนชั้นสูงนั้นสามารถสร้างผลตอบแทนทุนตรงนี้ผ่าน LTF โดยการประหยัดภาษีอาจได้ผลตอบแทนคาดหวังที่ 75% ต่อปีในปีแรก (ลงทุน 63% ได้ผลตอบแทนเป็นเงินภาษีคืน 37% และ ผลตอบแทนตลาดหุ้นอีก 10%) วิธีเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำให้คนชั้นสูงยิ่งรวยขึ้นจากการลงทุนเท่านั้น แต่ทำให้พวกเขามีการใช้จ่ายน้อยลงอีกด้วย ซึ่งผลกระทบต่อเนื่องก็คือ จะทำให้รายได้ของคนอีกกลุ่มหนึ่งหรือ คนรากหญ้า นั้นลดลงไปด้วย และ ด้วยค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่ทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ จึงยิ่งกดดันให้คนกลุ่มรากหญ้านั้นติดหนี้ติดสินมากขึ้นไปอีก และ นี่คือประเด็นว่า การสนับสนุนการออมด้วยการลดหย่อนภาษีนั้น...แท้ที่จริงแล้วอาจเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความเหลื่อมล้ำของชนชั้นยิ่งขึ้น

สำหรับคนรากหญ้านั้น ได้ผลตอบแทนด้านแรงงานเป็นบวกก็จริง แต่มีผลตอบแทนด้านทุนเป็นลบ คือ ตกอยู่ในสภาพของลูกหนี้ ดังนั้น การพยายามลดค่าใช้จ่าย รัดเข็มขัด เพื่อให้อยู่ได้เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่ง โดยเฉพาะในสภาพที่เมื่อถูกนายทุนนอกระบบเอารัดเอาเปรียบ โดยพวกเขาต้องจ่ายเงินเพื่อให้ผลตอบแทนส่วนทุนนี้สูงถึง 120% ต่อปีขึ้นไปก็เป็นได้

เมื่อมาดูด้านการสนับสนุนการออมสำหรับแรงงานรากหญ้า ด้วยการบังคับออมโดยไม่ผ่อนปรนผ่านระบบประกันสังคม ได้ทำให้ผลตอบแทนส่วนทุนของผู้ประกันตนซึ่งส่วนใหญ่ คือ คนรากหญ้นั้น อยู่ที่ค่า -115% (คือ กู้นอกระบบ 120% ต่อปี ขณะที่ออมเงินกับ สำนักงานประกันสังคมได้ตอบแทนต่อปีเพียง 5%) เนื่องด้วยคนรากหญ้านั้นส่วนใหญ่มีหนี้สินอยู่แล้ว ผลตอบแทนของเงินทุนจึงติดลบ แต่แทนที่ สปส.จะปล่อยให้ผุ้ประกันตนนำเงินออมของตนเองมาแก้ไขปัญหาหนี้สิน ก็จะทำให้ผลตอบแทนเงินทุนเป็น ศูนย์ ได้ (คือ นำเงินออมไปคืนหนี้เงินกู้) ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าอย่างมากมาย

ดร.ยูนุส ผู้ก่อตั้ง กรามีนแบงก์ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของ ไมโครเครดิต ทั่วโลกนั้น เพียงแค่ปล่อยกู้ให้รากหญ้าในระดับ 20% ต่อปี ก็สามารถเพิ่มผลตอบแทนทุน ของคนรากหญ้าจากระดับ -520% ต่อปี (ดบ.เงินกู้นอกระบบ 10% ต่อสัปดาห์) ซึ่งเป็นระดับการเป็นทาสเงินกู้ของนายทุน มาเป็น -20% ต่อปี ก็สามารถทำให้คนเหล่านั้น มีรายได้จากแรงงาน หักจากดอกเบี้ยจ่ายไปแล้ว สามารถมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นอย่างมากมายหลายล้านครอบครัว

และหากผู้ประกันตนที่ไม่มีหนี้สินส่วนตนมากนัก อาจนำเงินของตนเองไปปล่อยกู้ให้กับญาติมิตรสนิทได้อีก เช่นที่ 3% ต่อเดือน เขาจะได้ผลตอบแทนของทุนที่ 27% ต่อปี(36% หักด้วยต้นทุนเงินกู้ 9% ต่อปีของสินเชื่อ99 ที่ สปส.ค้ำประกันเงินกู้) แทบไม่น่าเชื่อ นี่ต้องเป็นมหัศจรรย์ของโลกเลยทีเดียว ที่ประเทศไทยสามารถยกระดับคนงานรากหญ้า ให้เป็น นายทุนได้ ภายในเวลา 9 วันเท่านั้นเอง

นี่แหละครับ คือ สิ่งที่คนรากหญ้าต้องการ พวกเขาต้องการผลตอบแทนของทุนที่สูงขึ้น จากระดับ ลบมากๆ มาเป็น ลบน้อยๆ ... และถ้าจะให้ดี ผลตอบแทนของทุน อาจสูงขึ้นสู่ระดับเป็นบวก นั่นหมายถึง พวกเขาได้เดินทางสู่การเป็นนายทุนย่อยๆ ได้แล้ว มันเป็น "ฝัน" ของชนชั้นรากหญ้าเลยนะครับ

สำหรับการปฏิรูปการเมืองนั้น...ผมได้เสนอในเรื่องของ "รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก" ไว้แล้ว โดยเราต้องยืมพลังของชนชั้นรากหญ้าที่เป็นคนดี พร้อมทำเพื่อสังคม มาช่วยเหลือคนรากหญ้าด้วยกันเอง และ รักษาสมดุลแห่งอำนาจ ไม่ให้ สส.มีเพียงนายทุนและชนชั้นสูง แต่ สส.ต้องประกอบไปด้วยตัวแทนประชาชนที่เป็นชาวบ้านแท้จริงด้วย ด้วยการสร้างระบบการเลือก สส.แบบ ตัวแทนหมู่บ้าน เลือกมา 7.8 หมื่นคน แล้วจับสลากเอา ตามสัดส่วนประชากร จังหวัดใหญ่ก็จะได้ตัวแทนมากหน่อย และ ยกเลิกกฎที่ต้องจบปริญญาตรีซึ่งได้ลิดรอนสิทธิการเป็น สส.ของคนรากหญ้าออกเสีย วิธีนี้จะทำให้คนรากหญ้า มีโอกาสยกระดับขึ้นเป็น สส. ได้เงินเดือนเป็นแสน ได้เป็นตัวแทนคนในชุมชนของตนเองเพื่อแก้ไขกฎหมายต่างๆ มันเป็น "ฝัน" ของคนรากหญ้าอีกเช่นกันครับ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า หากมีการปฏิรูปเศรษฐกิจ และ การเมือง ด้วย เศรษฐศาสตร์ไท้เก๊ก และ รัฐศาสตร์ไท้เก๊ก จะทำให้คนรากหญ้าพึงพอใจอย่างมาก ความเหลื่อมล้ำลดลง และ เป็นการสร้างความปรองดองที่แท้จริงในประเทศไทยครับ

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

เลิกทาสอีกครั้งเถอะ...ประเทศไทย

เลิกทาสอีกครั้งเถอะ..ประเทศไทย

ประเทศไทยได้มีเลิกทาสมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 โดยตอนนั้นมีทาสถึง 1 ใน 3 ของประชากร โดยลูกทาสในเรือนเบี้ย ยังคงเป็นทาสต่อเนื่องกันเรื่อยมา และ พระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่งนี้เอง พระองค์ท่านทรงได้รับพระสมัญญาว่า “พระปิยมหาราช”

อย่างไรก็ตาม ยังพบว่า ประเทศไทยยังมีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และ การเมืองอย่างเห็นได้ชัด มีประชากรที่แบ่งเป็นกลุ่มชนชั้นสูง และ ชนชั้นล่าง อย่างเห็นได้ชัด ลองมาดูในรายละเอียด

ทาสทางเศรษฐกิจ : ประชาชนไทยจำนวนมากที่ต้องติดหนี้สินนอกระบบ ซึ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงถึงกว่า 10% ต่อเดือน หากติดหนี้ราว 3 หมื่นบาท ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยถึง 3 พันบาทต่อเดือน โดยเขาอาจมีรายได้ต่อเดือนเพียง 6 พันบาทต่อเดือน จึงเหลือเงินติดกระเป๋าเพียง 3 บาทเท่านั้นเพื่อกินอยู่ นั่นหมายถึง รายได้ราวครึ่งหนึ่งต้องจ่ายให้กับ “นายทุนเงินกู้” เหลือรายได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้นที่ใช้เพื่อยังชีพ และ หนี้สินก็ยังมีอยู่ต่อไป ไม่สามารถจะลดเงินต้นลงได้เลย เพราะ ลำพังแค่การจ่ายดอกเบี้ยอย่างเดียวก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ประชาชนกลุ่นนี้จึงดูเหมือนเป็นทาสทางเศรษฐกิจของระบบทุนนิยมนั่นเอง แทบไม่มีโอกาสเป็นไทแก่ตัวได้เลย

วิธีเลิกทาสเศรษฐกิจก็คือ ต้องยอมให้ผู้ทำงานในระบบทั้งประกันสังคม และ ข้าราชการนั้น สามารถยืมเงินตนเองออกมาเพื่อรีไฟแนนซ์สินเชื่อเงินกู้ดอกเบี้ยโหดได้ โดยให้ สปส. และ กบข. ทำการค้ำประกันเงินกู้ให้ 9 ส่วน และ ดอกเบี้ย 9% ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 9 ปี ผมเรียกว่า “สินเชื่อ99” คาดว่าจะมีเงินไหลเข้าระบบได้สูงถึง 9 แสนล้านบาท ใหญ่กว่า กองทุนหมู่บ้านสมัยรัฐบาลทักษิณ 11 เท่าตัว และ ใหญ่กว่าโครงการเช็คช่วยชาติถึง 45 เท่าตัว

วิธีนี้จะทำให้คนไทยเป็น “ไท” แก่ตัว ถึงแม้ว่าจะเป็นสินเชื่อแต่ก็เป็นสินเชื่อที่อิงอยู่กับเงินออมของแต่ละบุคคล การผ่อนรายงวดอาจลดจากระดับ 5-10% ของเงินกู้ เหลือเพียง 1.3% เท่านั้น ทำให้ลดภาระการผ่อนต่อเดือนลงไปได้อย่างมาก ทำให้เหลือเงินติดกระเป๋าเพื่อจับจ่ายใช้สอยได้มากยิ่งขึ้น

ไม่เพียงเท่านั้น สำหรับคนที่มีเงินเหลือ ยังสามารถนำไปปล่อยกู้ให้กับญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ยได้อีกด้วย กู้เงินออมตนเองมา 9% ต่อปี แต่ปล่อยกู้ไป 2% ต่อเดือน ก็อาจได้ส่วนต่างดอกเบี้ยถึง 15% ต่อปี ของยอดเงินปล่อยกู้ นี่เป็นการยกระดับจาก “ชนชั้นกรรมาชีพ” สู่ “ชนชั้นนายทุน” ได้ภายในเวลาไม่กี่วันเท่านั้น แทนที่จะจะต้องใช้เวลาหลายสิบปี

ทาสทางการเมือง : ประชาชนเกือบทั้งประเทศที่มีอายุถึงเกณฑ์มีสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี มีประชากรเพียงหยิบมือเท่านั้นที่สามารถสมัครชิง สส. ได้ เนื่องด้วยข้อจำกัดทางการศึกษา และ เงินทุน .... ชาวไร่ชาวนา เลือก ตัวแทน ได้มาแต่นายทุน ประชาชนยังคงเป็นทาสของ นายทุนการเมือง และ เสนาอำมาตย์ต่อไป

นายทุนใหญ่ อุปถัมภ์ นายทุนเล็ก เพื่อให้เป็น สส. ส่วนตัวเองก็อาจได้ถึงระดับรัฐมนตรี เพราะ มี สส.ในสังกัดอยู่หลายคน ส่วนนายทุนเบิ้มก็อาจได้เป็นถึงนายกฯ เรื่องแบบนี้เราเคยได้เห็นกันมาแล้ว ระบบแบบนี้ คือ “ธนาธิปไตย” การใช้ “เงิน” เป็นหลัก เพราะ การเลือกตั้งในปัจจุบันต้องใช้เงินทุนทั้งถูกและผิดกฎหมายจำนวนมากมาย หลีกไม่พ้นที่นายทุนนักการเมือง จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในในการเลือกตั้งทุกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น รัฐมนตรีหลายๆ คน ก็สามารถทำการทุจริตคอรัปชั่น โดยที่ประชาชนไม่สามารถจะโต้แย้งอะไรได้เลย เพราะ ใครกันละครับจะโกงแบบมีใบเสร็จให้เห็นๆ กันได้ชัดเจน และยามเมื่อทหารต้องการผลประโยชน์บ้าง ก็พร้อมฉีกรัฐธรรมนูญทิ้งเสีย โดยที่ประชาชนไม่มีโอกาสโต้แย้งอะไรได้เลยเช่นกัน นี่คือ ระบบ “อมาตยาธิปไตย” หรือการใช้ “เส้น” เป็นหลัก

ประชาชนจึงตกอยู่ท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองระหว่าง “เงิน” กับ “เส้น” โดยไม่มีสิทธิมีเสียงอะไรเลย คนธรรมดาไม่สามารถเป็น สส.ได้ ด้วยข้อจำกัดทั้งการศึกษา และ เงินทุน จะมีก็แต่นายทุน หรือ นอมินีของนายทุนเท่านั้น จึงจะเข้ามาในระบบแบบนี้ได้ การไม่มีโอกาสเข้าไปเป็นตัวแทนทางการเมืองของชุมชนนี่แหละ คือ “ทาสทางการเมือง” นั่นเอง

วิธีเลิกทาส คือ การใช้ระบบตัวแทนหมู่บ้าน ที่เป็นคนดี พร้อมทำงานเพื่อส่วนรวม โดยให้หมู่บ้าน 7.6 หมื่นแห่งเลือกตัวแทนของตนเองออกมา แล้วจับสลากให้สวรรค์เป็นคนกำหนดอีกทีว่าใครจะได้เป็น สส. โดยระบบนี้จะมาทดแทนสส.ระบบเขต ส่วนระบบสัดส่วนยังคงไว้ตามเดิม

ด้วยวิธีนี้ การใช้เงินเพื่อจูงใจในการซื้อสิทธิขายเสียง แทบจะไม่มี เพราะ แม้จะได้เป็นตัวแทนหมู่บ้านก็มีโอกาสเพียง 1 ในพัน เท่านั้น ที่จะได้เป็น สส.จริง เราจะได้คนที่เป็นตัวแทนของชาวบ้านจริงๆ ไม่ใช่เลือกกี่ครั้งได้แต่นายทุนนักการเมืองมาตลอด

เมื่อมีการเลิกทาสทั้ง 2 กรณีนี้ ประเทศไทยจะน่าอยู่ขึ้นอีกมาก และ ความแตกแยกอาจลดลงมากเลยก็ได้ในสังคมไทยนี้ครับ